วันอังคาร ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / บันเทิง
Star Retro : แอ้ม’ สโรชา พรอุดมศักดิ์  8 ปีที่ห่างหาย!!กลับมาด้วย‘ใจ’

Star Retro : แอ้ม’ สโรชา พรอุดมศักดิ์ 8 ปีที่ห่างหาย!!กลับมาด้วย‘ใจ’

วันอาทิตย์ ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558, 06.00 น.
Tag :
  •  

‘แอ้ม’ สโรชา พรอุดมศักดิ์

8 ปีที่ห่างหาย!! กลับมาด้วย ‘ใจ’ ที่ยัง ‘รัก’ ในงานพิธีกร

เส้นทางชีวิตคนมีขึ้นลง และหลุมบ่อ แต่สำหรับ “แอ้ม” สโรชา พรอุดมศักดิ์ เธอไม่เคยย่อท้อ รอเวลาเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ก่อนที่จะกลับมาประกาศความเป็นพิธีกรภาคภาษาอังกฤษชั้นแนวหน้า และต่อเติมสานฝันให้รุดหน้า ด้วยการเปิดตัวรายการใหม่ของตัวเอง!!

จุดเริ่มต้นของเส้นทางแห่งแสงสี


นานมากแล้วค่ะ.. ตั้งแต่อายุ 22-23 ตอนนี้ 38 บวกลบคูณหารเอาเองนะคะ(หัวเราะ) ตอนนั้นแอ้มเรียนจบด้านวิทยุโทรทัศน์ จาก Arizona State University อเมริกา เรียนจบมาทางด้านนี้เลยค่ะ ครบถ้วนกระบวนการทั้งเรื่องของการแบกกล้องเบต้าแคม 8 กิโล สมัยก่อนที่ตัวใหญ่ๆ ก็แบกมาแล้ว คือเขาสอนให้เราถ่าย ตัดต่อ เขียนสคริปต์ ลงเสียง อ่านข่าว คือทำเป็นทุกอย่าง ในระหว่างที่เรียนก็จะสลับหน้าที่กันไป แม้กระทั่งช่างภาพในห้องส่ง ก็เป็นมาแล้ว คือเขาฝึกมาให้ครบวงจร ให้รู้ว่าหนึ่งคือเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เราถนัดตรงไหน หรือไม่ถนัดตรงไหน ให้รู้ว่าเวลาเราไปประกอบอาชีพแล้ว คนในตำแหน่งหน้าที่อื่นๆ เขามีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง มีความรับผิดชอบอะไรบ้าง ซึ่งถือว่าโชคดีที่แอ้มเจอสายที่เรียนแล้วถูกใจ

เหตุที่เลือกเรียนด้านนี้

คุณแม่ค่ะ(หัวเราะ) (คุณแม่ธนพร พรอุดมศักดิ์) บอกลูกพูดเก่งน่าจะรุ่งในสายอาชีพนี้ ซึ่งเดิมแอ้มไม่เรียนหน้าจอมากด้วยซ้ำ เน้นเบื้องหลังซะส่วนใหญ่ และก็บอกคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า ไม่อยากอยู่หน้าจอไม่ชอบ ไม่ชอบเห็นตัวเองในจอมอนิเตอร์ จนถึงในปัจจุบันนี้ถ้าไม่มีใครบังคับให้นั่งดูตัวเองในจอ แอ้มก็ไม่นั่งดูนะ

เมื่อได้มองตัวเองในจอโทรทัศน์

รู้สึกแบบบอกไม่ถูกค่ะ เขิน จั๊กกะจี้ยังไงไม่รู้ดูแล้วแบบ เฮ้อ... อะไรแบบนี้(หัวเราะ) แต่ว่าก็ถูกคุณแม่บังคับ จะมีนโยบายว่าเราทำอาชีพนี้ เราต้องดูตัวเองเพื่อให้รู้ว่าเราดีตรงไหน และไม่ดีตรงไหน เราติดขัดตรงไหน บางครั้งถ้าเราไม่ได้เห็นตัวเอง เราจะไม่รู้ว่าเรายักคิ้วบ่อย หรือเราพูดติดอ่าง หรือมีกิริยามารยาทอย่างไรที่ปรากฏผ่านหน้าจอ ถ้าเราไม่ดู เราก็แก้ไขไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะถูกบังคับให้ดู แม้กระทั่งแอ้มประกอบอาชีพนี้มาสิบกว่าปีแล้ว ก็ยังถูกบังคับให้ดูอยู่ค่ะ(หัวเราะ)

ครอบครัวให้การสนับสนุน

ใช่ค่ะ เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่(กิตติคุณ-ธนพรพรอุดมศักดิ์) ปั้นมากับมือ(ยิ้มปลื้มใจ) คือจริงๆ แล้วคุณพ่อคุณแม่เป็นแฟนคลับที่ติดตามเหนียวแน่นที่สุด และผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์หนักที่สุด แต่แอ้มรับได้ เพราะว่าพ่อแม่เป็นคนที่หวังดีกับเรามากที่สุด เพราะฉะนั้น เวลาพ่อแม่วิจารณ์ จะพูดตรงๆ และบางครั้งดุด้วยนะคะ แต่ทั้งหมดก็จะเป็นเหมือนกระจกสะท้อน ว่าเรากำลังทำอะไรดีหรือไม่ดี อย่างเรื่องการ “ยักคิ้ว” คุณแม่วิจารณ์ตรงกับคนดูที่เขียนจดหมายมาบอกเลยค่ะ สมัยนั้นอยู่เนชั่นยังเป็นจดหมายไม่มีอีเมล์ หรือแฟนเพจ ว่าแอ้มติดยักคิ้วบ่อยมาก ยักคิ้วตลอดเวลา แถมนับมาเป็นนาทีเลย ว่านาทีละ 30 กว่าครั้งอะไรแบบนี้(หัวเราะ) เราก็แป๊บตายละคุณขา คุณไม่ฟังที่ดิฉันพูดเลย คุณนั่งนับคิ้วอย่างเดียวเลยเหรอ(หัวเราะ)

ชีวิตวิ่งรอกไทย -อเมริกา

แอ้มเกิดที่ไทยค่ะ โตที่อเมริกา ไปอเมริกาครั้งแรกกับคุณพ่อคุณแม่ตอนอายุ 3 ขวบ อยู่ที่นั่น 10 ปี ก็กลับมาไทยตอนอายุ 13 มาเรียนโรงเรียนอินเตอร์ที่นี่ จนจบมัธยม แอ้มก็กลับไปเรียนมหา’ลัยที่อเมริกาค่ะ

ปิดโอกาสคว้างานในต่างแดน มุ่งหน้าสู่บ้านเกิด

หลายคนถาม ทำไมไม่ทำงานที่อเมริกา คือแอ้มกลับมาเมืองไทยครั้งแรกตอนอายุ 13 แอ้มรู้สึกว่าเรามีความเป็นอเมริกันเต็มที่ ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะเลี้ยงแบบคนไทย แอ้มทานอาหารไทยเป็น ปลาร้าอะไรได้หมด ชอบมากค่ะ(หัวเราะ) พูดภาษาไทยอาจไม่ได้ถนัดมากนัก แต่ฟังออก แต่ด้วยความที่เราอยู่กันเป็นครอบครัวเล็ก ลูกคนเดียวคุณพ่อคุณแม่ก็มีญาติบ้าง แต่โดยหลักแล้วเราสังคมกับชาวอเมริกัน เราก็จะมีความรู้สึกว่าเราเป็นคนอเมริกันกลับมาเมืองไทยครั้งแรก แอ้มแบบ What is Thailand? รับไม่ได้ในหลายๆ เรื่อง ไม่เข้าใจ ไม่เก็ท จนกระทั่งอยู่และเรียนมัธยมโรงเรียนแบบอินเตอร์ที่มีลูกหลานคนไทยมาเรียนด้วย เริ่มมีเพื่อนคนไทย เชื่อมั้ยว่าพอกลับไปอเมริกาครั้งที่สอง แอ้มไม่คบเพื่อนฝรั่งเลยค่ะ คบแต่เด็กอินเตอร์ที่เป็นเอเชียด้วยกัน สมาคมกับนักเรียนไทยที่นั่น

พอเรียนจบ คุณแม่เลยให้เงื่อนไขว่า ถ้าจะอยู่ อยู่ให้ตลอดรอดฝั่งนะ อย่าประเภทพออายุ 25-30 แล้วตื่นขึ้นมาวันหนึ่งแล้ว อุ๊ย! ตายแล้วฉันคิดถึงเมืองไทย ฉันอยากกลับเมืองไทย เพราะถึงเวลานั้นเราคงเข้ากับสังคมการทำงานได้ยาก เพราะฉะนั้น เอาทางใดก็ทางหนึ่งไปเลย จริงๆ แอ้มตัดสินใจไม่ยากเลย คำตอบคือเราอยากกลับบ้าน อยากกลับมาเจอพี่ๆ น้องๆ ญาติๆ ลูกพี่ลูกน้อง อยู่โน่นไม่เคยมีพี่น้องมาก่อนเลยทั้งชีวิตเป็นลูกคนเดียว อยู่ดีๆ มาเมืองไทยลูกพี่ลูกน้องเพียบเลย รวมแล้วสองตระกูลฝั่งพ่อฝั่งแม่ประมาณ 40-50 คน ได้ค่ะ(หัวเราะ) ด้วยความคิดถึงบ้าน คิดถึงญาติเลยกลับมาทำงาน ส่วนคุณพ่อคุณแม่กลับมาไทยก่อนแล้วค่ะ ขายกิจการที่โน่น ขายบ้านเรียบร้อย แล้วกลับมาทำงานที่นี่ แอ้มก็ตามกลับมาหลังจากนั้นไม่กี่เดือน

ไม่เคยคิดเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน

แอ้มเป็นคนไทยเต็มตัวค่ะ ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนสัญชาติ ถือสัญชาติไทยมาโดยตลอด กลับมาก็ทิ้งเลยมีหลายคนบอกทิ้งได้ไงมีแต่คนเขาอยากจะไปอยู่ แต่สำหรับเราอิ่มแล้วค่ะ ที่นั่นให้อะไรเราเยอะมาก ให้ความเชื่อมั่นในตนเอง ให้การศึกษาเรา แต่ว่าเราอิ่มตัวกับสังคมของเขา ให้แอ้มกลับไปอยู่อีกก็คงไม่เอาแล้วค่ะ

จบด้านวิทยุโทรทัศน์ แต่กลับไปจับงานส่งออก

คือตอนแรกแอ้มร่อนเรซูเม่ไปทุกช่องเลยค่ะ โดยไม่ได้ตระหนักว่าภาษาไทยตัวเองไม่แข็งแรง ก็เลยหันไปทำส่งออกก่อนพลางๆ แล้วก็คิดว่าชีวิตเราเดินมาผิดทางรึเปล่า ทำส่งออกอยู่ประมาณสักปีครึ่ง จากนั้นความโชคดีบวกกับชะตาชีวิตหรือฟ้าลิขิตไม่รู้ ทำให้ได้งานในสายงานที่เรียนมา

เข้าสู่วงการโทรทัศน์เต็มตัว

แอ้มส่งผลงานไปที่ไอทีวีค่ะ ยุคนั้นทางไอทีวีเรียกไปเทสต์หน้ากล้อง เลยยกหูไปถามเขาว่า “พี่คะเทสต์ภาษาไทยใช่มั้ย” เขาก็คงงงบอก “แหงล่ะ..น้องจะมาเทสต์ภาษาอะไรล่ะ”แอ้มเลยบอก “พี่คะหนูคงไม่ถนัดภาษาไทย”, “อ้าว..แล้วถนัดภาษาอะไร”, “ภาษาอังกฤษค่ะ” เชื่อมั้ยคะว่าพี่คนนั้นน่ารักมาก เก็บประวัติแอ้ม แล้วส่งต่อให้กับที่ที่รายงานข่าวภาษาอังกฤษ เกือบจะที่แรกในเมืองไทย คือที่นิวส์ไลน์ทางนั้นโทร.มาตามว่า “สนใจอ่านข่าวภาษาอังกฤษมั้ย”แอ้มแบบกระโดดโลดเต้น(หัวเราะ) เหมือนเราพบทางสว่างแล้ว ก็ไปคุยกับพี่เขา สัมภาษณ์รอบเดียว คุยเรื่องเงินเดือนจบวันรุ่งขึ้นเริ่มงานเลยค่ะ จำได้ว่าเป็นวันศุกร์ด้วยมั้งคะ เราก็แบบทำไมไม่เริ่มวันจันทร์ พี่เขาบอกมาเลยๆ แอ้มแบบกระตือรือร้นมาก อยู่ดีๆ ก็ได้งาน ทำอยู่ที่นั่นหกเดือน เนชั่นชาแนลเปิด เป็นสถานีข่าว 24 ชม.แห่งแรก พี่ๆที่รู้จักกันก็ชักชวนกันไป ไปอยู่เนชั่นได้ 3 ปี ทางสิงคโปร์ ชาแนลนิวส์เอเชีย ก็ชวนไปทำงานด้วยค่ะ

แจ้งเกิดจากเหตุการณ์ “ 911-เครื่องบินชนตึก 11 กันยาฯ”

ตอนนั้นแอ้มเริ่มมีชั่วโมงบินประมาณหนึ่งละค่ะแต่ก็ถือว่าเป็นมือใหม่มาก คุณสุทธิชัย(สุทธิชัย หยุ่น) เองก็พยายามจะฝึกเรา นั่งจัดรายการกับคุณสุทธิชัย รายการชีพจรโลก ในยุคแรกๆได้ประสบการณ์เยอะมาก คุณสุทธิชัยจะไม่บอกล่วงหน้าว่าจะคุยกันเรื่องอะไร หรือว่าต้องเตรียมตัวอะไร เพราะฉะนั้นเราต้องอ่าน อ่านเยอะมาก เพื่อที่จะได้ไปคุยกับแกแล้วรู้เรื่อง ทันเกม ก็ปรากฏว่าอยู่วันนั้นอ่านข่าวภาษาอังกฤษเสร็จ ถอดสูทเรียบร้อยแล้วกำลังจะกลับบ้าน ก็เกิดเหตุลำแรกชนตึก บก.ข่าววิ่งออกมาเรียก แอ้มๆมีเบรกกิ้งนิวส์ที่นิวยอร์ก เข้าห้องส่งเลย เราก็งง พี่เขาบอก “ไปติดหูฟังติดไมค์ก่อนค่อยว่ากัน” ก็เข้าไปโดยที่ไมรู้อะไรเลย ตอนนั้นรายงานข่าวร่วม 3 ชั่วโมงมั้งคะ อาละวาดอยู่คนเดียว แปลข่าวแบบชนิดคำต่อคำ ทำให้คนเริ่มรู้จักแอ้มจากงานชิ้นนั้นเยอะ เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมทั้งเหนื่อยทั้งตื่นเต้น ทั้งเอ็กไซด์ อารมณ์เศร้า อารมณ์ตกใจมันรวมอยู่ในประสบการณ์นั้น แต่ว่าทีมงานแบ๊กอัพดีมาก คือ บก.โปรดิวเซอร์จะอยู่ในหูตลอดเวลา อย่างงี้ๆ นะ คือจะสอนไปด้วยบอกไปด้วย เราก็แปลเองไปด้วย

ได้โอกาสไปเปิดประสบการณ์ที่สิงคโปร์

มีคนจาก ชาแนลนิวส์เอเชีย มาดูงานที่เนชั่นแล้วมาเจอเรา เขาอยากได้หัวหน้าสำนักข่าวที่อินโดจีน ถามเราว่าสนใจสมัครมั้ย เราก็ตาโตสิคะ(หัวเราะ) เขาให้บินไปสัมภาษณ์ที่โน่น ทำข้อสอบแบบความรู้รอบตัว แอ้มสอบผ่านและได้ไปทำงาน อยู่ที่สิงคโปร์ 8 เดือนเพื่อไปฝึกงานอ่านข่าวที่โน่น 8 เดือนแล้วก็ขอเขากลับมาค่ะ (ทำไมถึงอยากกลับ?) ไม่ชอบค่ะ บ้านเมืองเล็ก ห้องก็เล็ก ค่ากินอยู่ก็แพง(เสียงสูง) รถก็ไม่มีให้ใช้ คือเขามีค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ให้นะคะ แต่ว่าเราก้าวขึ้นรถไฟฟ้า เราก็คิดถึงรถจังเลย ตักหมี่เข้าปาก เราก็คิดถึงส้มตำจังเลย คิดถึงพ่อกับแม่ เชื่อมั้ยคะอยู่สิงคโปร์ 8 เดือน แอ้มแทบไม่รู้จักส่วนอื่นของประเทศเขาเลย ทำงาน 14 วันรวด เพื่อสะสมวันหยุด 4-5 วัน แล้วบินกลับบ้าน แล้วตอนแรกตกลงทำงานกันไว้ 6 เดือน แต่เราทำมา 6 เดือนครึ่งก็แล้ว ดูท่าทีไม่เห็นจะให้ฉันกลับบ้านเพราะฟีดแบ๊กเริ่มดี แอ้มเป็นคนไทยคนแรกที่ไปอ่านข่าวที่นั่น เขาเห็นเป็นจุดเชื่อมโยงที่ช่วยเพิ่มจำนวนคนดูในแถบนี้มากขึ้น เราก็เลยถามเขาว่าเมื่อไหร่จะให้เรากลับบ้านเขาก็แบบ “ทำไมถึงอยากกลับ นี่คือเส้นทางของยูเลยนะ คนอ่านข่าวของเราถูกชักชวนไปอ่านข่าว CNN ที่ฮ่องกง ที่แอตแลนตาเยอะมาก” แอ้มบอก “ไอจะกลับบ้าน” พูดอยู่คำเดียวเลย จนเขายอมให้เรากลับมาประจำที่กรุงเทพฯ

เข้าสู่เหตุวิกฤติทางการเมือง

ตอนนี้ก็ยังมีคดีติดตัวอยู่ค่ะ... ต้องยอมรับว่าในช่วงที่เราต้องเผชิญกับวิกฤติทางการเมือง เราค่อนข้างจะเก็บตัวพอสมควร แทบจะไม่สังคมกับคนข้างนอกเลย สังคมกับเพื่อนร่วมงานที่เรารู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน สังคมกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน สนิทกันมานาน แอ้มไม่ไปงานสังคม มีอยู่ช่วงหนึ่งจะได้รับบัตรเชิญไปงานอีเว้นท์เยอะมาก แต่ไม่เคยไปเลย จนกระทั่งเขาหยุดส่ง(หัวเราะ) เลิกเชิญ คือแอ้มเป็นคนคิดเยอะ คิดว่าถ้าไปเจอคนที่เขาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดทางการเมืองของเราจะยังไง จะทำหน้ายังไง เลยรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น แอ้มไม่สังคมกับใครเลยเป็นเวลา 8 ปีมั้งคะ จากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์หลังจากนั้นก็หายจากหน้าจอไป คือ 8 ปีนี่ ช่วงเวลาต่อสู้จริงๆประมาณ 5 ปี ที่แอ้มอยู่บนเวที หลังจากนั้นก็อยู่เบื้องหลัง ในฐานะผอ.ช่องภาษาอังกฤษในเครือ เอเอสทีวี ทำให้แอ้มได้ไปเรียนรู้งานบริหาร งานโปรดิวเซอร์ รู้ว่าการควบคุมงานบริหารคนเป็นยังไง เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัส ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกลักษณะหนึ่ง แต่ก็ถือว่าห่างไปจากหน้าจอนานพอสมควรค่ะ

ความรู้สึกในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา

แอ้มไม่เคยเสียใจ หรือเสียดายที่ตัดสินใจเดินไปตรงนั้น แต่ถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าอิ่มตัวแล้ว ก็คิดว่าน่าจะมีอีกหลายๆคนน่าจะรับหน้าที่ต่อจากเราได้ สังเกตว่าเหตุการณ์ช่วงหลังๆ แอ้มจะไม่ได้เข้าไปคลุกคลีอะไรเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าใจจะไปหรืออะไรก็ตาม แต่ตัวจะไม่ได้ไปปรากฏ และแอ้มมีความรู้สึกว่าอยากจะกลับมาทำในสิ่งที่เราชอบ ทำแล้วมีความสุข สิ่งที่ทำแล้วบอกตัวเองในใจได้ว่า “เฮ้ย..มันใช่อ่ะ”

กำลังใจยามคลื่นลมถาโถม

กำลังใจเยอะค่ะ เยอะมาก มีแต่คนจำได้ คนรู้จักเข้ามาให้กำลังใจล้นหลาม จากคนใกล้ตัว จากคุณพ่อคุณแม่ แฟน ญาติพี่น้อง เยอะมาก นึกย้อนกลับไป เราไม่ได้ทุกข์ทรมานกับเหตุการณ์นะ เราเพียงแต่ว่าถึงจุดอิ่ม และคิดว่าเราคงไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักต่อสู้ไปทั้งชีวิต เราอยากกลับมาทำข่าว มาอยู่ในที่ที่เราทำแล้วมันใช่ แต่การที่จะกระโดดลงจากเวทีแล้วมาอยู่หน้าจอเลย อยู่ในบทบาทของสื่ออีกครั้ง คงให้คนดูยอมรับตรงนั้นได้ยาก แอ้มเลยเฟดตัวเองออกมายืนหลังจอมาเรียนรู้ในมิติอื่นๆ ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่ประมาณ 3-4 ปีค่ะ

เริ่มต้นชีวิตคู่ในช่วงวิกฤติ

แอ้มเริ่มต่อสู้ไม่นาน ก็ได้จัดงานแต่งงาน เกิดวิกฤติปี’48 แอ้มแต่งงานปลายปี’49 จริงๆ จะแต่งตั้งแต่ปี’48 แล้วค่ะ แต่จะแต่งงานกลางม็อบก็ใช่ที่ ขนาดจบเรื่องที่ชุมนุมไปแล้ว วันที่แอ้มแต่งงาน ยังมีโทร.มาขู่วางระเบิดเลย บอกว่าในกล่องของขวัญมีระเบิดนะ โรงแรมเขาตื่นเต้นใหญ่ พอดีคุณสนธิ(สนธิ ลิ้มทองกุล) เขามีทีมดูแลรักษาความปลอดภัย ก็มาสแกนอะไรให้เรียบร้อย เรียกว่าเร้าใจทุกช่วงจังหวะของชีวิตค่ะแม้กระทั่งตอนจะแต่งงาน(หัวเราะ)

คู่ชีวิตเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จักกันมานาน

สามีแอ้ม คุณโก้(รัชชพล เหล่าวานิช) เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในที่ทำงานกันมาก่อนค่ะ เขาสอนงานเรามาเยอะ รู้จักกันในสายงาน ช่วงแรกก็ไม่ชอบเขาเลยแหละ คุณแม่ก็ไม่ชอบเขามาก ไม่ชอบอย่างแรง แล้วก็จะตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมต้องเป็นคนนี้ ในที่สุดเขาก็ชนะใจแม่ได้ และแอ้มเองก็ชอบคนที่โตกว่า แอ้มกับสามีห่างกัน 15 ปี เขาผ่านชีวิตอะไรมาเยอะ ในขณะที่เราเป็นลูกคนเดียว เป็นคนเอาแต่ใจพอสมควร และในชีวิตไม่เคยสนใจหนุ่มวัยเดียวกัน ตั้งแต่โตเป็นสาวมา ไม่ชอบฝรั่งเลย ไม่เคยมีแฟน เคยไปออกเดทหนึ่งครั้งในชีวิตกับฝรั่ง วิ่งหนีเข้าบ้านแทบตาย(หัวเราะ) คือฝรั่งเขาจะแบบเฟิร์สคิสอะไรแบบนี้ แอ้มก็แบบโอ๊ย...ตาย ฝรั่งนี่ไม่ใช่สเปกเลย ถ้าเป็นคนเอเชียด้วยกันโอเค และก็ต้องตี๋ ต้องขาว ถ้าไม่ใช่อย่ามายุ่งกับสโรชานะชอบ(หัวเราะ) พอมาเจอคนที่เขาโตกว่ามากๆ คือพี่โก้ทนแอ้มได้ เขาทนความเอาแต่ใจของเราได้ และค่อนข้างจะตามใจเรา รับมือกับเราได้ คือเราคุยกันแบบเปิดเผยมาตั้งแต่ต้น เขารู้ว่าเราต้องดูแลพ่อแม่นะ เราลูกคนเดียวเราดูแลทั้งในแง่ชีวิตความเป็นอยู่ ทั้งเรื่องเงินเรื่องทอง ทั้งเรื่องของการดูแลชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นเขาจะเข้าใจเมื่อเงินเดือนเรา เราให้แม่หมดนะ เขาต้องเลี้ยงเราอีกทีหนึ่งอะไรแบบนี้ บางครั้งแม่ไม่สบายกลางดึกแอ้มต้องไปค้างกับแม่นะ เวลาที่เราหวั่นไหว เขาทำให้เรารู้สึกมั่นคงได้ เขาจะบอก“ไม่เป็นไรพี่เชื่อว่ามันจะโอเค ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด” ถือว่าโชคดีค่ะ โชคดีที่เจอเขา

(หลายๆ คนบอกว่าสวีทกันมากเลย?) คือเราทำงานค่อนข้างใกล้ชิดกัน พี่โก้เคยร่วมก่อตั้งเนชั่นชาแนล ร่วมก่อตั้งเอเอสทีวี ร่วมก่อตั้งมันนี่ชาแนล ทำหลายช่องค่ะ เขาเป็นเจ้านายเก่าเรามาตั้งแต่แอ้มเริ่มทำงานใหม่ๆ สอนกันมา ทะเลาะกันมา ในช่วงแรกแอ้มไม่ชอบเขาเลย ช่วงที่เขาเป็นเจ้านายเรา เราเถียง “พี่โก้สั่งอะไรไม่รู้เรื่อง” เขาก็จะว่า “เธอนั่นแหละฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง” (หัวเราะ)

ตัดสินใจไม่มีทายาท

คือสามีแอ้มมีลูกสาวติดมา 2 คน พี่โก้เคยแต่งงานครั้งหนึ่ง คนโตอายุจะสิบเจ็ด คนเล็กสิบห้า คือเขามีมาแล้วเราเลยไม่จำเป็นต้องมี และแอ้มเองไม่เคยมีความรู้สึกอยากมีด้วยค่ะ เราลูกคนเดียว เราโตมาแบบความรู้สึกที่ว่าเราอยากจะดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นการที่จะเล่นบทบาทลูกที่ดีที่สุด พร้อมกับแม่ที่ดีที่สุด พร้อมกับเป็นภรรยาที่ดีที่สุด คงจะเยอะเกินไปสำหรับมนุษย์อย่างแอ้ม(หัวเราะ) ถ้าจะมีมาตอนนี้ คงต้องตั้งชื่อว่า “น้องดั้นด้น” คือดั้นด้นมาก ตั้งใจมากๆ ที่จะมา(หัวเราะ) แต่ว่าคงไม่แล้วค่ะ ก็ช่วยสามีดูแลหลานสาว เขาเรียก“น้าแอ้ม” ก็พยายามดูแลหลานสาว 2 คนให้ดีที่สุดค่ะ

กลับคืนสู่สังเวียนอีกครั้งกับบทบาทพิธีกร

ตอนนี้แอ้มมาทำงานอยู่กับทางช่อง new)tv ค่ะ ด้วยความที่พี่ๆทีมงานของที่นี่ เคยร่วมงานกันมา รู้จักกันมานาน พอดีเขาอยากจะได้คนทำข่าวต่างประเทศ แล้วแอ้มก็โตมาจากสายนี้ เขาเลยแบบ “เฮ้ย..แอ้ม เอายัง เอาสักที กลับมาสักที” เราก็ดูลาดเลา นิวทีวีเป็นช่องที่ว่าถูกจริตกับแอ้ม ตรงที่ว่าเต็มไปด้วยสาระที่แฝงไปด้วยบันเทิงบ้าง แต่ไม่ได้บันเทิงจ๋ามากเกินไปสำหรับความเป็นสโรชา แอ้มรู้สึกว่านิวทีวีน่าจะถูกบุคลิกกับเรา เลยลองมาคุยดู และก็ลงตัวที่รายการหมายข่าวรอบโลก สนุกดีค่ะ ทำแล้วมีความสุขฟีดแบ๊กคนดูดีมาก เลยรู้สึกว่าลงตัว

เปิดตัวรายการใหม่ที่คิดเองทำเอง

ชื่อรายการ “แดนไกลใกล้ตัว” ออกอากาศทุกวันพุธ สามทุ่มครึ่ง ทางนิวทีวีค่ะ คราวนี้เป็นรายการของตัวเองเลย เป็นผู้ผลิตเอง เพิ่งได้ออกอากาศเทปแรก เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา สนุกค่ะ เป็นประสบการณ์แบบที่สโรชาพาไปทัวร์งานแต่งงานอินเดีย สโรชาไปห่มส่าหรี ไปใส่ชุดเกาหลี ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่เราไม่เคยทำ แอ้มพยายามจะแสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมในต่างแดน จริงๆ มีอยู่รอบๆ ตัวเราในเมืองไทยนี่เอง แต่เราอาจจะยังมองไม่เห็นแอ้มเลยเอามานำเสนอให้คนดู เรียกว่าทั้งคิดคอนเซ็ปต์เอง ขายงานเอง เป็นพิธีกรเอง ลุยเองเลยค่ะ(หัวเราะ)

มีคนชวนไปเล่นหนังหรือละครบ้างไหม

(หัวเราะ) ไม่เคยค่ะ ใครเขาจะมาชวน เป็นคนข่าวน่าจะลงตัวที่สุดแล้วค่ะ มีแต่คนยุให้ไปทำโบท็อกซ์(หัวเราะ) แอ้มเป็นคนหน้าใหญ่แก้มใหญ่ ก็จะมีคนแบบว่า “ไม่ทำศัลยกรรมเหรอ” แอ้มไม่ได้แอนตี้ศัลยกรรมนะคะ ใครอยากทำทำเลย ถ้ากล้าทำ แต่แอ้มไม่กล้าค่ะ ให้ไปฉีดโบท็อกซ์ก็ไม่กล้า กลัวเจ็บด้วย แต่ที่กลัวมากกว่านั้นคือผลระยะยาวเราไม่รู้จะเป็นยังไง

เชื่อว่า ‘โอกาส’ พาให้มาถึงวันนี้

แอ้มเป็นคนเชื่อเรื่องดวงชะตา ไม่เชื่อว่าคนคนหนึ่งถึงแม้ว่าจะเก่งมาก แต่ถ้าไม่ได้รับโอกาส หรือว่าชะตาไม่ลิขิต ก็คงยาก จริงๆ สำหรับแอ้มเองมาจากองค์ประกอบหลายๆส่วนค่ะ เป็นดวงชะตา ความสามารถ ความเอาใจใส่ของคนรอบข้าง อย่างที่บอกว่าในช่วงที่แอ้มทำงานแรกๆ แอ้มไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่มีคุณพ่อคุณแม่เป็นแฟนคลับที่เหนียวแน่นที่สุด เป็นนักวิจารณ์ที่หนักที่สุดเพราะฉะนั้นถ้าไม่มีคุณพ่อคุณแม่ แอ้มก็คงมาไม่ถึงตรงนี้รวมถึงการได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่หลายคน ทั้งคุณสุทธิชัย หยุ่นคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งผู้ใหญ่ในนิวทีวี ที่มักจะมาในเวลาที่เราคาดไม่ถึง เป็นองค์ประกอบของหลายๆ สิ่ง ทั้งตัวเราเองส่วนหนึ่งทั้งโอกาสส่วนหนึ่ง ทั้งการเรียนรู้เรียนตลอดเวลา ปัจจุบันนี้ยังดูเทปตัวเองอยู่ว่ายักคิ้วมากไปมั้ย(หัวเราะ) หรือว่าวันนี้พูดติดขัดนะ แล้วฟีดแบ๊กเดี๋ยวนี้เร็วมากทั้งอีเมล์ แฟนเพจ เราก็ต้องปรับตัวและเรียนรู้ไปพร้อมๆกับคำวิจารณ์ค่ะ

ด้วยแรงสนับสนุนจากครอบครัว รวมถึงการไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ทำให้วันนี้ของ “แอ้ม” สโรชาพรอุดมศักดิ์ เต็มไปด้วยความสุขในการมุมานะทำงานที่รักด้วยใจที่ยังมีไฟลุกโชติช่วง!!

ลูกหมี

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • หวานซ่อนเปรี้ยว! \'เป้ย ปานวาด\'อวดลุคสุดละมุนแต่แอบเซ็กซี่ หวานซ่อนเปรี้ยว! 'เป้ย ปานวาด'อวดลุคสุดละมุนแต่แอบเซ็กซี่
  • \'เต๋อ\'เปิดเส้นทางรัก\'ใหม่ ดาวิกา\' เผยเกือบเลิกกันมาแล้วถึง 2 ครั้ง 'เต๋อ'เปิดเส้นทางรัก'ใหม่ ดาวิกา' เผยเกือบเลิกกันมาแล้วถึง 2 ครั้ง
  • \'อแมนด้า\'ปล่อยทีเด็ด อวดหุ่นแซ่บในชุดบิกินี 'อแมนด้า'ปล่อยทีเด็ด อวดหุ่นแซ่บในชุดบิกินี
  • \'ใหม่ ดาวิกา\'แปลงโฉมเป็นเชียร์หลีดเดอร์ ให้กำลังใจ\'เต๋อ\'ติดขอบสนาม 'ใหม่ ดาวิกา'แปลงโฉมเป็นเชียร์หลีดเดอร์ ให้กำลังใจ'เต๋อ'ติดขอบสนาม
  • ไม่ใช่คอนเทนต์! \'ลิลลี่\'แจงดราม่าร้องไห้บนเครื่องบิน ยันเป็นภาวะแพนิค ไม่ใช่คอนเทนต์! 'ลิลลี่'แจงดราม่าร้องไห้บนเครื่องบิน ยันเป็นภาวะแพนิค
  • POKMINDSET ชวน URBOYTJ ปั้นเพลงใหม่ \'สวัสดีครับ (So Sweet)\' POKMINDSET ชวน URBOYTJ ปั้นเพลงใหม่ 'สวัสดีครับ (So Sweet)'
  •  

Breaking News

ด่วน!! 'จอน อึ๊งภากรณ์'เสียชีวิตแล้ว ด้วยวัย 77 ปี

สมุทรสาครป่วน! จ่อแจกใบแดงซื้อเสียง เลือกตั้งนายกเล็ก

ไปอีก 2!‘อุตตม-สนธิรัตน์’ลา‘บิ๊กป้อม’ไขก๊อกสมาชิกพรรค‘พปชร.’

ยอดขายร่วง! 'นิสสัน'เตรียมปลดพนักงาน 2 หมื่นชีวิตทั่วโลก

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved