พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลหุ่นเชิดนายกฯนกแก้วยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ความสำคัญกับศึกชิงเก้าอี้ผู้ว่า กทม.ครั้งนี้เป็นอย่างมาก โดยนับตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้เข้ามายึดอำนาจรัฐบริหารประเทศมานานกว่าปี หนึ่งในเป้าหมายของนายใหญ่ผู้บารมีเหนือรัฐบาลก็คือต้องทำทุกอย่างเพื่อยึดอำนาจเมืองหลวงให้ได้เพื่อให้แผนของระบอบทักษิณที่จะรุกคืบยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดบรรลุเป้าหมายโดยสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
พรรคเพื่อไทยอาศัยความได้เปรียบในฐานะรัฐบาลที่คุมกลไกอำนาจรัฐทุ่มเททำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะศึกชิงเก้าอี้ผู้ว่าเมืองหลวงครั้งนี้ให้จงได้ โดยอาศัยสารพัดโครงการประชานิยมชนิดลด แลก แจก แถมสะบั้นหั่นแหลกของรัฐบาลมาเป็นนโยบายหาเสียงให้กับพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครชิงผุ้ว่ากทม.ของพรรคเพื่อไทย ขณะที่มีข่าวลือสะพัดว่ากระทรวงมหาดไทยวางแผนล่วงหน้ามานับปีด้วยการย้ายชื่อมวลชนพรรคเพื่อไทยในภาคอีสานและภาคเหนือจำนวนมากเข้ามาในกทม.เพื่อศึกชิงเก้าอี้ผู้ว่ากทม.ครั้งนี้โดยเฉพาะ
ข้อน่าสังเกตุก็คือหนึ่งในสโลแกนสำคัญที่พรรคเพื่อไทยชูธงเป็นประเด็นหาเสียงเพื่อชิงเก้าอี้ผู้ว่ากทม.ครั้งนี้ก็คือสโลแกน”ไร้รอยต่อ” ซึ่ง นายกฯยิ่งลักษณ์ และ พล.ต.อ.พงศพัศ พยายามย้ำเพื่อขอคะแนนจากคนกรุง ด้วยการอ้างว่า หากผู้ว่า กทม.คนใหม่สังกัดพรรคเดียวกับรัฐบาลก็จะทำให้การประสานงานราบรื่นไร้อุปสรรคโดยมีบทเรียนจากวิกฤติมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 ที่เกิดการงัดข้อโยนความผิดกันไปมาระหว่างรัฐบาลกับกทม.
พล.ต.อ.พงศพัศ ถึงกับอาศัยความเป็นรัฐบาลข่ม กทม.ซึ่งเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยกล่าวในทำนองว่า หากผู้ว่ากรุงมหานครไม่ใช่ฝ่ายเดียวกับรัฐบาลก็คงบริหารกทม.ได้ยากหากขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณจากรัฐบาล
การชูประเด็น “ไร้รอยต่อ” เป็นประเด็นหาเสียงศึกชิงเก้าอี้ผู้ว่ากทม.ครั้งนี้สะท้อนแนวคิดและธาตุแท้พฤติกรรมของระบอบทักษิณที่มุ่งผูกขาดรวบอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือยึดครองอำนาจทุกองคพายพของประเทศให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพื่อสถาปนาระบอบทักษิณอย่างสมบูรณ์แบบในอนาคต
นอกจากนี้ยังเป็นแนวคิดที่สวนทางกับหลักการกระจายอำนาจทั้งๆที่กทม.เป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และเป็นการส่งเสริมให้เกิดความแบ่งพรรคแบ่งพวก ทั้งๆที่การทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองต้องคำนึงถึงเป้าหมายผลประโยชน์ของส่วนรวมและประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ควรจะมุ่งแต่จะเอาชนะคะคานทางการเมืองแบ่งพรรคแบ่งพวก แต่พรรคเพื่อไทยกลับชูประเด็นหาเสียง “ไร้รอยต่อ” อันเป็นการส่งเสริมค่านิยมให้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายด้วยการอ้างว่ารัฐบาลกับผู้ว่ากทม.หากเป็นคนละพรรคกันจะไม่สามารถร่วมมือกันได้ ทั้งๆที่ในอดีตที่ผ่านมาผู้ว่ากทม.ซึ่งไม่สังกัดพรรคหลายต่อหลายคนก็สามารถร่วมมือกับรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมาได้อย่างราบรื่น หรือแม้แต่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่ากทม.คนล่าสุด และเป็นผู้สมัครชิงเก้าอี้กทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ก็ทำงานร่วมกับรัฐบาลชุดนี้ได้อย่างดีมาตลอด แต่มามีปัญหาช่วงหลังเมื่อเกิดมหาอุทกภัยปี 2554 ซึ่งก็รู้กันอยู่ว่าเป็นเรื่องของเกมการเมืองที่ต้องการกลบเกลื่อนความล้มเหลวของรัฐบาลที่เป็นต้นเหตุของวิกฤติมหาอุทกภัยแล้วโยนบาปให้ กทม.
ที่สำคัญ”ไร้รอยต่อ” เป็นการสะท้อนแนวคิดที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งและสะท้อนให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณพยายามทำทุกวิถีทางไม่ว่าด้วยเล่ห์หรือด้วยกลเพื่อผูกขาดรวบอำนาจหวังยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ขณะเดียวกันก็จะเปิดช่องให้สามารถสมคบกันทุจริตโกงบ้านกินเมืองได้อย่างย่ามใจอย่างยากที่จะตรวจสอบขัดขวางเพราะผู้บริหารรัฐบาลและกทม.เป็นขบวนการระบอบทักษิณพวกเดียวกันเอง
ทีมข่าวการเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี