บอกตรงๆ ว่าเบื่อหน่ายสถานการณ์โลก สงครามยูเครนและเหตุการณ์ในอเมริกามาก ตอนนี้ลุงโจ ไบเดนติดโควิดแหม..คงกลัวน้อยหน้าตาลุงผมเป๋ทรัมป์ล่ะมั้งเลยติดโควิดอินเทรนด์สายพันธ์ BA 5 แต่ดูท่าว่าลุงยังไหวเห็นใจสู้ชูสองนิ้วผ่านจอให้ชาวโลกได้เห็นทั่วกัน
อาทิตย์นี้เลยขอหยิบยกเรื่องราวแปลกๆในประวัติศาสตร์มาเล่าสู่กันฟัง ช่วงนี้อเมริการ้อนตับแตกเลยขอเบรคด้วยการเขียนเรื่องเบาๆ ก็แล้วกันหลายคนคงไม่รู้ว่าในอเมริกามีวันฉลองแปลกๆ ทั้งปีบางทีแปลกอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่จริงวันพิลึกเหล่านี้บางวันก็มีที่มาที่ไปน่าสนใจเพราะเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งในอเมริกาด้วย เช่นวันเบียร์แห่งชาติ วันที่ 7 เมษายน
ที่กำหนดให้ระลึกถึงวันสิ้นสุดการห้ามผลิตเหล้าเบียร์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1920 ถึงค.ศ.1933
มีอยู่วันหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และเป็นประวัติศาสตร์อันเหม็นหึ่งชนิดที่ทำให้ต้องอุดจมูกกันทั้งวอชิงตันดีซีเลยทีเดียว แถมเกี่ยวพันกับประธานาธิบดีแห่งอเมริกาเสียด้วยวันที่ว่านี้คือวันที่ 29 มกราคมของทุกปีอันกำหนดให้เป็นวันโคตรชีสแห่งชาติหรือ "Big Block of Cheese Day."
เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ็คสันคงต้องเล่าท้าวความไปถึงประธานาธิบดีคนนี้สักหน่อยเพราะเป็นประธานาธิบดีที่มีด้านมืดเร้นอยู่เยอะมากแม้อเมริกันจะยกย่องให้เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งก็ตาม แอนดรูว์แจ็กสันมีชื่อเล่นว่า “โอลด์ฮิกกอรี่ (Old Hickory) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 7เคยเป็นนักค้าที่ดินและนักค้าทาส โดยมีทาสในครอบครองเป็นจำนวนมาก
นอกเหนือจากการค้าทาสอินเดียนแดงทุกคนจดจำชื่อของประธานาธิบดีคนนี้ขึ้นใจด้วยความคับแค้นเพราะแอนดรูว์ แจ็คสันลงนามเพื่อโยกย้ายชาวพื้นเมืองอเมริกันตามรัฐบัญญัติว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานของชาวอเมริกันอินเดียน(Indian Removal Act of 1830) ในปี ค.ศ. 1831
เส้นทางการโยกย้ายอินเดียนแดงออกจากแผ่นดินเกิดไปเขตสงวนนั้นเรียกว่า Trail of Tears หรือเส้นทางธารน้ำตาส่งผลให้อินเดียนแดงล้มตายจนเกือบสูญเผ่าพันธ์เพราะไม่สามารถทนสภาพอากาศและความอดอยากได้ กระนั้นแอนดรูว์แจ็คสันก็ได้รับการยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษ
แม้คนผิวดำและอินเดียนแดงชัง แต่คนผิวขาวชอบใจมากถึงขั้นยกย่องให้ตาลุงคนนี้ไปเสนอหน้าอยู่บนธนบัตรใบละยี่สิบดอลลาร์ควักเงินมาใช้ทีไรเห็นใบหน้าผอมซูบของลุงแอนดรูว์ทุกหนความที่คนผิวขาวชอบอกชอบใจที่ลุงแกค้าทาสแถมยังมีนางบำเรอทาสผิวดำวัยเอ๊าะไว้บำรุงความสุขซ้ำยังไล่อินเดียนแดงไปพ้นหูพ้นตาคนผิวขาวเลยเทคะแนนให้อย่างท่วมท้นจนได้เป็นประธานาธิบดีถึงสองสมัยหรือแปดปี
เหตุผลสำคัญที่ทำให้แอนดรูว์ แจ็กสันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเพราะได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาแบบใหม่ที่เรียกกันภายหลังว่า “ประชาธิปไตยแจ็กสัน” (Jacksonian democracy)
ก่อนเป็นประธานาธิบดีก็ดวลปืนกับชาวบ้านจนลือลั่นไปทั้งบางมีกระทาชายคนหนึ่งชื่อ ชาร์ล ดิคคินสันปากเปราะจิกกัดเมียของแอนดรูว์แจ็คสันว่ามีผัวสองคน ประมาณว่ายังไม่ทันหย่าผัวคนแรกแล้วมาได้กับแอนดรูว์ทำนองนั้น ลุงแอนดรูว์ได้ยินก็หัวร้อน เลยขอท้าดวลขนาดโดนยิงจนอกแทบทะลุ แต่ลุงแอนครูว์ยังกระเด้งตัวรัวปืนกลับจนคนปากเสียถึงกับล้มคว่ำจมกองเลือด ไงล่ะ..เปรี้ยวเอาการใช่มั้ยประธานาธิบดีรายนี้
เมื่อแอนดรูว์ แจ็คสันนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีถึงสองสมัยก็ย่อมมีคนรักเป็นธรรมดาทีนี้ชาวบ้านร้านถิ่นรู้ว่าประธานาธิบดีของตนนั้นโปรดชีสเป็นชีวิตจิตใจเลยอยากหาของขวัญชิ้นพิเศษถูกอกถูกใจประธานาธิบดีอันเป็นที่รักของตน
ในปี ค.ศ.1835 ผู้พันโธมัส เอส มีแชม เกิดไอเดียบรรเจิด
อยากส่งชีสไปให้ประธานาธิบดี
แต่ของขวัญสำหรับประธานาธิบดีย่อมไม่ธรรมดา
ชีสที่จะจัดส่งไปให้เป็นชีสเหลืองที่เรียกว่าเชดด้า ออกเค็มนิดๆ
กลิ่นเหม็นพอควรสำหรับคนไทย แต่ถือเป็นกลิ่นแห่งสวรรค์สำหรับอเมริกัน
ความใหญ่โตมโหฬารของชีสก้อนนี้
เอาแค่เส้นผ่าศูนย์กลางก็ยาวประมาณ 4 ฟุตเข้าไปแล้ว หนาสองฟุต
และหนัก 1400 ปอนด์หรือเจ็ดร้อยกิโลกรัม ใช้เวลาผลิตทั้งหมด 4 วัน
โดยใช้แม่วัว 150 ตัวปั๊มนมเพื่อทำชีส
เมื่อทำเสร็จแล้วก็ห่อมาอย่างดีพร้อมถ้อยคำปลุกใจแนวรักชาติ
คาดว่าผู้พันมีแชมคงชาตินิยมสุดๆ
นอกจากก้อนชีสยักษ์สำหรับประธานาธิบดีแล้วท่านนายพันโธมัสมียังน้ำใจส่งให้รองประธานาธิบดีและผู้ว่าการรัฐเมืองนิวยอร์กอีกคนละก้อนด้วย แต่ขนาดย่อมลงมานิดหนึ่ง นั่นคือ ชีสหนักก้อนละ 375 กิโลกรัม คุณพระคุณเจ้านี่กะจะให้กินชีสกันทั้งทำเนียบขาวเลยหรือไงการขนส่งจากนิวยอร์กสเตทมาวอชิงตันไม่ใช่เรื่องงุบงิบส่งมาหากแต่มีขบวนแห่ขบวนพาเหรดอย่างอู้ฟู้หรูหราสมศักดิ์ศรีโคตรชีสอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าแห่แหนกันมาแต่ต้นทาง จากเมืองสู่เมืองโดยมีชาวบ้านโผล่หน้ามาชมก้อนชีสยักษ์เป็นบุญตาว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยเห็นโคตรชีสแบบนี้มาก่อนเลยฝูงชนร่วมแห่แหนทุกเมืองไปจนถึงจุดที่จะขนส่งชีสยักษ์ลงเรือส่งมาวอชิงตันเลยทีเดียว
พอประธานาธิบดีแอนครูว์แจ็คสันได้รับของขวัญชิ้นมหึมาและแปลกประหลาดนี้คงเงิบไปนิดพลางคิดว่าจะเอาชีสก้อนเท่าควายไปทำอะไรดีหว่า ถึงจะชอบกินชีสยังไงก็คงกินไม่หมดแน่ๆ เพราะขนาดใหญ่โตวัวตายควายล้มขนาดนี้
ท่านประธานาธิบดีผู้เก่งกล้าเคยท้าดวลกับนักแม่นปืนถึงกับกุมขมับเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับชีสยักษ์หลังจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกินชีสยักษ์ตามใจชอบแล้วก็ยังเหลืออีกบานเบอะ ตั้งตระหง่านอยู่ในทำเนียบขาวเด่นเป็นสง่า จะเอาไปทิ้งก็ไม่ได้เพราะเกรงว่าคนให้จะเสียใจ
เมื่อเวลาผ่านไป ชีสก็เน่า พอเน่าก็เริ่มมีกลิ่นแปลกๆ และกลิ่นตุๆที่ว่านั้นโชยหึ่งไปทั่วทำเนียบขาวไม่ใช่แต่ทำเนียบขาวที่คลุ้งอวลไปด้วยกลิ่นพิลึกนั้นผู้คนทั่วทั้งวอชิงตันได้กลิ่นกันทั่วหน้าในเมื่อไม่รู้จะทำยังไงกับก้อนชีสยักษ์เลยปล่อยวางไว้อย่างนั้นเป็นเวลาถึงเกือบสองปี ทีนี้ปัญหาคือ พอปีค.ศ.1837 ประธานาธิบดีแอนดรูว์จะหมดสมัยที่สองเลยต้องหอบเสื้อผ้ายัดใส่ถุงปุ๋ย โบกมือบ๊ายบายออกจากทำเนียบขาวแล้วไอ้ชีสยักษ์หนักอกล่ะจะทำยังไง
ไหนๆ ก็แบกกลับบ้านไม่ได้แล้ว แต่จะทิ้งรึก็เสียดายอุตส่าห์ดอมดมกันมาตั้งเกือบสองปี ที่แน่ๆ คือ หากโยนทิ้งรับรองได้ว่าเป็นข่าวใหญ่แน่นอน
ที่สำคัญจะเสียคะแนนนิยมและฐานเสียงไปแบบไม่น่าให้อภัยอย่ากระนั้นเลย ใช้แผนนี้ดีกว่าถือว่าได้ประชาสัมพันธ์และขจัดไอ้ชีสเน่าไปด้วยในตัวว่าแล้วก็ประกาศให้ประชาชนเข้ามาร่วงปาร์ตี้ชีสยักษ์โดยแต่ละคนต้องนำมีดของตัวเองมาด้วยเพื่อฝานชีสใครจะกินเท่าไหร่ก็ได้ไม่ว่ากัน เรียกว่าเปิดทำเนียบขาวแล้วกวักมือเรียกชาวบ้านมากินกันเลยแหละ
บ๊ะ..ชาวบ้านชาวช่องได้ยินแบบนี้ก็เผ่นกลับไปคว้ามีดเล่มบางๆสำหรับฝานชีสที่บ้าน แล้วห้อกลับมาที่ทำเนียบขาวโดยคิดว่าอาหารจากทำเนียบขาวจะต้องเริ่ดสะแมนแตนแสนอร่อยแน่นอนประชาชนเรือนหมื่นแห่ไปยังทำเนียบขาวแล้วฝาน แทะ ทึ้ง ดึง ทุบก้อนชีสยักษ์มากินจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาแค่สองชั่วโมง
ต้นฉบับภาษาอังกฤษบรรยายกลิ่นก้อนชีสยักษ์ว่า “an evil-smelling horror” ซึ่งหมายความว่าแม้แต่ฝรั่งก็สุดทนกับกลิ่นชีสเน่าเหมือนกันคือสุดทนจริงๆ ถึงใช้คำนี้บรรยายในหลักฐานประวัติศาสตร์ไม่ได้บอกไว้ว่าเหล่าประชาชนที่เข้ามาแซะก้อนชีสไปกินในวันนั้นมีใครเจ็บป่วยหรือขาดใจตายไปบ้างหรือไม่
แม้ก้อนชีสยักษ์จะหายไปแต่กลิ่นอันเหลือร้ายแทรกซึมไปทั่วอาณาบริเวณ ไม่ว่าจะเฟอร์นิเจอร์พื้นพรม หรือผ้าม่าน ต่อให้กำจัดกลิ่นอย่างไรก็ยังส่งกลิ่นเน่าอยู่เหมือนเดิม
ไม่ได้พูดเล่นขำๆ แต่ปรากฎหลักฐานใน The Publications of the Colonial Society of Massachusetts เลยทีเดียวโดยเขียนไว้ว่าโกลาหลไปทั้งทำเนียบขาวเพราะต้องเอาพรมไปตากแดดนานนับสัปดาห์ เอาม่านไปทิ้งและทาสีทับกลบกลิ่นชีส ในต้นฉบับบอกว่าทาสีขาวเลยนึกแปลกใจว่าถ้าทาสีอื่นจะไม่กลบกลิ่นหรือไงทั้งหมดนี้คือที่มาของวันชีสยักษ์หรือ Big Block of Cheese Dayหรือวันโคตรชีสอันลื่อลั่นแห่งวอชิงตันในยุคประธานาธิบดีแอนครูว์แจ็คสัน
.......................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี