อเมริกาอยู่ยากขึ้นทุกวัน หนึ่งวันก่อนการฉลองวันชาติอเมริกาตำรวจรัฐโอไอโอกระหน่ำยิงชายผิวดำคนหนึ่งเพราะหมอนั่นทำผิดกฎจราจร แต่ตกลงกันยังไม่รู้ปรากฏว่าร่างหมอนั่นพรุนด้วยกระสุนจากการตรวจสอบพบว่าถูกยิงรัวกว่า 60 นัด ทางตำรวจอ้างว่าผู้ต้องสงสัยขัดขืนเดี๋ยวนะ..แต่ถึงกับต้องยิงโหดเหมือนโกรธคนร้ายขนาดนี้เลยเหรอ
พอวันชาติซึ่งเป็นวันที่คนทั้งอเมริกามีความสุขเกิดเหตุกราดยิงในรัฐอิลลินอยส์ เมืองไฮแลนด์พาร์ก ซึ่งเป็นย่านชานเมืองชิคาโก และเป็นย่านที่คนมีฐานะไปซื้อบ้านอยู่กันขณะที่ขบวนพาเหรดเพิ่งเคลื่อนได้แค่ 10 นาที มีการกราดยิง ผลคือตาย 7 บาดเจ็บอีก 41 ราย มือปืนอายุแค่ 21 มาจากครอบครัวฐานะดีพ่อเคยลงสมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี เมื่อยิงแล้วก็หลบหนีไปเพื่อจะไปกราดยิงต่อในเมืองเมดิสัน รัฐวิสคอนซิน โชคดีที่ตำรวจรวบตัวได้ก่อน
การกราดยิงแบบนี้เกิดขึ้นแทบจะรายวัน ครั้งแล้วครั้งเล่าและมือปืนอายุน้อยลงทุกที ความสูญเสียที่ก่อขึ้นไม่อาจประมาณได้เพราะการกราดยิงในช่วงเวลาฉลองวันชาติ ในงานที่มีแต่เด็กๆ และครอบครัวคือความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงและบาดแผลสาหัสของสังคมอเมริกัน เชิญสามนิ้วย้ายไปอยู่เลยจ้ารับเสรีภาพได้เต็มที่ในการถูกลูกหลง กระสุนปืนฟรี ไม่มีจำกัด
ท่ามกลางช่วงเวลาที่น้ำมันแพง ข้าวของแพงและสินค้าจำเป็นอย่างนมผงเด็กกับผ้าอนามัยขาดแคลนเช่นนี้คะแนนนิยมของลุงโจยิ่งตกต่ำอย่างน่าใจหาย แค่ 29% พอใจการทำงานของไบเดน 58% ไม่พอใจ ส่วน 13% บอกว่าไม่มั่นใจคะแนนนิยมลุงร่วงกราวยิ่งกว่าหุ้นแถมลุงโจยังกล้าบอกให้พลเมืองอเมริกันแบกรับภาวะสินค้าแพงน้ำมันแพงไปจนกว่าจะปูตินจะแพ้สงคราม ฮ่วย..แล้วเมื่อไหร่ล่ะลุ้งอย่าว่าแต่ผู้นำอเมริกันเลย ผู้นำทั่วโลกตอนนี้โดนด่าหมดทุกคนประธานาธิบดีศรีลังกานี่เผ่นแน่บหายหัวไปไหนแล้วไม่รู้เพราะเจอบุกไปไล่ถึงบ้านถึงทำเนียบสถานการณ์อเมริกาดิ่งเหว ดูทรงๆ ทรุดๆ รายวันแต่ที่น่าสนใจคือแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกามา ไทยจะว่าไปก็ไม่แปลกหรอก เพราะหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนเพิ่งเดินทางมาเยือนบ้านเราก่อนหน้าชนิดที่เรียกว่า “ตดยังไม่ทันหายเหม็น” เล่นเอาลุงแซมผุดลุกผุดนั่งจนต้องให้บลิงเคนมาหยอดน้ำเชื่อมหว่านล้อมไทยกลัวอาเฮียมังกรจีนแซงหน้าไป..ว่าซั้น
ก่อนหน้านั้นอเมริกาส่งรัฐมนตรีกลาโหม ลอยด์ ออสตินมาเม้าท์มอยที่ไทย ก้าวย่างนี้เป็นก้าวย่างที่ต้องจับตามองเพราะเป็นการเดินหมากเกมการเมืองระดับโลกอดหัวเราะไม่ได้ไหนบรรดาสามนิ้วตะโกนบอกโลกว่าผู้นำโลกเสรีอย่างอเมริกาจะไม่เสวนากับเผด็จการไทยโว้ย แล้วนี่อะไร..มากันรัวๆ ตัวเด่นๆ ทั้งนั้นทั้งรัฐมนตรีกลาโหมและต่างประเทศไอ้ที่ดาหน้ากันมานี่ไม่มีอะไรในกอไผ่ เพราะรู้ว่าลาว เขมร พม่า เสร็จอาเฮียหมดแล้ว เหลือพี่ไทยเรานี่แหละที่รักทุกฝ่ายไปกับทุกคนแถมชัยภูมิดี๊ดี อยู่ตรงกลางเป๊ะลุงแซมเลยต้องเข้ามาโอ้โลมถี่หน่อย
รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา คงคิดว่าเราคงระทวยกับคำหวานที่ป้อนถึงกับย่ามใจบอกว่าอเมริกันเดินไปเคี้ยวหมากฝรั่งไปได้อย่างใจเย็นเพราะคิดว่าไทยเราโผเข้าสู่อ้อมกอดมะริกันเต็มตัวมั่นหน้าว่าเราคือลูกหาบมะริกันเหมือนชาติอื่นที่หลงลมปากลุงแซมบอกเลยว่ายูประมาทชาติไทยไปนะมั่นใจว่าทั้งลุงตู่และลุงดอนจะปกป้องผลประโยชน์ชาติไม่ให้เพลี่ยงพล้ำแน่
มาดูกันว่าบลิงเคนมาไทยทำไม..เหตุผลก็ไม่ต่างไปจากการส่งตัวเอ้กลาโหมมานั่นแหละ เนียนมาทั้งทางการทหารและการทูตเพื่อเตะสกัดอาเฮียมังกรจีนไปพ้นตีนเพราะลุงแซมเองก็รู้ว่าภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มีความสำคัญไม่น้อย แถมพญามังกรเลื้อยลงมาใช้หางโอบล้อมบางส่วนแล้วด้วยถึงได้ส่งตัวหลักๆ ในรัฐบาลมาป้อนคำหวานนั่นนี่โน่น
บอกเลยว่าอเมริกามาแต่คำหวาน ดีแต่พูด ไม่เชื่อดูจากตรงนี้ก็ได้วอชิงตันทุ่มเงินกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สนับสนุนยูเครนแต่จีนให้สัญญามอบเงินช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 1,500 ล้านดอลลาร์ สำหรับต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และกระตุ้นการพื้นตัวทางเศรษฐกิจ แบบอเมริกานี่ต้องบอกว่า“ดังแต่ท่อ..ล้อไม่หมุน”
ความจริงใจดูได้ไม่ยาก บลิงเคนแค่เดินสาย ไหนๆ ก็มาแล้วเพราะบินมาประชุมที่อินโดนีเซีย เอ้า.. แวะมาไทยแล้วขอพบบรรดาตัวแทนกลุ่มเยาวชนจากพม่าในประเทศไทยเพราะก่อนหน้านี้พี่หวัง อี้ ไปพม่ามานั่นเอง
บลิงเคน มาพร้อมยาหอมขวดเบ้อเริ่ม ชมรัฐบาลไทยไม่หยุดปากนั่นก็ดีนี่ก็งาม เพื่อต้องการให้เราเอาใจออกห่างจากจีนเพราะตอนพี่หวัง อี้ มาทั้งสองชาติกระชับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคแข็งแกร่งมากขึ้นด้วยการสร้างเส้นทางความสัมพันธ์ทางการค้าเชื่อมจากไทยผ่านลาวเข้าไปยังจีน
ความหวาดระแวงของอเมริกานั้นดูได้ไม่ยากอ่านจากสื่ออเมริกันนี่แหละ เช่น รอยเตอร์ บอกว่าจีนฉวยโอกาสช่วงตาลุงผมเป๋โดนัลด์ ทรัมป์ ที่บ้าอเมริกาต้องมาก่อนจนทำให้จีนแผ่อิทธิพลในภูมิภาคผ่านการลงทุนและการเชื่อมโยงทางการค้า ส่วนอีกสื่อคือเอเอฟพีนั่นลากยาวไปถึงยุคสงครามกลางเมืองอเมริกาโน่นเลยว่าถึงแม้ว่าไทยจะขึ้นชื่อว่าเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาภูมิภาคย้อนหลังไปถึงยุคสงครามกลางเมือง ในสมัยอดีตประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น แต่ช่วงหลังเริ่มหันมาใกล้ชิดจีนและมีความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น
ขออธิบายความนิดหนึ่งสมัยที่เกิดสงครามกลางเมืองไทยเสนอแนะจะส่งช้างไปให้ประธานาธิบดีอเมริกาเพื่อช่วยรบแต่ทางอเมริกาปฏิเสธ เพราะคงไม่รู้ว่าจะเอาช้างมาทำไมแต่ตอบจดหมายกลับไปอย่างสุภาพจดหมายฉบับนี้ปรากฏในหอจดหมายเหตุที่วอชิงตัน ดี.ซี.
แต่ไทยคือไทย ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับแม้จะรู้ว่าลุงแซมมาทำไม แต่อะไรที่เป็นผลประโยชน์ชาติหากเราไม่เสียอะไรก็เอาทั้งนั้นการโอ้โลมของลุงแซมหนนี้ก็ไม่ต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมาทำตัวเหมือนเซลส์แมนขายรถมือสอง ยิ้มกว้างเห็นฟันขาววาบๆ เอื้อมมือมาโอบบ่ากอดไหล่อย่างสนิทสนม แล้วเรียกไทยว่า “เพื่อนเก่า” ร่ายยาวถึงความสัมพันธ์นั่นนี่ตามสันดานและลูกไม้เดิมๆ ตอนอยากได้ผลประโยชน์จากเรานั่นแหละตอนจะมาสร้างฐานทัพยุคสงครามเวียดนามก็เหมือนกัน หวานจนเลี่ยนพอเจอปัญหาก็เปิดตูด ทิ้งขี้ก้อนใหญ่ให้เราเพียบในอดีต
ที่ฮาหนักมากคือบลิงเคนชมเรื่องไทยมีพัฒนาการเรื่องการค้ามนุษย์อย่างนั้นอย่างนี้ อวยจนขนลุกซู่ทำเหมือนประเทศตนนั้นไม่บกพร่องเรื่องค้ามนุษย์ทั้งที่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี้เองตำรวจในอเมริกาพบว่ามีการขนแรงงานเถื่อนเข้ามาในรถบรรทุกแล้วแออัดกันในรถจนตายไปห้าสิบกว่าคนนี่นะน่าแปลกที่อเมริกาชอบหยิบยกเรื่องนี้มาโจมตีชาติอื่นตลอด ทำเหมือนว่าชาติตนบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียเต็มประดา
ไม่ว่าจะตอแหลชงหวานใส่เรายังไงก็ตามบลิงเคนก็ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่าเพราะทั้งอเมริกาและฝ่ายไทยลงนามความร่วมมือจำนวน 2 ฉบับที่แสดงความต้องการขยายความร่วมมือทางยุทธศาสตร์และพัฒนาซัพพลายเชนให้ดีขึ้นเอาเถอะ…จากนี้ไปทั้งจีนทั้งอเมริกาคงเวียนเข้าเวียนออกบ้านเราจนหัวกะไดไม่แห้งแน่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี