การประกาศกฏอัยการศึกของกองทัพถือเป็นรัฐประหารซ่อนรูปและเหมือนเป็นสัญญาณเตือนครั้งสุดท้ายจากมาตรการเบาไปหาหนักเพื่อให้คู่ขัดแย้งในชาติทุกฝ่ายต้องยอมเสียสลเพื่อเป็นทางออกของประเทศ โดยการตั้งโต๊ะเจรจาระหว่างตัวแทน 7 ฝ่ายอันประกอบด้วย ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลทราชหุ่นเชิดระบอบทักษิณ พรรคเพื่อไทย กลุ่มเสื้อแดง พรรคประชาธิปัตย์ มวลมหาประชาชน กปปส. คณะกรรมการการเลือกตั้ง และวุฒิสภา โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(กอ.รส.)นั่งหัวโต๊ะเป็นเจ้าภาพแต่แล้วการเจรจา 7 ฝ่ายเป็นเวลา2 วันประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเพราะต่างฝ่ายต่างยืนกรานจุดยืนของตัวเอง จนในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศต่อหน้าวงประชุมว่า “เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง จากนี้เป็นต้นไปผมขอยึดอำนาจ”ซึ่งนั่นคือที่มาของการก่อรัฐประหารเมื่อเวลา 16.30 น.ของวันที่ 22 พ.ค.โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)อันประกอบด้วยกองทัพบก กองทัพรือ กองทัพอากาศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จุดแตกหักสุดท้ายที่ทำให้กองทัพรัฐประหารก็คือคำถามของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถาม นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม ในฐานะตัวแทนฝ่ายรัฐบาลว่าคณะรัฐมนตรีเป็ดง่อยผีหัวขาดที่มี นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ เป็น ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯจะยอมลาออกหรือไม่ ซึ่ง นายชัยเกษม ตอบแบบเล่นลิ้นว่าขณะนี้ยังไม่ลาออก ซึ่งนี่คือคำตอบสุดท้ายของการเจรจาและปิดฉากด้วยคำประกาศของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ”
ทั้งนี้กองทัพต้องการให้คณะรัฐมนตรีเป็ดง่อยผีหัวขาดลาออกทั้งคณะเนื่องจากไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้แล้วอย่างสิ้นเชิงเพราะไร้ผู้นำที่มีอำนาจเต็มทำให้ประเทศกลายเป็นอัมพาตไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ซึ่งสร้าสร้างความหายนะอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศและยังเป็นชนวนของความขัดแย้งแตกแยกในชาติจนมีแนวโน้มนำไปสู่สงครามกลางเมือง ทั้งนี้กองทัพต้องการให้มีนายกฯและรัฐบาลเฉพาะกาลที่มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศชั่วคราวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและวางแนวทางปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ในเวลาอันเหมาะสมที่ไม่เร็วจนเกินไป
แต่รัฐบาลทรราชหุ่นเชิดระบอบทักษิณภายใต้การบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับยืนกรานไม่ยอมลาออกเพื่อชาติและเดินเกมหวังรักษาอำนาจของตัวเองและวางแผนรวบรัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่โดยเร็วที่สุด หวังอาศัยความได้เปรียบในฐานะที่คุมกลไกอำนาจรัฐและสารพัดกลโกงเอาชนะการเลือกตั้งเพื่อกลับมาเป็นรัฐบาลอย่างถูกต้องชอบธรรมและฟอกสิ่งชั่วร้ายของระบอบทักษิณพลิกสถานการณ์ที่จนตรอกกลับมาเป็นต่อและอาศัยความชอบธรรมจากการเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นข้ออ้างกำจัดฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะศัตรูสำคัญคือมวลมหาประชาชนภายใต้การนำของ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ที่เรียกร้องให้มีรัฐบาลเฉพาะกาลมาวางแนวทางปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
จากการยืนกรานไม่ยอมลาออกของคณะรัฐมนตรีเป็ดง่อยผีหัวขาดภายใต้การนำของ
นายนิวัฒน์ธำรง เพื่อเปิดทางให้มีนายกฯเฉพาะกาลมาวางแนวทางปฏิรูปประเทศทำให้สถานการณ์ถึงทางตันจนกองทัพตัดสินใจยึดอำนาจหลังประกาศใช้กฏอัยการศึกเพียงวันเดียว
ความเคลื่อนไหวที่ต้องจับตาหลังการรัฐประหารครั้งนี้ก็คือการกวาดล้างเครือข่ายระบอบทักษิณโดยมีข่าวการควบคุมตัวแกนนำคนเสื้อแดงระดับหัวโจก ขณะที่ก่อนหน้านี้กองทัพได้ออกไล่ล่ากวาดล้างกองกำลังติดอาวุธที่เคลื่อนไหวใต้ดินซึ่งเป็นเครือข่ายของระบอบทักษิณที่เคยก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองมาตั้งแต่ปี 2553และยังเคลื่อนไหวก่อการร้ายจนกระทั่งปัจจุบัน อีกทั้งได้เรียกบุคคลในตระกูล”ชินวัตร”หลายคน อาทิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ๋ (ชินวัตร) หรือ “เจ๊แดง” พี่สาวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯและสามี”เจ๊แดง” ตลอดจนแกนนำพรรคเพื่อไทยจำนวนมากมารายงานตัวต่อ คสช.
ขณะเดียวกันคสช.ก็เดินหน้ากระบวนการหาตัวนายกฯเฉพาะกาลซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายเข้ามาบริหารประเทศชั่วคราว โดยในบรรดาตัวเต็งที่คาดว่าอยู่ในข่ายที่จะนั่งเก้าอี้นายกฯเฉพาะกาลนอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ เองแล้ว ยังมีบุคคลสำคัญ อาทิ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะแกนนำเครือข่ายเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรีและอดีตประธานศาลฏีกา ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย
อดีตรองนายกฯและอดีตรมว.ต่างประเทศ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯ
คำถามจากการก่อรัฐประหารครั้งนี้ก็คือ กสช.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จะนำพาบ้านเมืองไปสู่ความสงบเรียบร้อยและปฏิรูปประเทศให้เดินไปข้างหน้าไปสู่สิ่งที่ดีกว่าพ้นจากวงจรอุบาทว์อันชั่วร้ายทางการเมืองได้สำเร็จตามเป้าหมายและตามความคาดหวังของประชาชนได้หรือไม่
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี