“ความลำบากทำให้มานั่งคิดว่า ผมรักดนตรีจริงๆ หรือเปล่า แต่แล้วก็ตระหนักว่า ดนตรีไม่ได้ผิดอะไร อาจจะเป็นเราที่ยังไม่จริงจังมากพอ!!”
“สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้พบกับเจ้าของตำนานเพลงหวานที่ยังคงตราตรึงใจผู้ฟัง อาทิ “แด่เธอ” , “ทนได้ทนไป” ฯลฯ..โชติชู พึ่งอุดม หรือ ป้อม ออโต้บาห์น ผู้มีเอกลักษณ์เสียงหวาน หลังเปียโนตัวใหญ่ ที่พร้อมเปิดใจ ในทุกเรื่องกว่าจะถึงวันนี้
ดนตรีในครัวเรือน
บังเอิญที่บ้านของผมมีเปียโนอยู่ตัวหนึ่ง แล้วคุณพ่อชอบเล่นเปียโน บวกกับพี่ชายชอบเล่นกีตาร์ก็สอนเราเล่นกีตาร์ด้วย ทำให้เราคลุกคลีอยู่กับเครื่องดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เวลามีวันเกิดของคนในบ้านครอบครัวก็จะมาตั้งวงดนตรีเล่นกัน แต่ในครอบครัวไม่ได้เล่นดนตรีเป็นอาชีพ ทุกคนมีงานประจำเป็นของตัวเอง
จุดเริ่มต้นเส้นทางสายดนตรี
ผมต้องอธิบายก่อนว่า ผมไม่เคยเรียนดนตรี สมัยที่ยังเรียนหนังสือ เราเล่นกีตาร์แบบสนุกๆ ตามที่พี่ชายสอนมา ส่วนเพื่อนๆ ก็เล่นดนตรีแบบวัยรุ่นเล่นกัน พอเล่นนานๆเข้าพวกเราก็กลายเป็นวงดนตรีประจำโรงเรียน ช่วงนั้นพอเล่นดนตรีไปนานๆ รู้สึกว่ามีอะไรดึงดูดเรา อาจเพราะตอนนั้นผมรู้สึกว่ามีอะไรให้ทำมากกว่าการเป็นนักเรียนอย่างเดียว เวลาไปไหนแล้วรู้สึกเท่ห์ครับ เวลามีงานโรงเรียน หรืองานอะไร วงของเราก็ได้ขึ้นแสดง ซึ่งก็จะเป็นจุดสนใจให้ทุกคนมาดูพวกเรา พอรู้สึกสนุกสักพักก็เริ่มหนีโรงเรียนเพื่อไปซ้อมดนตรี หนักเข้าก็ไม่เรียน เลิกเรียนเลยครับ หนีไปเล่นดนตรีต่างจังหวัด ไปอยู่หาดใหญ่ประมาณ 2 ปี ไปร้องเพลงตามร้านอาหาร และโรงแรม ช่วง 2 ปีนั้นรู้สึกสบายมากครับ ไม่ต้องเรียนหนังสือแถมยังได้เงินอีกด้วย แต่พอหมดสัญญา ผมก็กลายเป็นคนตกงาน เลยต้องกลับมากรุงเทพ
ครอบครัวไม่สนับสนุน
แม่ไม่ชอบเลยครับ เขามองว่า นักดนตรีไส้แห้ง คือแม่ชอบให้เล่นดนตรีสนุกๆ เป็นงานอดิเรก ไม่ได้อยากให้เรายึดเป็นอาชีพ ท่านสนับสนุนด้านการเรียนมากกว่า เราเริ่มคิดแล้วว่าควรหางาน หางานอยู่ได้ประมาณ 1 ปี แต่ไม่ได้สักที แล้วเราอยู่บ้านอย่างเดียว ยิ่งทำให้รู้สึกเหงามากกว่าเก่า แม่เลยบอกให้กลับไปเรียนหนังสือ ซึ่งเราก็กลับไปเรียนตามที่ท่านบอก แต่เรียนได้แค่ปีเดียว พอดีมีงานเข้ามาเราก็ไปทำงานอีก แม่เลยบอกว่าให้หยุดเรียนไม่ต้องเรียนแล้ว ให้หางานทำเลย(หัวเราะ)
ตัดสินใจออกมาใช้ชีวิตตามลำพัง
หางานทำไม่ได้ครับ(หัวเราะ) ผมมาเช่าคอนโดฯอยู่คนเดียว โดนเขาตัดน้ำตัดไฟ จนเขาจะมายึดคอนโดฯผมก็เอาเชือกผูกประตูไว้ไม่ให้เข้ามา ตอนนั้นเราไม่ได้บอกที่บ้าน ว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะเราไม่อยากให้เขาเป็นห่วง แล้วโชคดีตอนนั้นมีเพื่อนมาจ้างสอนเปียโนได้วันละ 500 แต่ต้องใช้ 500 นั้นทั้งอาทิตย์ ความลำบากทำให้ผมต้องมานั่งคิดว่า ผมรักดนตรีจริงๆหรือเปล่า จะทนอยู่แบบนี้ไหม หรือว่าจะกลับบ้านแล้วไปเรียนหนังสือดี พอนั่งคิดก็ทำให้เราตระหนักว่า ดนตรีไม่ได้ผิดอะไร อาจจะเป็นเราที่ยังไม่จริงจังมากพอ แต่สุดท้ายก็ได้บทสรุปว่า เราขาดดนตรีไม่ได้ จะให้เรากลับไปเรียนคงทำไม่ได้ เพราะไม่ชอบการเรียนครับ
เข้าร่วมเป็นสมาชิก “วงออโต้บาห์น”
ผมตระเวนเล่นดนตรีตามจังหวัด อยู่ประมาณ 5-6 ปี แล้วกลับมากรุงเทพ ได้งานประจำทำที่โรงแรมอินทรา การไปเล่นตามต่างจังหวัดได้ผลค่อนข้างดี ทำให้เรามีโอกาสได้พบกับวงร็อคเคสตร้า และวงดีเวส แล้วเขาก็มาทำวงออโต้บาห์น ซึ่งเขาขาดมือคีย์บอร์ดพอดี ทำให้ทางวงนึกถึงผม เพราะเราเคยเจอกันที่หาดใหญ่ ทางวงออโต้บาห์นมาคุยกับผม พวกพี่เขาอธิบายว่าวงมีแผนจะทำอะไรบ้าง ตอนนั้นผมคิดว่าคงไม่ไหว แต่ทุกคนเชื่อว่าผมทำได้ ผมเลยตอบตกลง ทีนี้เขาก็ส่งเพลงมาให้แกะ 60 เพลง ในระยะเวลา 1 เดือน ซึ่ง 60 เพลงเป็นเพลงที่วงเล่นก่อนจะออกอัลบั้ม ผมก็จำได้หมดนะ แต่จำได้แต่ทำนอง ชื่อเพลงไม่รู้หรอก เวลาจะเล่นก็ถามพี่เขาเอาว่าทำนองแบบไหน(หัวเราะ) ตั้งแต่นั้นผมก็ได้เข้ามาอยู่วงออโต้บาห์น แล้วเริ่มเข้ามาอัดเสียง อัดโฆษณา ในบริษัท บัตเตอร์ฟลาย ซึ่งเพลงที่ร้องเพลงแรกคือ “กรุงเทพมาราธอน” หลังจากนั้นก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ทำอัลบั้มวงออโต้บาห์น ชุดแรกกับค่ายคีตาครับ
อัลบั้ม 2 ชุดในนามวงออโต้บาห์น
อัลบั้มชุดแรกคือวิญญาณ ความรัก แด่เธอ ชุดที่สอง คือความรัก หลังจากนั้นวงก็แยกไปครับเพราะพี่นุ (ธรรมนูญ หะยีสา) และพี่เกี๊ยก (สมโชค เล้าเปี่ยมทอง) เขาเล่นดนตรีมานานแล้ว พอออกเทปแล้วต้องมีการเดินสายไปเล่นที่โน่นที่นี่เขาก็เริ่มไม่ไหวกัน เราเล่นกันทุกวัน จนพี่เขาคิดว่าถึงจุดอิ่มตัวแล้ว เลยตัดสินใจแยกกันไป หลังจากนั้น พี่เอ็ดดี้(อัธพนธ์ มกรานนท์) ก็มีอัลบั้มของตัวเอง ผมก็มาทำอัลบั้มของตัวเองเช่นกัน
“ศาลาบาร์” ธุรกิจในครัวเรือน
ช่วงนั้นผมเริ่มประสบความสำเร็จทางด้านดนตรี แล้วพอมีเงินอยู่บ้าง เลยเริ่มคิดว่าอยากมีร้านของตัวเองที่เราสามารถเล่นดนตรีได้ในแบบของเรา บังเอิญร้านเพื่อนตรงสี่แยกประชานุกูล เขาทำไม่ไหว เลยไปช่วยเพื่อน และลงหุ้นกับเขา ตอนนั้นร้านชื่อ “ศาลาเรือนเดิม” เป็นร้านเพื่อชีวิต ซึ่งคนละสไตส์กับเรา เลยมานั่งคิดแล้วโมดิไฟด์ร้านใหม่ พร้อมกับตั้งชื่อว่า “ศาลาบาร์” แต่ตอนหลังมีปัญหานิดหน่อย ผมจึงถอนหุ้นออกมา ผ่านไปสักปีหนึ่งร้านก็ปิดตัวไป พอดีกับที่บ้านผมมีพื้นที่อยู่นิดหน่อย แฟนๆก็มาถามหาว่าไปเปิดร้านที่ไหน เลยเปิดร้านที่บ้านเลยครับ(หัวเราะ) เปิดอยู่ 3-4 ปีจนลูกค้าติด แต่เกิดเหตุสุดวิสัยไฟไหม้ซะก่อน ทำให้ต้องปิดร้าน แล้วหันมาซ่อมบ้าน(หัวเราะ) ระหว่างนั้นก็มานั่งคิดว่าเรายังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง เลยโทร.ไปหาเพื่อนๆ แล้วก็ตระเวนดูที่ พร้อมกับระดมทุนกับเพื่อน จนตัดสินใจเปิดร้านตรงเอกมัย (สุขุมวิท 61 )ชื่อ “ศาลาบาร์61” ส่วนร้านที่บ้านก็ไม่ทิ้งครับ แต่ใช้ชื่อว่า “ศาลาบาร์@โฮม” (ซ่อมแซมบ้านเสร็จหรือยังคะ?) ผมเป็นคนที่ชอบทำอะไรไม่เสร็จ ทำไป 80% แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ เพราะคำว่า “เสร็จ” หมายถึงคำว่า “จบ” ฉะนั้นทั้งที่บ้าน และที่ร้าน ก็จะโน่นทำนี่มาเรื่อยจนถึงทุกวันนี้
จากลูกค้ามาเป็นหุ้นส่วน
มีหุ้นไม่กี่คนครับ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนๆกัน มาทานที่ร้านกันจนเกินคำว่าลูกค้า แล้วเขาก็ถามว่าทำไมไม่ทำร้านใหญ่ๆไปเลย เราเลยพูดเล่นๆว่าเอาเงินมาสิ จะทำใหญ่ๆให้ ทีนี้ก็เลยรวมกลุ่มกันมาทำให้เป็นหุ้นของร้านครับ
ดนตรีให้ชีวิต
ผมคิดว่าเป็นเพราะดนตรี ดนตรีให้ชีวิต ให้ทุกอย่างที่มีอยู่วันนี้ครับ เพราะผมไม่ได้ใช้ความรู้จากการเรียนหนังสือเลย ทุกอย่างล้วนมาจากดนตรีทั้งนั้น และคำสอนของพ่อกับแม่ ที่สำคัญที่สุดคือคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และผมมีความเชื่อว่าความผิดเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ขอให้เป็นแค่ “ความผิด” อย่าเป็น “คนผิด” ทุกคนทำความผิดได้และรู้ว่าผิด แต่ไม่ใช่ผิดซ้ำซากจนกลายเป็นคนผิด เวลาที่เราพลาดเราจะมานั่งคิดว่าเราพลาดเพราะอะไร แล้วเราก็จะเริ่มต้นใหม่ ผมมีความคิดว่าเราทำอะไรก็ได้แต่อย่าไปเดือดร้อนคนอื่นก็พอ เราเชื่อในความดี เราจึงทำดีตามความเชื่อครับ ส่วนผลที่ตามมาจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องยอมรับผลนั้น
ไม่ทิ้งงานเพลง
ผมคิดว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ซิงเกิ้ลใหม่จะออกในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ครับ แล้วผมจะทำซีดีแจก ถือว่าเป็นงานแกรนโอเพนนิ่งร้าน “ศาลาบาร์61” ด้วยครับ
ด้วยใจ “รัก” และ “ภักดี” ในเสียงดนตรี บทเพลงหวานของ “ป้อม ออโต้บาห์น” จึงยังคงกึกก้อง เสนาะหูคนฟังมาจนถึงทุกวันนี้!!
พรหมปภา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี