“เราต้องให้อาชีพคนอื่นเขาด้วย ไม่งั้นก็จะเหมือนกับมีเงินอยู่คนเดียว แล้วไม่มีเพื่อน ผมว่าไม่มีประโยชน์”“..จริงๆ เธอนะหรือ เธอรู้เต็มอก ไยจึงมาเพ้อพก โกหกหน้าตาย ใจหนึ่งก็รัก จับจิตฝังใจ ใจหนึ่ง ก็แสนจะแค้นเธอ..” เสียงเพลงไพเราะที่คุ้นเคย กับใบหน้าหล่อเหลาของ “เท่ห์” อุเทน พรหมมินทร์ ยังคงเป็นภาพประทับใจที่ยากจะลืมเลือน เวลาผ่าน เส้นทางชีวิตอาจเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงดังกึกก้องในใจผู้ชายคนนี้ คือเสียงเพลงที่ไม่เคยห่างหายไปจากชีวิต...
“สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้ขอพาคุณผู้อ่านย้อนวันวาน ตามดูเส้นทางการก้าวเดินของ “ด.ช.เท่ห์” กว่าที่จะเสกสรรปั้นแต่งชีวิต จนมีชื่อเสียงขึ้นมาได้!!
เมื่อครั้งยังเล็ก
ผมเป็นลูกคนสุดท้อง ในบรรดาพี่น้อง 4 คน เป็นลูกชายคนเดียว มีพี่สาว 3 คน คุณพ่อมีอาชีพหลัก คือเป็นช่างทอง ช่างทำแหวน แต่ชอบเล่นดนตรี คุณพ่อมีโอกาสได้เรียนไวโอลิน แซ็กโซโฟน คือสมัยก่อนที่บ้านคุณปู่คุณย่า จัดว่าเป็นคนมีฐานะ คุณพ่อก็รักในเสียงดนตรี เลยตั้งคณะรำวงขึ้นมา ที่อ.พาน จ.เชียงราย ชื่อคณะเจริญมิตร ทำอยู่หลายปีจนประสบความสำเร็จ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาเบื่อที่ต้องดูแลลูกน้องหลายคน ทะเลาะกันบ้าง มีปัญหากันบ้าง ตอนหลังเลยยุบวงไป พ่อก็ไปทำเกี่ยวกับรถไถนา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เงินทองที่คุณปู่คุณย่าแบ่งมาให้ก็ค่อยๆ ร่อยหรอ ตอนหลังมายึดอาชีพเป็นช่างทำทอง ทำแหวนอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก จนมามีความหวังจะไปทำงานเป็นช่างที่ประเทศซาอุฯ เมื่อสมัย 30 ปีที่แล้วยุคขุดทองกำลังบูม พ่อก็ไปกู้เงินเขามาเพื่อจะเป็นค่าเครื่องบิน ค่านายหน้าไปทำงาน สรุปก็ถูกหลอก ทำให้ฐานะทางบ้านย่ำแย่พอสมควร
เริ่มจับเครื่องดนตรีชิ้นแรก
ช่วงที่พ่อเตรียมตัวจะไปเมืองนอก เป็นช่วงที่ผมเริ่มจับเครื่องดนตรี ตอนนั้น 6-7 ขวบได้ ผมชอบเป่าทรัมเป็ต พ่อก็เลยส่งเครื่องไปซ่อมที่กรุงเทพฯให้หลังจากนั้นก็เลยหัดเล่น พอพ่อไม่ได้ไปเมืองนอกแล้วเขาก็มีเวลาอยู่กับเรา หันมาสอนเรา เหมือนเป็นความหวังครั้งใหม่ของเขา พยายามจะปั้นลูก แต่ว่าญาติๆ ไม่เห็นด้วย เขากลัวว่าเราเป่าทรัมเป็ตมากๆ ฟันจะโยก ฟันจะเป็นอะไร เพราะเรายังเด็กมาก พ่อก็เลยเบนเข็มไปซื้ออิเล็กโทนตัวเล็กๆ มาให้เล่น ปรากฏว่าเราเล่นได้อีก เหมือนเกิดมาเพื่อดนตรีมั้ง(หัวเราะ) ตอนหลังพ่อก็สอนร้องเพลงไปด้วย แล้วเริ่มไปเล่นที่ร้านอาหารเพื่อนคุณพ่อเล่นตามสวนอาหารบ้าง จนเริ่มเห็นแวว เริ่มมีอนาคต มีคนมาจ้างไปร้องงานขึ้นบ้านใหม่ งานวันเกิดผู้ใหญ่
จากเล่นๆ กลายเป็นจริงจัง
แรกๆ คือเล่นดนตรีเพราะความสนุก อยากเล่นแต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เบื่อดนตรี ไม่อยากเล่น เพราะว่าหนึ่งเราไม่มีอิสระ จะไปเล่นกับเพื่อนๆ จะไปเตะบอล เล่นซนๆ ตามประสาเด็กไม่ได้ ก็เลยเบื่อ บ่นว่าไม่อยากเล่นละ อยากเลิก แต่ว่าพ่อเป็นคนบังคับให้เล่น ยังไงก็ต้องเล่น เราก็ปฏิเสธพ่อไม่ได้ เพราะว่าพ่อค่อนข้างจะมีระเบียบกับการเล่นดนตรี ก็เลยเล่นไปด้วยความจำเป็น จนกลายเป็นรัก และสนุกที่ได้ทำ
อพยพครอบครัวไปอยู่เชียงใหม่
ตอนนั้นสถานภาพทางการเงินที่บ้านแย่มาก เป็นหนี้เป็นสิน ต้องย้ายครอบครัวจากอำเภอพาน เชียงราย ไปอยู่ที่เชียงใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ผมได้เข้าเรียนที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ตอนนั้นอายุประมาณ 11 เข้าเรียนช่วง ม.2 ทุกวันเราก็จะเห็นพี่สาวคนที่ 2 สะพายกีตาร์ออกไปออดิชั่นงาน ไปหางานเล่นดนตรีตามร้านอาหาร เราเห็นแล้วเรารู้สึกว่า ทำไมเราเห็นแก่ตัว เราเป็นลูกผู้ชาย แทนที่จะออกไปออดิชั่นหางาน แล้วส่งตัวเองเรียนไปด้วย ก็เลยตัดสินใจบอกพี่สาวพาไปออดิชั่นด้วย เขาก็พาไปร้านที่เขาทำงานอยู่ ปรากฏว่าวันนั้นเป็นวันที่โชคดีมาก ที่ร้านมีนายอำเภอเมืองเชียงใหม่ ไปจัดงานเลี้ยงที่นั่นพอดี เลยมีผู้หลักผู้ใหญ่มาที่นั่นเยอะ เขาเห็นเรา เขาก็ชื่นชม ว่าเป็นเด็ก เล่นดนตรีได้ ร้องเพลงรุ่นผู้ใหญ่ก็ได้ เพลงยุคใหม่ก็ได้ เขาเลยไปถามเจ้าของร้านว่าเด็กคนนี้ร้องประจำไหมจะมาฟัง ตอนแรกเจ้าของร้านจะไม่รับเรา แต่พอมีคนถามเขาก็บอกโดยไม่ถามอะไรเราเลย ว่าเล่นทุกวัน ก็กลายเป็นเราได้งานโดยไม่รู้ตัว คือเล่นทุกวันตั้งแต่ 2 ทุ่มถึง4 ทุ่ม มีความสุขมาก กับการไปออดิชั่นแล้วได้งานได้เงินแน่นอน ผมเล่นร้านนั้นอยู่นานมากครับ ตั้งแต่ม.2 จนถึง ม.6 เล่นทุกวันไม่ได้หยุดเลย แม้กระทั่งจะสอบหยุดอ่านหนังสือ ทางร้านบอกลูกค้าถามหาเราเยอะจนเจ้าของร้านโทร.มาที่บ้านให้ช่วยไปเล่นหน่อยเถอะ เราก็ต้องไป แต่ผมมีความรับผิดชอบในเรื่องของการเรียนอยู่บ้าง (หัวเราะ) ก็เลยเรียนจบมาได้ครับ
ดนตรีสร้างความภาคภูมิใจ
พอเรามีงานทำทุกวัน มีเงินเดือนประจำ ผมก็สามารถช่วยปลดหนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ได้ เป็นความภาคภูมิใจที่ตรงนั้นมาจากเงินของเรา ที่สำคัญผมรู้สึกว่าเราเริ่มต้นจากดนตรี ด้วยใจชอบ ตอนเด็กๆ อาจจะมีอารมณ์เบื่อบ้าง ตามประสาอยากเล่นซน แต่พอโตมาเราสำนึกได้ว่าดนตรีมีคุณประโยชน์กับเรา ให้อนาคตกับเรา ให้ความเป็นอยู่ที่ดี ให้การศึกษาเรา ทำให้เราสามารถดูแลพ่อ-แม่เราได้ ช่วยปลดหนี้ให้ครอบครัวได้ ก็เลยรู้สึกว่าดนตรีมีพระคุณมาก หลังจากนั้นไม่เคยคิดเบื่อดนตรีอีกเลย นับตั้งแต่วันนั้นจนมาทุกวันนี้ จะพูดกับทุกคนเสมอๆ ว่า ดนตรีเป็นสิ่งที่มีพระคุณอย่างสูงกับชีวิตครอบครัวผม
ก้าวเท้าเข้าสู่วงการ
ช่วง ม.5 เป็นช่วงที่เจ้านายผมคนแรก คือ บริษัทสมาร์ทบอมบ์ พี่ชัย สินประเสริฐ เขาโทรศัพท์ไปคุยกับทางอาสีนวล นพดล เป็นนักจัดรายการวิทยุอยู่ที่เชียงใหม่อาสีนวลก็พาไปดูผมร้องเพลงที่ร้าน แล้วเขาก็ชอบ เขาบอกโอเค เดี๋ยวจะปั้นนะ ประมาณสัก 3-4 เดือนจะส่งเพลงมาให้หัดร้อง เทียบคีย์ แล้วไปทำดนตรีที่กรุงเทพฯ ให้เราบินไปบันทึกเสียง เราก็มานั่งคิด... คือพ่อน่ะมีความหวังล่ะ แต่ตัวผมเองผมยังรู้สึก จะจริงเหรอ? มันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? เรารอมาทั้งชีวิต รอมาตั้งแต่เด็ก จะได้ทำ ไม่ได้ทำ มาหลายครั้งแล้ว จนในที่สุดเขาก็ส่งเพลงมาให้ร้อง ตอนนั้นเป็นช่วงที่ซ้อมวงดุริยางค์หนักมาก เพราะต้องไปแข่งด้วย เราก็เอาเครื่องดนตรีมาเล่น แล้วก็ร้องอัดเสียงใส่คลาสเซต ส่งไปให้เขาทางกรุงเทพฯ หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน เขาก็ส่งดนตรีมาให้เราซ้อมพอซ้อมเสร็จ ก็กำหนดวันอัด ถือเป็นการได้นั่งเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต คือบินมากรุงเทพฯเพื่อเข้าห้องอัด ลงเครื่องวันแรกก็บันทึกเสียงเลย ที่ห้องอัดศรีสยาม โปรดิวเซอร์คนแรกคือ พี่พีรสันติ จวบสมัย(วงดิ อินโนเซ้นท์) อัลบั้มนั้น 10 เพลง ร้อง 2 วันเสร็จ แล้วก็บินกลับไปนั่งรออยู่ที่บ้าน
ดังในชั่วข้ามสัปดาห์
อัดเสียงจบกลับบ้าน ก็ไม่รู้เรื่องอะไรละ มารู้ตัวอีกที คือเพลงดังไปถึงเชียงใหม่ มีกระแสเปิดตามวิทยุ แต่คนไม่รู้จักหน้า ทีมงานเลยบินมาถ่ายปกที่เชียงใหม่ หลังจากนั้นอีกสักอาทิตย์ทางบริษัทบอกว่า เท่ห์ ไม่ไหวละบินมากรุงเทพฯด่วนเลย ต้องถ่ายมิวสิกวีดีโอ เราก็บินไปถ่ายมิวสิกวีดีโอ 2 วัน ถ่ายไป 2 เพลง คือเพลงไม่ไว้วางใจ กับเพลงโกหกหน้าตาย พอมิวสิกวีดีโอออก ยอดถล่มทลาย ตอนนั้นอะไรก็ฉุดไม่อยู่ เรียกว่าดังในชั่วข้ามสัปดาห์(หัวเราะ) จากที่เป็นนักดนตรีโรงเรียน นักกีฬา เราไม่คิดว่าอยู่ๆ เราจะกลายเป็นคนดังของโรงเรียนมีนักเรียนต่างโรงเรียนมาหา มาดูตัว กลายเป็นคนดังระดับประเทศโดยไม่รู้ตัว
ไม่เคยเรียนร้องเพลง
ผมฝึกมาเองครับ ฝึกมาจากพ่อ พ่อสอนร้องเพลงลูกกรุง กับสตริง และก็อาจารย์อีกคนหนึ่งชื่อ อาจารย์อุดม สอนร้องเพลงลูกทุ่ง สตริงนี่ผมได้ต้นแบบมาจาก พี่ต้น-สุชาติ ชวางกูร เพราะผมฟังเพลงพี่ต้นตั้งแต่เด็ก เหมือนพี่ต้นเป็นครูผมคนหนึ่ง ผมหัดร้องด้วยการจำวิธีการร้องของแกมาใช้ เสียงพี่ต้นนี่ผมว่า ผมก๊อบเหมือนที่สุดละ พี่ต้น พี่ดอน สอนระเบียบ ได้หมดครับ
ขอบคุณโชคที่ได้ออกเทปในเวลาที่พอเหมาะ
ผมรู้สึกโชคดี ที่ได้ออกเทปตอนโตแล้ว คือถ้าได้ออกตอนเด็ก แฟนๆ ก็จะติดภาพเด็กยังงั้นตลอดไป ผมมองว่าดีที่มาประสบความสำเร็จตอนโตเป็นหนุ่มเลย ทำให้คนจำภาพเราแบบนี้มาถึงปัจจุบัน มานั่งคิดแล้วถือว่าโชคดีครับที่ตอนเด็กๆ เราไม่ได้ทำเพลง
สนุกที่ได้เปิดประสบการณ์ใหม่
มันส์ดีนะ ผมเป็นคนที่ชอบเดินทางไปร้องเพลง เหมือนเราได้เที่ยว ได้เปลี่ยนที่นอนไปเรื่อย ตื่นมาเจอคนหน้าใหม่ๆ ได้รู้จักผู้คนมากขึ้น ได้ประสบการณ์ใหม่ๆเพิ่มขึ้น วันนี้อยู่อีสาน เย็นบินไปใต้ วันรุ่งขึ้นบินขึ้นเหนือ อีกวันบินลงใต้ ชีวิตนี่อยู่ในสนามบิน ยุคนั้นคือชีวิตอยู่ในสนามบินดอนเมืองจริงๆ มีงานทุกวัน วันละ 2-3 งาน แต่ของผมไปนับแข่งกับพวกลูกทุ่งไม่ได้หรอก ลูกทุ่งนี่ เคยถามพี่ยิ่งยง ยอดบัวงาม ซึ่งออกอัลบั้มมาไล่ๆ กัน พี่ยิ่งยงบอกเขาสามารถวิ่งได้ตั้ง 7 เวทีในหนึ่งวันแต่ของเขาลูกทุ่งจะเป็นเวทีเล็กๆ ไล่ๆ กัน แต่ของผมยุคนั้นสตริงจะเป็นเวทีใหญ่อย่างเดียว สมมุติเสร็จจากคอนเสิร์ตโลกดนตรี หกโมงเย็นขึ้นเครื่องบินไปใต้ คือสตริงเต็มที่วันละ 2 งานครับ
ผมไม่เคยมองว่าชีวิตวัยรุ่นขาดหายไปนะยิ่งตอนนี้ ยิ่งรู้แล้วว่า ชีวิตสังสรรค์มาเจอกันตอนนี้ก็ได้ แล้วตอนพร้อมนี่ดีที่สุด เพราะมีเงินสังสรรค์(หัวเราะ) ทุกวันนี้ได้เจอเพื่อนบ่อยครับ อย่างเวลากลับเชียงใหม่ ก็จะมีกลุ่มศิษย์เก่าของโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ในรุ่นเดียวกัน รวมตัวกันตลอด ปีละครั้งเป็นอย่างน้อย บางทีก็มารวมกันที่กรุงเทพฯบ้าง สลับกันไป
เสียงเพลงไม่เคยขาดหายจากชีวิต
อาจมีบางช่วงที่ผมไม่ได้ทำงานกับค่ายใหญ่ แต่ว่าก็ยังมีเพลงประกอบละคร มีไปแจมกับอัลบั้มของรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกัน ช่วงที่งานซบเซา ก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ ไปแจมกับพี่สุเมธ พี่ปั๋งบ้าง จะมีช่วงหนึ่งที่เพลงสตริงเหงาหงอยหน่อย แต่ผมโชคดี ผมเหงาหงอยไม่นาน เผอิญผมไปร้องเพลงลูกกรุง ร้องเพลงสุนทราภรณ์โกลด์ซีรี่ส์ ก็เลยทำให้ไม่ขาดช่วงในการร้องเพลง ติดอยู่ในกระแสตลอด สตริงเงียบ แต่ลูกกรุง สุนทราภรณ์เรามา
เพลงลูกทุ่งก็เคยทำไว้กับค่ายมีเดียออฟมีเดีย เอ็มสแควร์สมัยก่อน ร้องเพลงประกอบละครเรื่องซูเปอร์ลูกทุ่ง, สวรรค์บ้านทุ่ง ที่ผมแสดง และก็มีกับทางแกรมมี่โกลด์ คือเท่ห์หัวใจลูกทุ่ง ร้อง 2-3 อัลบั้ม แต่ที่ประสบความสำเร็จจะเป็นสตริง กับลูกกรุงมากกว่าครับ
หน้าที่การงานในปัจจุบัน
ผมจัดรายการวิทยุอยู่ที่เอฟเอ็ม 95 ลูกทุ่งมหานครครับ แล้วก็เปิดบริษัทให้เช่าอุปกรณ์ถ่ายทำ คือบ้านภรรยาผม (ปรินดา เกียรติเสริมสกุล) ทำรถโอบีให้เช่าถ่ายละคร ถ่ายรายการ แต่ตัวผมเปิดบริษัทลูกขึ้นมา ใช้ชื่อลูกสาวว่า พริมโปรดักชั่น เป็นกล้องเซตเล็ก เพื่อเอาไว้รับงานอีเว้นท์เล็กๆ แล้วก็มีห้องบันทึกเสียงอยู่ที่เหม่งจ๋ายครับ
ชีวิตครอบครัว
ตอนนี้สนุกสนานกับการเลี้ยงลูกสาว(น้องพริม) วัย 4 ขวบครับ ซึ่งซนมาก(หัวเราะ) เหมือนเลี้ยงเด็กผู้ชาย 2 คน (มีแววเจริญรอยตามคุณพ่อหรือยัง?)มีแล้วครับ ชอบร้องเพลง ชอบเต้น เห็นพ่อเล่นอะไรก็จะเล่นด้วย เห็นพ่อเล่นเปียโน ก็จะมานั่งตักแย่งเล่น เห็นเราเป่าทรัมเป็ต ก็จะมาแย่งไปเป่า แล้วก็ชอบเล่นกีฬาเหมือนพ่อ ชอบตีกอล์ฟ เตะฟุตบอล ชกมวย(จะมีน้องอีกสักคนไหม?) อยากมีครับ ก็รอโอกาสถ้ามีก็มี ไม่มีก็ไม่เป็นไรครับ
เมื่อมีแล้ว ต้องให้ต่อ
ผมเคยแต่งเพลงเองอยู่ช่วงหนึ่งครับ แต่ผมอาจจะมีความคิดไม่เหมือนชาวบ้านเขา คือถ้าเราทำทุกอย่างเอง อาชีพก็ไม่ได้แบ่งกัน คือผมเล่นดนตรีได้ แต่ทำไมถึงให้คนอื่นมาเล่นดนตรีให้เวลาบันทึกเสียง เพราะเราถือว่าคนที่เขาเล่นดนตรี เขาร้องเพลงไม่ได้แบบเรา คนที่เขาเขียนเพลง เขาร้องเพลงไม่ได้แบบเรา เพราะฉะนั้นเราต้องให้อาชีพคนอื่นเขาด้วย ไม่งั้นก็จะเหมือนกับ มีเงินอยู่คนเดียว แล้วไม่มีเพื่อน ผมว่าไม่มีประโยชน์ แล้วถ้าเขาไม่ได้เขียนเพลงให้เรา เขาจะไปเขียนให้ใคร ผมคิดแค่นี้ครับ ผมถึงให้งานคนเขียนเพลง ที่เขียนเพลงโกหกหน้าตายให้ผมจนมีทุกวันนี้ คือติดต่อเขาตลอด เขาเพิ่งเสียไปเมื่อ 7-8 เดือนที่แล้ว ซึ่งเขามีโอกาสได้แต่งเพลงสุดท้ายให้ผม ในอัลบั้มล่าสุดนี้ด้วยครับ เป็นอัลบั้มใหม่ชื่อ “ขอเวลาเท่ห์” จำหน่ายโดยบริษัท Classy Records (คลาสส์ซี่ เรคคอร์ดส) ฝากลองไปส่องดูตามแผงเทปได้นะครับ หรือที่ร้านแมงป่องก็มี เป็นแนวสตริงฟังสบายๆ เพลงใหม่ 9 เพลง แล้วก็มีแบดกิ้งแทคให้ไปร้องด้วยเลย เนื้อหายังคงเอาใจคนอกหักอยู่เหมือนเดิมครับ ฟังแล้วสบายใจ
ตลอด 23 ปีในวงการบันเทิง “เท่ห์” อุเทน พรหมมินทร์ ไม่เคยหยุดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ เขาบอกพร้อมเสมอในเรื่องของงานเพลง “ถ้ามีคนมาชวนทำ ก็ทำได้เรื่อยๆ ครับ เพราะเรามีพลังอยู่เรื่อยๆ (หัวเราะ)” เพราะทำงานด้วย “รัก” ความสุขสนุกจึงไม่เลือนหายไปจากใจผู้มีไฟในเสียงดนตรี...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี