เรียกว่าเป็น “คนมายา” ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมายาวนาน สำหรับผู้ชายที่ชื่อ บดินทร์ ดุ๊ก ซึ่งผ่านประสบการณ์งานมาหลากหลายรูปแบบ จนวันนี้เขาได้ใช้ความรู้ที่สะสมมา บวกกับความสามารถ ก้าวขึ้นสู่การเป็น “ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สยามธุรกิจ แชนแนล” ควบคู่ไปกับการเป็น “อาจารย์” ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความสนุกและเติมเต็มความสุขให้กับชีวิตหนุ่มคนนี้ได้อย่างลงตัว “สตาร์เรโทร” อาทิตย์นี้จะพาคุณผู้อ่านไปเรียนรู้มุมมองและการทำงานในบทบาทหน้าที่ ณ ปัจจุบันของ บดินทร์ ดุ๊ก กันค่ะ
งานใหม่ ตรงใจเรา
ตอนที่หยุดทำการแสดง ตอนนั้นคือไปเป็นอาจารย์ สอนนิเทศศาสตร์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกริก แล้วก็เป็นอาจารย์พิเศษให้ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม อย่างเทอมล่าสุดก็จะสอนเกี่ยวกับ Photo ทำอยู่ตรงนั้นมาประมาณ 10 ปี ช่วงหลังเข้ามาอยู่ในส่วนของผู้อำนวยการสถานีสยามธุรกิจชาแนลQ-Star ช่อง 7Sun ช่อง 28 PSI ช่อง 151และGMM ช่อง 252เป็นช่องข่าว 60% วาไรตี้40% ก็จะมีเรื่องของบันเทิง ธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์มีครบครับ และเป็นผู้อำนวยการของนิตยสารแม็กซิมั่มที่ผมเพิ่งจะปรับโพรซิชั่นใหม่จากนิตยสารเนื้อหาเกี่ยวกับธุรกิจ 100 % หนักๆ ให้เป็นในลักษณะของท่องเที่ยวและบันเทิงเชิงธุรกิจ รวมไปถึงพิธีกรรายการรัชกับดุ๊กทัวร์ ซีรี่ส์ช่อง 5 ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.10 น.
ปฏิเสธละครมาตลอด
ตอนที่ไปเป็นอาจารย์มีติดต่อมา 7 เรื่อง ผมปฏิเสธไปหมด จนเขาเลิกส่งบทมาแล้วครับ คือต้องขอดูบทนิดหนึ่ง บวกกับความพร้อมของตัวเราด้วย อย่างล่าสุดวันก่อนเพื่อนที่เป็นผู้กำกับยังถามเลยว่า มึงจะเล่นไหมผมก็บอก ยังเดี๋ยวก่อน (หัวเราะ) ถามว่าคิดถึงไหม ก็คิดถึงนะแต่ตอนนี้เราอยู่ในโพรซิชั่นนี้ทีละสเต็ปไปเนอะ หลายปัจจัยน่ะ ถ้าช่วงไหนลงตัวทุกอย่างเบาๆ ค่อยรับเล่น แต่ที่สำคัญเลยตอนนี้ความอ้วนของตัวเอง ต้องลดความอ้วนอย่างหนัก ถ้าจะเล่นละคร อย่างช่วงปีแรกที่เป็นพิธีกรจะโดนกระแสเยอะมาก ทำไม บดินทร์ ดุ๊ก อ้วนอย่างงี้ พอหลังๆเราก็เริ่มเข้าใจละ ชินหู ชินตาไปแล้ว ไม่เสียเซลฟ์นะ เพราะผมค่อยๆ อ้วนไม่ได้อ้วนพรวดขึ้นมาทีเดียว (หัวเราะ) (ทำไมปล่อยให้ตัวเองอ้วน?)ตั้งแต่ตอนเป็นอาจารย์แล้ว เพราะเราไม่ได้อยู่หน้ากล้อง เราฟรีสไตล์ การทำงานเราไม่ได้ขายภาพ นักศึกษาก็ไม่รู้จักผมด้วย เพราะผมก็ไม่เคยพูดหรือบอกว่าผมเป็นดารานักแสดงนะ การที่เราไปสอนก็คือมีหน้าที่สอน ไม่ใช่เพื่อไปโชว์ตัวเองว่า เราเป็นใคร อดีตเราเป็นอะไร และอาจจะด้วยวัยของเด็กที่เกิดไม่ทันรุ่นผม หรืออาจเคยเห็นตั้งแต่ตอนเด็กๆ แต่จำไม่ได้
บทบาทของอาจารย์
มีความสุขอีกแบบหนึ่งนะ เราได้เอาความรู้ประสบการณ์ที่เรามีมาถ่ายทอด อย่างเรื่องถ่ายภาพเราชอบอยู่แล้วตั้งแต่ตอนสมัยเรียน อย่างถ้าเป็นอาจารย์ประจำ เราไม่สามารถที่จะเลือกวิชาได้ก็ต้องสอนตามที่เขากำหนดมา บางทีเจอวิชาที่เราไม่ถนัด เราก็ต้องทำการบ้านเยอะมาก ซึ่งก็สอนได้ แต่จะไม่เหมือนวิชาที่เราชอบและถนัดที่อยู่ในใจของเราอยู่แล้วเป็นความรู้ ณ ปัจจุบันที่เราเคยผ่านมาหมดแล้ว มาสอนให้เด็กๆ และเราได้เปรียบตรงที่ว่าเรามีประสบการณ์ตรง เพราะถ้าเป็นอาจารย์ประจำ เขาก็จะอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย
ผลตอบรับของการเป็นอาจารย์ กับการเป็น ผอ.สถานี
ไม่เหมือนนะครับ เพราะคนละอย่างกัน ฟีดแบ๊กไม่ได้ทรูเวย์ อย่างเป็นอาจารย์จะเห็นได้ชัดเลยว่าคนนี้ชอบเรียนไม่ชอบเรียนจะเป็นยังไง แต่สำหรับทีวี.เราก็ได้แต่มองหน้าจอ เออ รูปแบบเป็นอย่างงี้นะ และในเรื่องของเรตติ้งทีวี.ดาวเทียมก็ยังไม่มี แต่ของเราดีอย่างหนึ่งคือ ช่องสยามธุรกิจหรือว่าช่องนีโอทีวีเนี่ยเรามีสมาชิกที่เป็นสมาชิกของบริษัทแม่ นีโอไลฟ์ ประมาณล้านสามเพราะฉะนั้นเขาก็ต้องดูการเคลื่อนไหวอะไรต่างๆ เรามีฐานของเราอยู่แล้ว
วางแผนธุรกิจในอนาคต
คงไม่ครับ ถ้าถามผมนะ เพราะว่าตรงนี้เหมือนเราทำรองรับในส่วนของเรา และพูดตรงๆ ว่าเราได้คุยกับท่านประธานทั้งสองท่าน ท่านดร.นพรุจ เวชกุล กับ ท่านดร.รัชนี มหานิยม คือเราจะไปแข่งกับช่องฟรีทีวี.ไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของหน่วยข่าว งานข่าวอะไรต่างๆ หรือด้านโปรดักชั่น เราทำในซัพพอร์ตของๆ เราให้คอนเท็นตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย สมาชิกแล้วก็คนที่ลิ้งมาจากทางหนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ
ชีวิตประสบผลสำเร็จ
ประสบความสำเร็จเหรอ อะไรคือความสำเร็จ ผมเป็นคนที่ไม่เคยตั้งเป้าหรือวางอะไรไว้ ใช้ชีวิตทุกวันไปเรื่อยๆ ทำให้ดีที่สุด ทุกวันทำให้ดี ทำให้เพอร์เฟกต์ เพราะเราคิดว่าเราตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทุกวันสำคัญคือต้องมีความสุขจะไม่เก็บความทุกข์กลับไป ถึงมีก็โยนทิ้ง พยายามลืมจะบริหารตัวเองโดยการดูหนังเวลาเครียดไปเข้าโรงหนังล่าสุดไปดู รักหมดแก้ว Love on The Rock มา บางทีกลับห้องไปไม่มีอะไรทำว่างๆ ก็ไปดูหนัง บวกกับคอนโดติดกับห้างด้วย
ส่วนเรื่องเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัดไม่ได้ไปเลย เพราะงานเราก็งานต่างจังหวัดอยู่แล้ว แต่ไม่เหมือนเที่ยวนะเพราะมันคือการทำงาน บางโมเมนต์ที่อยากจะนั่งตรงนี้สักชั่วโมงหนึ่ง นอนหลับ กินลม ชมวิว ไม่ได้ละ ต้องย้ายที่ถ่าย มีบางคนเขาอาจจะอิจฉา ซึ่งก็มีมุมนั้นแต่มันไม่ได้มีความสุขแบบเที่ยว มีความสุขในการทำงาน (สิ่งดีๆที่ได้รับจากงานแต่ละที่?)ได้ไปไหว้พระเจอสิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นมงคลกับชีวิตทั่วประเทศ พระประจำจังหวัดแต่ละจังหวัด เจ้าอาวาสแต่ละวัด บางท่านเป็นเกจิ อย่างหลวงพ่อคูณ หลายท่านมาก แค่ท่านให้พรได้เจอท่านก็เป็นมงคลแล้ว เลยแบบเออชีวิตนี้เราก็ดีตรงนี้เนอะ เป็นมงคลกับตัวเองได้กราบได้ไหว้
เมืองไทยไม่ไปไม่รู้
โอ้โห…มันละลานตามาก แต่ละทีก็มีของดีของเขา อย่างตอนนี้เมืองไทยแข่งกันใหญ่ที่สุดในโลก ผมว่านะอีกหน่อยถ้าอยู่บนเครื่องบินมองลงมาเนี่ยจะต้องเห็นประติมากรรมที่แบบว่าใหญ่ๆ เต็มไปหมดแน่ๆ (หัวเราะร่วน) หลวงพ่อต่างๆ ก็จะเต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีนะในอีกมุมหนึ่งเป็นเรื่องของการสะท้อนของความรักความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนไทยที่เพิ่มขึ้น (คลอดพอคเกตบุคเชิงท่องเที่ยวดีไหม?)(หัวเราะร่วน) ความได้เปรียบมีอยู่แล้ว และผมว่าผมมีเยอะกว่ารายการในประเทศไทย เพราะว่ารายการมีมา 4-5 ปีแล้ว ออนแอร์ทุกวัน เดือนหนึ่ง22 ครั้ง ผมจะเที่ยว 22 วันเลยนะ ถ้าใครสนใจก็ติดต่อมาได้นะครับ (หัวเราะร่วน)
รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ
ละครเรื่อง คนละโลก ทางช่อง 5 ตอนนั้นได้รางวัล เมขลา กับ โทรทัศน์ทองคำ สาขาสมทบชายดีเด่นเป็นการเล่นเป็นตัวร้ายครั้งแรก สนุกนะ ได้เล่นอะไรเยอะ ผู้กำกับ อาจารึก สงวนพงษ์ ให้โอกาสเราตอนนั้น ถ่ายไปเขียนไปพอเขาเห็นว่าเราเล่นได้ เขาก็จะเสริมและใส่เข้าไปให้เราได้แสดง เราก็เล่นเต็มที่ เล่นเป็นคนโลกจิต ฆาตกร เครียดมากนะ ปวดหัว ตัวที่เล่นจะเป็นคนที่ข้างนอกดูดีมาก แต่ข้างในจะอีกอย่างหนึ่งเลย ต้องเล่นลึกๆ ซึ่งฟีดแบ๊กดีมากด้วยบวกกับเราได้รางวัลที่ต่างเวทีกันก็เลยภูมิใจเป็นสองเท่า
หวนคำนึงคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ
ผมเคยร้องเพลงมีอัลบั้ม Soundtrack ของหนังจงรัก ด้วยรักคิดถึง ซึ่งหนังทุกเรื่องของท่านทิพย์(หม่อมเจ้าทิพยฉัตร ฉัตรชัย) เราจะได้ร้องเพลง หลังจากนั้นก็ได้มาทำกับอาร์เอส อัลบั้ม ยังไงก็ดุ๊กจริงๆ ก็ไม่ได้ชอบร้องเพลงหรืออะไรหรอกนะ แต่มันเป็นโอกาสของการเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง คือผมเข้าวงการตั้งแต่อายุ 13 จำได้ตอนถ่ายแบบครั้งแรกคุยกับร้านเสื้อพี่โหน่ง-ปริญญา มุสิกมาศ ช่างภาพคือ พี่โต-วิทยา มารยาท ซึ่งผมบอกก่อนเลยว่าผมโพสท่าไม่เป็นเลยนะ เขาก็บอกไม่เป็นไรอยากทำอะไรทำไป ตอนนั้นใช้ตากล้องครั้งแรก 3 คน เพื่อจับผม แล้วกล้องสมัยก่อนเป็นแบบฟิล์ม เปลืองมาก (หัวเราะ) นี่คือโอกาสที่เราได้ ถ้าเป็นคนอื่นเขาไม่เอาหรอก พอภาพออกมาปรากฏว่าเวิร์ก โอเค เปรียว เล่มแรกเป็นการถ่ายจากภาพแล้วก็เป็นรูปสเกตช์ เป็นปกแรกที่ใช้ภาพวาด ก็คือรูปเราคนก็ยอมรับในสมัยนั้น หลังจากนั้นก็เดินแบบ เล่นภาพยนตร์ของท่านทิพย์ ซึ่งก็ได้พี่หนู-สรวงสุดา ชลลัมพี เป็นเทรนเนอร์ให้ ไปฝึกแอ๊กติ้งนู่นนั่นนี่ พอมาเล่นท่านทิพย์ก็ไม่ดุไม่ด่าอะไรเลย ให้เราเป็นตัวของตัวเอง แค่จำบทให้ได้เพราะคาแร็กเตอร์ก็คือตัวเรา หนังเข้าโรงครั้งแรกยังไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นนักแสดงหรือดารา และไม่เข้าใจคำว่าซูเปอร์สตาร์เป็นยังไง หนังตอนนั้นก็ดัง เพราะแฟนหนังท่านทิพย์ก็เยอะอยู่แล้ว แล้วเพลงเปิดหัวเป็นเพลงของพี่แจ้-ดนุพล แก้วกาญจน์ เขาเรียกมิวสิกฟิล์มครั้งแรกของเมืองไทยที่เอามิวสิกวีดีโอมาเป็นหนังใหญ่ จะมียุคหนึ่งที่ผมเล่นหนังเยอะมาก หนังสือเคยเขียนว่า พระเอกแห่งยุคผมจำปีพ.ศ. ไม่ได้ นั่นคือโอกาสที่ทุกคนให้เรา
ละครยุคใหม่กับสิ่งที่เห็น
มีความเป็นเรียลิสติกขึ้นนะ สนุกดีสำหรับนักแสดง แต่สำหรับ ผมไม่แน่ใจ เพราะหลังๆ ผมไม่ได้ดูละคร ติดจะดูหนังมากกว่า ก็เห็นเรื่องที่ดังๆ คือนางเอกแรงมันก็จะกลายเป็นตามทฤษฎีพฤติกรรมการเลียนแบบ เมื่อก่อนคนก็จะคีฟตัวเอง คนที่คิดจะเป็นนางเอกจะต้องเรียบร้อย เป็นผ้าพับไว้ แต่ตอนนี้นางเอกฉันก็วีนได้เหวี่ยงได้ตบได้เหมือนกันแต่บางอย่างในการนำเสนอก็อยากให้นำเสนอให้มันพอดีๆ กดๆ ไว้หน่อย ถ้ายิ่งไปเปิดทางจะยิ่งไปกันใหญ่ อย่างเรื่องของกฎหมายใช่ไหม ทำไมเขาต้องมีเรื่องของกฎหมายมันก็ต้องมี กฎเอาไว้หน่อยบรรทัดฐานต้องมีไว้นิดหนึ่ง ไม่งั้นคนก็ร้องแรกแหกกระเชอกันตามจิตของตัวเองที่อยากจะทำ แต่ถ้าในมุมของคนดูการแสดงก็จะสนุกขึ้น มันเรียลขึ้น แต่ถ้าด้านเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมบางทีก็ต้องระวังไว้นิดหนึ่งเพราะสื่อมันสองคมอยู่แล้ว
ช่วงบ้างานชีวิตส่วนตัวหายไป
เมื่อก่อนผมเคยรับละครสูงสุดพร้อมกัน 5 เรื่อง ไป 3-4 จังหวัด คือขึ้นรถเปลี่ยนกองปุ๊บทำการบ้านในรถแล้วก็นอน คือตอนนั้นงานจะเยอะมาก นี่แหละครับชีวิตส่วนตัวก็คือการทำงาน จนเพื่อนๆ เขารู้หมดแล้ว จะไปเที่ยวไหนหรือปาร์ตี้อะไรจะไม่มีโทร.ตามเลยนะ เพราะพวกเขาจะรู้ แต่พอเดี๋ยวนี้เริ่มละปีใหม่ เทศกาลต่างๆ โทร.ตามเพื่อนเอง อยู่ไหนกัน ขอไปด้วย (หัวเราะ) อย่างล่าสุดปีใหม่ มึงอยู่ไหนกัน กูไปด้วย ปีนี้กูว่าง ชีวิตก็เปลี่ยนนะ แต่เราไม่ได้ไปซีเรียส แต่ละคนก็แต่ละวิถี บางคนมีครอบครัวก็ดูแลกันไป เราไม่มีใคร โสด ใครเรียกไปไหนก็ไป เรียกว่าบ้างานไหมก็คงไม่ใช่ มันเป็นความรับผิดชอบมากกว่า แต่งานเรามันไม่เครียด ไม่จำเจ ผมเป็นคนชอบเข้าค่าย ชอบเข้าแคมป์ ชอบกิจกรรมเพราะมันทำให้ไม่คิดไง ถ้าเรานิ่งเราก็จะคิด มันก็ต้องมีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ก็จะลืม เรื่อยๆ คนในบริษัทจะบอกว่าอิจฉาจังเฮฮาได้ตลอด ก็อย่างที่บอกจะไปเครียดทำไมล่ะ ตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ช่วงเวลาท้อแท้
ผมจะเป็นคนความจำสั้น เรื่องเครียดเข้ามาแป๊บหนึ่งแล้วก็คิดว่าจะแก้ปัญหานั้นได้ยังไง ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็หายละ ไปทำอย่างอื่น แต่เวลานอนจะไม่มีอยู่ในหัวนะ บางคนเคยบอกว่าทำไมโชคดีจังนอนหลับง่าย ถามว่ามีเรื่องเครียดไหมมีแน่นอน แต่เราไม่เอามาปนกันไง เดี๋ยวตื่นมาค่อยเครียดใหม่ หรืออย่างบางทีแค่โทร.คุยกับเพื่อนได้ระบาย แก้ปัญหาได้ไหมก็ไม่ได้ แต่กูขอพูดเถอะ ซึ่งอาจจะทำให้เราได้คุยกันในเรื่องอื่นๆ ด้วย แล้วลืมปัญหานั้นไปเอง เพื่อนยังเคยบอกอ้าวสรุปมึงเครียดป่ะเนี่ย (หัวเราะ)
เรื่องของความรัก
ไม่มีอะไรเลย (หัวเราะ) ไม่ได้ซีเรียส แต่ถ้าคบเป็นเพื่อนเหรอ นี่ไง รักหมดแก้ว ลองไปดูสิ ดูไปมันก็จริงนะไอ้คนที่คบกันทำไมต้องเป็นแฟนกันเหรอ และอีกอย่างสมัยนี้มีไลน์โซเชียลต่างๆ เวลาเหงาก็คุยกับคนโน้นทีคนนี้ทีมันง่าย ก็หายเหงา ผมก็อยู่ไปเรื่อยๆ คนเดียว เราชินกับการอยู่คนเดียวตั้งแต่อายุ 18 จนตอนนี้จะ 50 ละ มีช่วงหนึ่งกลับไปอยู่บ้าน แม่กลับมาจากเยอรมนีมาอยู่ด้วย แม่เคยพูดอยู่คำหนึ่งว่า ผมเป็นคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร เข้าบ้านก็เดินขึ้นห้อง นานๆ จะลงมากินข้าวที อารมณ์เหมือนอยู่คอนโดฯ แล้วที่บ้านทำศาลาริมน้ำก็ไปเฮฮาปาร์ตี้กับเขาอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่ลงไปอีกเลย เรามีความสุขที่จะอยู่คนเดียว ไม่มีอะไรทำก็เปิดทีวี.อยู่กับทีวี.และต้องเปิดทีวี.นอน ต้องมีเสียงเหมือนมีคนอยู่ด้วย แต่เป็นคนที่ไม่ใช่เพื่อนบางทีก็คิดนะว่า เอ๊ะ ถ้าเราเป็นอะไรตายอยู่ในห้องจะมีใครมาดูหรือเปล่าเนี่ย (หัวเราะ)
อนาคตของ บดินทร์ ดุ๊ก
คงเป็นตาแก่เฒ่าทารกแน่ๆ คือเมื่อก่อนไม่เคยคิดเลย พออายุมากๆ เริ่มคิดละ คุยกับเพื่อนไว้ไปอยู่กองรวมกันที่บ้านคนชรา ทางบ้านก็บอกว่าไปอยู่ตามต่างจังหวัดไหม น้องก็กำลังจะกลับจากอเมริกาอยากจะมาทำสวนทำฟาร์ม แต่ผมไม่ชอบสวน ผมอยากจะทำร้านเหล้าเล็กๆ อยู่ตามหาดตามเกาะ อยู่ในลักษณะที่ว่าใส่กางเกงเล นอนเปลยวนชงเครื่องดื่มให้แขกนักท่องเที่ยว มีบาร์บีคิว ปล่อยชีวิตสบายๆ ไม่ต้องคิดละ คือขอให้อยู่ได้ ไม่ต้องการความร่ำรวย ตื่นขึ้นมามีแต่ความสุข จะเอาไปมากกว่านี้ทำไมในเมื่อลูกก็ไม่มี มรดกก็เอาไว้ให้คนข้างหลัง ส่วนร่างกายตอนนี้ก็กำลังคิดอยู่ว่าจะไปบริจาคเป็นอาจารย์ใหญ่
วิธีที่ยังคงความอ่อนวัย
นอน ไม่เครียด คือถ้านอนไม่พอเราจะงอแงๆ เหมือนน้ำมันไม่เต็มถัง อารมณ์ดี กิน ดูหุ่นสิ (หัวเราะ) เป็นคนที่อยากกินอะไรกิน กินในสิ่งที่ตัวเองอยาก และอีกเรื่องคือ การขับถ่าย ผมฝึกต้องถ่ายทุกวันเลยนะ เช้า-เย็น คือไม่งั้นจะไม่ยอมออกจากห้องน้ำ เป็นอะไรที่ทำรูทีน ถ้าวันนี้เราไม่ได้ทำจะรู้สึกหงุดหงิด เราไม่สมบูรณ์ ผมว่าพวกนี้ก็เกี่ยวนะการไหลเวียน การขับถ่าย
จากใจนักแสดงรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง
ฝากคนที่เข้ามาในวงการบันเทิงทุกแขนง อยากจะให้ช่วยๆ กันดูแลวงการให้ภาพมันดีๆ ในเมื่อเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว อย่าให้มันเสีย ถ้าเราช่วยกันรับผิดชอบกันมันก็จะทำให้วงการบันเทิงบ้านเรามีภาพลักษณ์ที่ดี อย่าคิดว่าตรงนี้เป็นบันได บางคนชอบเอาตรงนี้เป็นบันได อาชีพนี้เป็นอาชีพที่อยู่ในสายตาคน อยู่ในที่สว่างและเป็นตัวอย่างของเยาวชน เพราะฉะนั้นการทำอะไรมันมีกรอบทันทีเข้ามาเดิน ก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงปุ๊บ คุณต้องมีกรอบทันที จากเมื่อก่อนพี่ก็เป็นเด็กธรรมดา กะโปโล เราก็ต้องเปลี่ยน ถือว่าเป็นการได้โอกาสในชีวิตที่เราจะต้องมาปรับลุคปรับภาพตัวเอง ทำให้ตัวเองดีขึ้น ก็น่าจะใช้ตรงนี้ ไม่ใช่ว่าพอดังแล้วยิ่งไปอาศัยความดังในทางที่ผิด เวลาส่วนตัวไม่มีใครว่าอะไร สัมมาคารวะ สำคัญมากของทุกๆ วงการ การสื่อสารที่ง่ายที่สุดก็คือการมีสัมมาคารวะ การไหว้ คนที่ไหว้กับคนที่ไม่ไหว้จะนิสัยดีหรือเลวแค่ไหน แต่คนที่มอง First Impression เขาจะมองคนที่ไหว้ก่อน จะมีเสน่ห์ขึ้นมาทันทีเลย เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายมากที่จะสร้างเสน่ห์ให้กับตัวเอง ไปลามาไหว้ มีสัมมาคารวะกับรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่รู้จักหรือรู้จักก็ไหว้ไปเถอะ ฝากน้องๆ ขอให้รักในวงการ เหมือนองค์กร ถ้าใครไม่รักองค์กรใครจะมารักล่ะ อย่าคิดว่ามันเป็นแค่ทางผ่านมันจะซวยถึงรุ่นน้อง
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อย่าลืมสร้างเสน่ห์ให้ตัวเองอยู่เสมอนะคะ แม้จะเป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าปฏิเสธและเลือกทำเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จงให้ความเสมอภาคกับทุกคน เพราะคนเราเกิดมาเท่าเทียมกันหมด
กระแตน้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี