ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเริ่มออกมาแบไต๋แล้วว่าจะต้องกำหนดเรื่องการสร้างความปรองดองไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรและในที่สุดแล้วก็จะนำไปสู่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมในกระบวนการสุดท้ายท่ามกลางความหวั่นวิตกว่าอาจจะเป็นระเบิดเวลาทางการเมืองลูกใหญ่ที่จะนำไปสู่วิกฤติความแตกแยกในชาติรอบใหม่
ความจริงแล้วภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่บ้านเมืองอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เพื่อเดินไปข้างหน้าเสียทีหลังบอบช้ำอย่างหนักและเสียโอกาสการพัฒนาประเทศมานานเกือบ 10 ปี คงไม่มีผู้ที่บริสุทธิ์ใจต่อชาติบ้านเมืองโดยไม่มีวาระซ่อนเร้นไม่ว่าฝ่ายไหนที่คัดค้านการนิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองแบบหัวชนฝา แต่ที่เกิดปัญหาที่ผ่านมายุครัฐบาลชุดที่แล้วซึ่งเป็นหุ่นเชิดระบอบทักษิณก็เพราะรัฐบาลหุ่นเชิดพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลุแก่อำนาจอาศัยความเป็นเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยข่มขืนหักดิบรวบรัดผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งมีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งที่จะฟอกโทษความผิดทั้งหมดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯผู้อื้อฉาว ซึ่งเป็นนักโทษหนีโทษจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีคดีทุจริตและคดีอาญาร้ายแรงติดตัวอีกมากมาย รวมทั้งยังมุ่งที่จะลบล้างโทษความผิดให้กับแกนนำคนเสื้อแดงและขบวนการก่อการร้ายที่เผาบ้านทำลายเมืองในเหตุการณ์เมื่อปี 2553 อันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐอย่างสิ้นเชิงตลอดจนสร้างแบบอย่างอันเลวร้ายให้ขบวนการก่อการร้ายเมื่อทำผิดแล้วใช้ความหายนะของชาติบ้านเมืองเป็นตัวประกันและใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือกดดันต่อรองเพื่อให้ตัวเองได้รับการนิรโทษกรรม
การลักไก่หักดิบผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมตอนตีสี่ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์กลายเป็นชนวนจุดเชื้อไฟความไม่พอใจของมวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติและของโลกจนลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤตการณ์ที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก กระทั่งนำไปสู่การยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ในที่สุด
การที่ ดร.บวรศักดิ์ เห็นว่าต้องปรองดองก่อนแล้วจึงนิรโทษกรรม และจะต้องไม่ข้ามขั้นตอนด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมโดยที่ไม่ยังไม่สร้างความปรองดองก่อนซึ่งหากทำเช่นนั้นเกิดปัญหาแน่นับเป็นความเห็นที่ถูกต้อง เพราะการนิรโทษกรรมนั้นคือกระบวนการสุดท้ายของการสร้างความปรองดอง โดยจะต้องจัดลำดับก่อนหลังโดยเบื้องต้นต้องเรียกแกนนำคู่กรณีทุกสีทุกฝ่ายมาสร้างความเข้าใจละลายพฤติกรรมในอดีตจนมีความคิดตลกผลึกยอมรับซึ่งกันและกันเสียก่อน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการนิรโทษกรรมก็จะเป็นไปด้วยความราบรื่น
ทั้งนี้ผลสรุปการศึกษาของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธานเคยรายงานให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์แต่ถูกทิ้งลงตะกร้า ซึ่งน่าจะมีการนำมาใช้เป็นแนวทางการสร้างความปรองดองในชาติอย่างเป็นกลางเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ โดยรายงานการศึกษาของคปอ.เห็นว่าควรจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ประชาชนทุกสีทุกกลุ่มที่ร่วมชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันโดยไม่ครอบคลุมถึงคดีทุจริต คดีอาญาร้ายแรง
หรือคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
เพราะฉะนั้นหากคสช.โดยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจริงใจและจริงจังที่จะสร้างความปรองดองและออกกฎหมายนิรโทษกรรมก็ต้องสร้างการยอมรับจากทุกฝ่ายก่อนโดยไม่ใช้วิธีการยัดเยียดแบบข้ามขั้นตอน จากนั้นจึงค่อยออกกฎหมายนิรโทษกรรมภายใต้กรอบที่ คอป.เคยศึกษาไว้ โดยปัญหาสำคัญคือต้องไม่มีวาระซ่อนเร้นมุ่งช่วยเหลือใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมิฉะนั้นแทนที่จะนำไปสู่การสร้างความปรองดองกลับจะยิ่งสุมไฟวิกฤติแตกแยกให้ลุกโชนรุนแรงยิ่งขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี