ยุคสมัยหนึ่ง ไม่มีใครไม่รู้จัก วง UHT บอยแบนด์ชื่อดัง และเป็นบอยแบนด์ยุคแรกๆ ที่พกพาเอาความหล่อเหลา มาเรียกความสนใจของสาวๆ ทั่วทั้งประเทศ ในวันนั้นพวกเขาดังเพียงชั่วข้ามคืน หากแต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อเวลาผันผ่าน ต่างคนต่างค้นพบความถนัดคนละด้าน 6 สมาชิกจึงแยกทาง เปลี่ยนตำแหน่งงานไปตามหน้าที่ โดยคงไว้ซึ่งความเป็นเพื่อนที่ยังอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน
ในวันนี้หนึ่งในสมาชิกวง UHT อัลเบิร์ท เดมอน จะมาเปิดใจถึงความประทับใจเมื่อครั้งเป็น UHT พร้อมบอกเล่าถึงเรื่องราวความรัก และธุรกิจที่กำลังประสบความสำเร็จอย่างมากของเขา
มีความสนใจด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก
เริ่มต้นจากน้าของผมเขาเล่นดนตรีให้กับวงแกรนด์เอ็กซ์ และเล่นให้กับพี่แจ้ (ดนุพล แก้วกาญจน์) วงพลอยสมัยก่อนครับ น้าผมก็จะมีเครื่องดนตรีเยอะมาก ตอนนั้นพอเห็นเราก็ชอบเลย เหมือนมีบางอย่างดึงดูด แล้วตื่นเต้นมากที่ได้จับเครื่องดนตรี ยิ่งเวลาที่น้าไปเล่นคอนเสิร์ตตามต่างจังหวัด เราก็จะตามไปด้วย ทำให้เราชอบดนตรี และหลงรักงานด้านนี้ไปเลย
เริ่มทำเพลงตั้งแต่ ม.1
ต้องบอกก่อนว่าสมัยนั้น วงแจ้และพลอยอยู่ค่ายนิธิทัศน์ แต่ตอนหลังได้ย้ายไปอยู่ที่แกรมมี่ อัลบั้มชุดแรกที่ผมทำคือของ พี่ต่าย-เพ็ญพักตร์ แล้วได้เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ พี่นิด-อรพรรณ นอกจากนั้นก็ทำเพลงละคร ซึ่งส่วนตัวผมชอบอุปกรณ์ดนตรีต่างๆ เลยเริ่มหัดทำเพลงเองตอน ป.6-ม.6 ถ้าถามว่าเด็กไปไหม ผมคิดว่าเป็นความโชคดีมากกว่า ที่มีคุณน้าทำงานด้านนี้ และมีอุปกรณ์ให้เราเห็นตั้งแต่เด็กตอนเด็กๆ ทุกคนมักชอบเล่นเกมส์ แต่ผมเล่นเกมส์ หรือจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ ไม่ได้ คือถ้าจ้องพวกนั้นนานๆ ผมจะเวียนหัว แล้วอาเจียน เครื่องดนตรีเลยกลายเป็นของเล่นของผมแทน พอครอบครัวเห็นว่าเราชอบ และมีความตั้งใจ เวลาที่ขอซื้อเครื่องดนตรี ท่านก็จะอนุญาต เพราะเห็นความตั้งใจของเรา
เพลงแรกที่มีส่วนร่วม
เพลงประกอบละคร “ดาวพระศุกร์” ครับ ผมมีส่วนช่วยทำในเรื่องของกลอง หลังจากนั้นก็มีเรียบเรียงเพลงของอัลบั้มโลกเบี้ยวชื่อเพลง “ขีดเส้นใต้”แล้วก็ได้ช่วยคุณน้าทำเพลงละคร 3 หนุ่ม 3 มุมด้วย ซึ่งก่อนที่เราจะส่งเพลงให้นักร้อง ก็จะมีการร้องไกด์ก่อน ซึ่งผมมีโอกาสได้ร้องไกด์ในส่วนของพี่มอส- ปฏิภาณ ด้วยความที่เราได้ไปห้องอัดบ่อยๆ ทำให้เราได้ซึมซับในส่วนนี้
เข้าร่วมวง UHT
แกรมมี่มีโครงการทำวงบอยแบนด์ แล้วมีการคิดกันว่าจะมีสมาชิกเป็นใครบ้าง คนที่เข้ามาแรกๆ ก็จะมีผมกับ เต็ม(วุฒิสิทธิ์ สืบสุวรรณ) เพราะว่าเต็มเคยร้องไกด์เพลงละคร เพลงหนังมาก่อน แล้วก็พี่ไก่ (เอกภพ จันทรังษี) ซึ่งมาจากแผนกคัดเลือกศิลปินของแกรมมี่ ส่วนคนอื่นเริ่มทยอยมาทีหลังจนรวมเป็น UHT ตอนนั้นได้มีการเทรนด์ภายใน สำหรับการทำงานในห้องอัด และส่วนต่างๆ
ชีวิตเปลี่ยนหลังจากออกเทป
เราไม่เคยคิดว่า UHT จะดังขนาดนี้จากที่เดินไปไหนไม่มีคนรู้จัก แต่พอออกเทปเดินไปไหนทุกคนจับตามอง คือชีวิตเปลี่ยนเร็วมาก หลังจากออกเทปแค่ไม่กี่วัน ยอมรับว่าช่วงนั้นวางตัวลำบากครับ เพราะเหมือนชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป แต่พอช่วงเวลาผ่านไปทุกอย่างเริ่มลงตัว ทำให้เรารู้จุดแล้วว่าจะต้องทำตัวยังไง
บุคคลสำคัญในชีวิต “เต๋อ-เรวัติ”
ตอนที่จะเซ็นสัญญา UHT ลุงเต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) เรียกพวกเราทั้ง 6 คน เข้าไปในห้องทำงาน ระหว่างที่เซ็นสัญญาลุงก็พูดว่า “ดีใจด้วยนะที่วันนี้พวกคุณจะได้เข้ามาอยู่บ้านแกรมมี่อย่างเป็นทางการ คนเราในชีวิตมีสิ่งสำคัญอยู่หลายอย่าง บางอย่างลุงให้ได้ บางอย่างให้ไม่ได้พวกเอ็งต้องไปหาเอาเอง สิ่งที่ให้ได้ก็คือ ความมีชื่อเสียง อันนี้ลุงรับรองว่าหลังจากออกเทปไปพวกคุณจะต้องมีสิ่งนี้แน่นอน และพวกคุณก็จะมีเงินทองจากการทำงานตรงนี้ แต่สิ่งที่ลุงให้ไม่ได้คือความสุขในชีวิตอันนั้นพวกเอ็งต้องไปหาเอาเอง เพราะถึงจะมีชื่อเสียงเงินทองมากมาย แต่ถ้าใช้ชีวิตไม่ถูกวางตัวไม่เป็น ทั้งสองอย่างที่พูดมาอาจเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวเอง” ต้องบอกก่อนว่าลุงเต๋อเหมือนเป็นพี่ เป็นลุง บางอย่างที่ท่านสอนเหมือนกับพ่อสอนลูก ทุกวันนี้ผมยังประทับใจหลายๆ อย่าง เมื่อก่อนยังเป็นเด็กก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดนัก แต่พอเราโตขึ้นแล้วมองย้อนกลับไปจะเห็นว่ามันจริงนะสำหรับสิ่งที่ท่านสอน
UHT หายไปนานถึง 7 ปี
เราออกอัลบั้ม ทำงานกัน 2-3 ปี แต่ละคนก็เริ่มอยากออกไปทำสิ่งที่ชอบ หรือไปเรียนต่อ สำหรับผมคือออกไปเรียน เรารู้ตัวว่าตอนนั้นถ้าเรียนไม่จบภายใน 4 ปี แล้วเพื่อนๆ จบไปหมดแล้ว ความอยากเรียนของเราก็จะลดลง เลยคิดว่าไปเรียนให้จบ นอกจากหยุดไปเรียนแล้ว ยังไปทำห้องอัดด้วย และเคยทำเพลงให้วงฟรีเพลย์ สมัยนั้นเป็นสิ่งที่เราชอบ เพียงแต่ว่าไม่ใช่เบื้องหน้าก็แค่นั้น พูดได้ว่ากว่าจะออกเทปชุดที่ 2 ก็ใช้เวลา 10 ปี ครับ ชื่ออัลบั้ม 2 U จริงๆ แล้วโดยรวม UHT จะเป็นแบบนี้ครับ เรายังเจอกัน โทร.คุยกัน คือต้องบอกว่าถึงแม้จะไม่ได้ออกอัลบั้มด้วยกัน แต่พวกเรายังเป็นเพื่อนกันครับ
เรียกว่าแยกวงไหม
ไม่ได้เรียกว่าแยกวงหรอกครับ พวกเราไม่ได้ทะเลาะกันหรือมีปัญหาอะไรเลยครับ เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปพอเราโตขึ้นทุกคนมีความชอบแตกต่างกันอย่างพี่เอก (ดีเจเอกกี้-เอกชัยเอื้อสังคมเศรษฐ)เขาชอบเป็นพิธีกร ดีเจ ซึ่งเขาก็ทำได้ดี กัปตัน(ภูธเนศ หงษ์มานพ)ชอบเล่นละครพี่ไก่ชอบค้าขาย เต็มชอบเรื่องเพลงก็ทุ่มเทเอาจริงกับเพลง แล้วยังช่วยพ่อเขาทำเพลงอยู่ด้วย สำหรับเปปเปอร์ (รัฐศาสตร์ กรสูต) ชอบสายวิชาการเขาก็เรียนจนจบดอกเตอร์ อย่างผมชอบทำธุรกิจ ทุกคนล้วนทำหน้าที่แบบที่ตัวเองชอบได้ดีอยู่แล้วครับ
เสียดายไหม
UHT เป็นความทรงจำครับ มันไม่ได้มีอะไรที่น่าเสียดายเลย อารมณ์แบบเพื่อนกลุ่มนึงมาเจอกัน วันนึงก็ต้องไปเจอกลุ่มอื่น แต่ความเป็นเพื่อนของเราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ได้หายไปไหนแน่นอนมันสนิทกันเหมือนเพื่อนม.ปลาย อย่างงานแต่งงานผมวันที่ 20 กันยายนนี้ คิดว่า UHT ทั้งหมดน่าจะมารวมตัวกันครับ
ความรักกับ อ้อน-ลัคนา
ผมรู้จักกับอ้อนมา 14 ปี คบกันนานขนาดนี้ ต้องเข้าใจว่าคนทุกคนบนโลกนี้ มีนิสัยไม่เหมือนกัน บางคนชอบกินเผ็ด บางคนชอบกินหวาน แต่ด้วยนิสัยผมแล้ว ผมเป็นคนเรื่อยๆ ทุกอย่างในชีวิตเป็นไปตามสเต็ปของมัน แล้วรู้สึกว่าอ้อนก็เป็นคนแบบนี้เหมือนกัน ผมรู้จักอ้อนผ่านรุ่นน้องของมหาวิทยาลัย ซึ่งทำงานที่ RS ชื่อ เอ ตอนนั้นอ้อนออกอัลบั้มแรกพอดี คุยกันสักพักก็คบกันเป็นแฟน
คบกันแบบไม่หวือหวา
เราสองคนคบกันแบบเพื่อน แบบพี่ไม่ได้หวือหวาอะไร ผมรู้สึกว่าคนเราต้องมีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง คู่ของผมคบกันแบบไม่ได้ปิด แต่ก็ไม่ได้เปิด บางอย่างทำอะไรไม่ต้องให้คนอื่นรับรู้ชีวิตส่วนตัวมาก ด้วยนิสัยที่ผมเป็นคนชอบอยู่เงียบๆ ผมไม่ใช่คนที่จะมานั่งซื้อดอกไม้ หรือเซอร์ไพรส์อะไรมากมาย เป็นสิ่งที่บอกอ้อนได้เลยว่า ผมเป็นคนแบบนี้ และอีก 20 ปี ผมก็จะเป็นคนแบบนี้ ไม่ใช่มานั่งทำตัวดีเพื่อให้เขาชอบ แล้วไม่รู้ว่าเราจะทำได้ตลอดไปหรือเปล่า
วินาทีขอแต่งงาน
ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยครับ แค่คุยๆ กันว่าคบกันนานแล้วนะ น่าจะถึงเวลาที่ควรแต่งงานกัน อย่างที่บอกแต่ต้นว่าผมไม่ใช่สไตล์มาคุกเข่าขอแต่งงานหรืออะไร การแต่งงานคือบอกให้คนทั่วไปรู้ว่านี่คือภรรยาของเรา
ความประทับใจใน อ้อน ลัคนา
รวมๆ แล้วคืออยู่ด้วยแล้วสบายใจ อ้อนไม่เคยทำให้ผมหนักใจเลย ชีวิตคู่ไม่ต้องการอะไร นอกจากความสุข ความเข้าใจ และสบายใจครับ นั่นคือคุณสมบัติของคู่ชีวิตที่เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปครับ
เตรียมแผนงานวิวาห์
พูดตรงๆ นะครับ ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย (หัวเราะ) หลายคนไม่เชื่อ คือด้วยความที่เราเป็นคนจัดงานอยู่แล้ว เรารู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่อะไรยังไง ธีมงานก็ไม่มีครับ เราถือว่าเป็นงานที่ให้คนรู้จักมาร่วมยินดี ร่วมสนุกกัน จริงๆ สิ่งที่ต้องเตรียมตอนนี้คือการ์ดเชิญ
วางแผนการมีทายาท
ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติครับ ถ้ามีได้เลยก็ดีครับ แต่ยังไม่ได้วางไว้ว่าต้องยังไงครับ เพราะตอนนี้อ้อนเขาวางแผนเที่ยวไว้เยอะมากทั้งญี่ปุ่น, อเมริกา, เกาหลี คือเขาเป็นคนชอบเที่ยว ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าลูกจะมีคงมาเองครับปล่อยให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ
หน้าที่การงานในปัจจุบัน
บริษัทที่ผมทำชื่อ “ลิควิด แพลนเน็ต” ครับ เริ่มต้นจากทำโปรดักชั่น พวกห้องอัด ตัดต่อก่อน ประมาณโปรดักชั่นเฮาส์ ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าโปรดักชั่นเฮาส์น่าจะเป็นเรื่องของเพลง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เราทำพวกระบบเสียงจริงจัง อย่างเช่นที่เราเคยทำคือระบบเสียงในโตโยต้า ที่มีเสียงนำร่องเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา พอทำไปถึงจุดหนึ่งบังเอิญว่ามีเพื่อนคนหนึ่งจะแต่งงานแล้วจองเครื่องเสียงไว้ แต่พอถึงวันงานเจ้าของเครื่องกลับไม่เก็บเครื่องเสียงไว้ให้เขาผมก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวผมซื้อให้ ก็ซื้อเป็นชุดเล็กๆ ชุดหนึ่งให้ครับ จากจุดนั้นกลายเป็นจุดพลิกผัน เพราะทุกวันนี้งานหลักของ “ลิควิด แพลนเน็ต” คือให้เช่าเครื่องเสียง, ทำระบบเสียง, จัดงานคอนเสิร์ต, งานอีเว้นท์, งานเปิดตัวสินค้า และเป็นออแกไนเซอร์ พร้อมๆ กับซัพพลายเออร์ด้วย ทุกวันนี้เราทำงานให้ตำรวจท่องเที่ยว จัดงานให้โรงแรมแชงกรี-ลาทั้งหมด ซึ่งสำหรับโรงแรมเราทำให้มากว่า 7 ปีแล้วครับ และเรายังมีงานอื่นๆ ทั้งใน และต่างประเทศด้วย อย่างที่บอกครับว่าเรามีของทั้งหมดเป็นของตัวเองเราสามารถทำคอนเสิร์ตได้เลย เวลาที่เราจัดงานเราใช้ของตัวเองหมด แต่ก็มีลูกค้าเจ้าอื่นที่เขาเป็นออแกไนเซอร์ มาขอเช่าแค่เครื่องไปจัดก็มีครับ
เริ่มบุกตลาดเกาหลี
ช่วงหลังๆ เราหันมาทำคอนเสิร์ตให้กับศิลปินเกาหลี เริ่มตั้งแต่วง T-ara, งานอีเว้นท์ Girls’ Generation, BTOB, BAP, งานแฟนมีทติ้งของ Kim SuHyun และSo Ji-Sub ครับ แต่ว่าของ Kim SuHyun เราไม่ได้ทำแค่ในเมืองไทยเท่านั้นแต่เราทำที่อินโดนีเซียด้วย และอีกคนคือ Kim kibum ที่สิงคโปร์ และฮ่องกงครับ และจะมีภายในปีนี้อีก 2 ราย จะบอกว่าบุกคงไม่ใช่ แต่เป็นการแนะนำต่อๆ กันมามากกว่า แล้วคนเกาหลีก็เริ่มรู้จักเราทำให้มีงานเข้ามาเรื่อยๆ จนงานเกาหลีจะกลายเป็นงานหลักแล้วครับ
ยากไหมกับการทำงานกับเกาหลี
ทางบริษัทผมจะเป็นคนคุยเองกับทางเกาหลีโดยตรงว่าเขาต้องการแบบไหน ยี่ห้ออะไร ระบบเสียงแบบไหน ส่วนโปรโมเตอร์ คนจัดงานที่เขาจ้างเราเขาจะไปดูแลเรื่องการขายบัตร เรื่อง PR ครับ สำหรับโปรดักชั่นทั้งหมดมอบหมายให้เราดูแล อย่างตอนที่เราทำวงแรกก็มีปัญหาครับ แต่พอเราเริ่มทำงานเยอะเราได้เรียนรู้ และรู้ทางของเกาหลีเขาครับ
เป้าหมายความสำเร็จของบริษัท
แต่ละคนตั้งเป้าประสบความสำเร็จไว้ไม่เท่ากัน สำหรับผมถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เพราะเราได้ทำสิ่งที่ชอบ อุปกรณ์ที่มีอยู่ก็ถือว่ามีมูลค่าไม่น้อยจากที่เราไม่ได้ตั้งใจวางรากฐานทางด้านนี้โดยตรง มาถึงตรงนี้ได้ถือว่าโอเคแล้วครับยังเคยนั่งคุยกับทีมงานด้วยกันว่า “ใครจะเชื่อว่าเราจะมาถึงวันนี้ได้” อนาคตบริษัทจะต้องขยายใหญ่กว่านี้แน่นอน มั่นใจครับ เราไม่ได้โตอย่างก้าวกระโดด บริษัทเราไม่มีฝ่ายขายออกไปขายงาน แต่เราใช้ปากต่อปากตั้งแต่เปิดบริษัทมา 10 ปี มีงานเข้ามาตลอด งานโปรดักชั่นต้องมีความรู้ และความชอบ ยิ่งเราทำงานกับต่างประเทศ ทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น และเราคุยกับลูกค้าโดยตรง เพราะเรามีอุปกรณ์ทุกอย่างในมือ เวลาทำงานผมลงไปดูงานเองทุกครั้ง อย่างที่บอกว่ามันเป็นงานที่เราชอบ สำหรับอนาคตอาจมีขยายงานมากกว่านี้ครับ
วางแผนอนาคตของบริษัท
ตอนนี้เรามองเรื่องของคอนเสิร์ตเป็นหลักครับ จริงๆ เรามีคุยอยู่หลายอย่าง แต่ยังพูดอะไรมากไม่ได้ เอาเป็นว่าภายในปีนี้อาจจะยังไม่ขยับอะไรแต่อาจจะมีโปรเจกท์ใหญ่สิ้นปีนี้ ซึ่งต้องรอดูครับ
ก่อนจากกัน “อัลเบิร์ท” ทิ้งท้ายฝากถึงผู้ที่สนใจอยากร่วมงาน หรือต้องการปรึกษาเรื่องการจัดงาน อย่ากลัวที่จะถาม เพราะเขาเน้นว่า “บริษัทผมไม่ได้แพงอย่างที่คิดครับ” (ยิ้ม)
พรหมประภา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี