star Retro : แมวมองชั้นครู ‘สมเกียรติ คุณานิธิพงศ์’
‘เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับชีวิตผม เรื่องสำคัญคือ สนุกกับมัน’
สมัยนี้ต้องยอมรับ โอกาสและช่องทางในการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงมีมาก การจะปั้นเด็กให้ประสบความสำเร็จและสามารถเดินต่อไปบนถนนสายนี้อย่างมั่นคง ยิ่งเป็นงานหินให้ต้องพิสูจน์ ใครจะอยู่ได้นาน ใครจะจากไปเร็ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนนำพา มีส่วนสำคัญอยู่ไม่น้อย สตาร์เรโทร สัปดาห์นี้ มีโอกาสได้พบ แมวมองชั้นครู "สมเกียรติ คุณานิธิพงศ์" ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักแสดงคุณภาพ อาทิ หนุ่ม-สันติสุข, เกม-ศานติ, แมน-วทัญญู, กิ๊ฟ-เฉลิมพร, แอน ทองประสม, ต้น-จักรกฤษณ์, แพท-พัสสน, ธัญญ่า-ธัญญาเรศ, ต่าย-สายธาร, โจ ต๊ะ ดิ๊บ บอยสเก๊าท์, แคทรียา อิงลิช, อู-ภาณุ, อาร์ตี้, โดม-ปกรณ์ ลัม ฯลฯ ร่ายยาวทุกคนเห็นทีจะเหนื่อย เอาเป็นว่าเรามาขุดคุ้ยความเป็นผู้สร้าง จากดินสู่ดาว เขาทำได้อย่างไร!?
l ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง
หลักๆ เลยตอนนี้ดูแล แอน ทองประสม กับ ธัญญาเรศ เองตระกูล นอกจากนั้นแล้วก็ทำรายการวิทยุอยู่ที่ FM 99 Active Radio คลื่นเมืองไทยแข็งแรง วันจันทร์-ศุกร์ 14.00-15.00 น. เป็นรายการวิทยุที่จัดกับคุณสันติ เศวตวิมล หรือที่รู้จักกันในนามปากกา แม่ช้อย นางรำ เป็น รายการ “คัลเลอร์ ออฟ ไลฟ์” พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวทุกเรื่องราวที่อัพเดทอยู่ทุกวันนี้ มีข่าวอัพเดทอะไร บันเทิง ท่องเที่ยวสังคม ธุรกิจ อะไรที่พอจะรู้เรื่อง เช่น คุณสันติเขาจะเก่งเรื่องอาหาร ประวัติศาสตร์ เรื่องอะไรต่อมิอะไร ก็ผสมผสาน เราสองคนนี่ต่างวัยกันนะแต่พูดคุยกันรู้เรื่อง แต่ที่ยุ่งมากๆ จะช่วยคุณแอนทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโฆษณา ไปโชว์ตัว เล่นละครนู่นนี่นั่น ทำทุกอย่างเป็นผู้จัดการแกมาตลอดอยู่กับแกมาเกือบประมาณ 20 ปี แล้วก็ของธัญญ่าด้วย คือสองคนนี้เขาไม่รับงานเองเขาต้องผ่านผมหมด
l ย้อนเส้นทางสู่งานในวงการบันเทิง
ตอนแรกทำงานที่โรงแรมไปเจอกับพี่เล็ก บุษบา, พี่ซ้ง-ทรงวิทย์ ได้คุยกัน แล้วเขาชวนว่าสนใจทำตรงนี้ไหม เราก็โอเคตัดสินใจมาทำแกรมมี่ เพราะว่าอยากจะลองดู ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ตอนนั้นแกรมมี่มีคนทำงานอยู่ทั้งหมดประมาณ 9 คน ผมเป็นเลขาฯคุณอ๊อด-กิตติศักดิ์ ช่วงอรุณ มีหน้าที่ทำ PR เขียนข่าวส่งข่าว วางแผนเพลง ผังเพลง นู่นนี่นั่นทำหลายอย่างมาก สนุกนะอยู่แกรมมี่ประมาณ 1 ปี พ่วงกับทำโรงแรมด้วย จบใหม่ๆ ไฟมันแรงมาก ส่วนแรกเริ่มในวงการบันเทิงเลยก็คือเล่นหนัง “วัยร็อกเพลงร้อน”แต่ก่อนหน้านั้นตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงหนุ่ม-สันติสุข เป็นรุ่นน้องในชมรมเดียวกัน พอวันหนึ่งคุณคมสันต์ พงษ์สุธรรม ไปเจอคุณสันติสุขเล่นละครเวที เรื่อง “ฉันผู้ชายนะยะ” ที่มณเฑียรทองเธียเตอร์ โรงแรมมณเฑียร เขาอยากทำเรื่อง “คำมั่นสัญญา” ก็เลยดึง หนุ่มมาเล่นกับ แหม่ม-จินตหรา ซึ่งตอนนั้นแหม่มเป็นนางเอกแล้ว เพราะเขาเล่นเรื่อง“ผู้ใหญ่ลีกับนางมา” ตอนปี 2528-2529 คู่กับ ไพโรจน์ สังวริบุตร เล่น “คู่วุ่นวัยหวาน”, “ปัญญาชนก้นครัว” เล่นหลายเรื่อง เรียกว่าเป็นนางเอกยอดนิยมแล้วล่ะ พอปี 2529 ก็มาเล่น “คำมั่นสัญญา” กับ หนุ่ม-สันติสุข เป็นเรื่องที่คนชอบมาก สันติสุขก็ได้เกิดจากเรื่องนี้ พอหลังจากนั้นมาเล่น “วงศาคณาญาติ” ของคุณแจ๊ส สยาม ต่อด้วย“ด้วยเกล้า” ของคุณบัณฑิต ฤทธิ์ถกล พอจบ“ด้วยเกล้า” คุณบัณฑิต ชวนว่า อย่าดูแลสันติสุขอย่างเดียวเลย มาเป็นโปรดิวเซอร์หนังให้หน่อย เพราะเขาเห็นอะไรในตัวเรา เลยได้มาเป็นโปรดิวเซอร์เรื่องแรกก็คือ บุญชู ภาคหนึ่ง “บุญชูผู้น่ารัก” เป็นหนังที่ทำเงินมาก มีทั้งหมด 10 ภาค ในขณะเดียวกันผมก็ได้เล่นด้วย ก็เป็นโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ที่ไฟว์สตาร์เกือบ 30 เรื่อง ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ได้เป็นแมวมองหรืออะไร ดูแลแค่คุณหนุ่มอย่างเดียว แต่ตอนที่อยู่รามคำแหง ผมเป็นผู้กำกับละครเวทีของชมรมศิลปะการแสดงของ ม.รามฯ ทำอยู่แล้ว พวกพี่แมน-วทัญญู, เกม-ศานติ หลายคน พวกรุ่นที่เป็นเด็กรามคำแหงที่เป็นนักแสดง ผมก็เป็นคนคัดเลือกหมด เราทำแบบนี้มาตั้งแต่เราเรียนรามฯ
l ตกผลึกความเป็นแมวมอง
ตอนเป็นโปรดิวเซอร์ให้หนัง “บุญชู” ทำทุกอย่าง ดูแลการเขียนบทของผู้กำกับ แคสติ้งตัวแสดง ทำการเงิน หาโลเกชั่น เบรกดาวน์ ทุกอย่างอยู่ในเราคนเดียว แต่ ณ ปัจจุบันนี้ โปรดิวเซอร์คือนั่งเฉยๆ บริหาร เป็นคนใช้หัวคิด โลเกชั่น แคสติ้ง การเงิน
แยกหมด แต่รุ่นผมนี่ทำเองหมดนะ รุ่นผม ณ ตอนนั้นจะมี อายุ (ยุวดี ไทยหิรัญ), กอบสุข จารุจินดาแล้วก็ผม มีอยู่ไม่กี่คน คือทำเองทุกอย่าง หนักมาก เหมือนเจ้าของหนัง เขาไว้ใจให้ถือเงินเป็นล้านแล้วเราเองก็ทำงานให้เขาได้ แคสติ้งเอง พอทำบุญชูผู้น่ารัก ภาค 1 ได้ตังค์ ภาค 2 ทำต่อ แล้วคุณบัณฑิต เขาก็มีไอเดียจะทำเรื่อง “โก๊ะจ๋าป๋านะโก๊ะ” ก็มีคุณโอ- วรุฒ, หนุ่ม-สันติสุข, ต้น-จักรกฤษณ์ สามพระเอก เป็นของไฟว์สตาร์ทั้งหมด ดาราผู้หญิงหาใหม่หมด แล้วก็หาดาราผู้ชายเพิ่มเข้าไปอีก ก็ไปหาเองด้วย แคสติ้งด้วย ดูจากรูปที่ส่งเข้ามา ก็ได้ แอน ทองประสม ซึ่งได้จากรูปที่ส่งเข้ามา พอทำโก๊ะฯ ก็ทำ “อนึ่งคิดถึงพอสังเขป” ต้องแคสติ้งอีก คราวนี้ได้ ต๊ะ ดิ๊บ โจ บอยสเก๊าท์ (Boyscout), แนน-ปรางวลัย เทพสาธร,แคทรียา อิงลิช ผมก็เป็นคนแคสมา จนกระทั่งมาทำ“อนึ่งคิดถึงพอสังเขป” ภาค 2 ก็ได้ โดม-ปกรณ์ ลัม, แคทลีน่า กลอส ผมก็ไปคัดมา อย่างโดม มีเพื่อนไปเจอที่สยาม แล้วก็พามาหาผม สมัยก่อน ถ้าจะหาเด็กก็ต้องไปเดินสยามแหละ แต่สมัยนี้ก็เปิดอินเตอร์เนตส่งกันมาเพียบสารพัด ในขณะเดียวกันผมเองก็มีไปตามที่ต่างๆ หาเจอก็ส่งให้ช่องบ้าง ส่งให้ไฟว์สตาร์ก็มี ถามว่าดูเองไหม ก็ไม่ค่อยดู แต่ก็หาได้ หาได้ก็ส่ง หาเรื่อยๆ ดูเรื่อยๆ ตามต่างจังหวัดที่ไป พ่อแม่คนนั้นคนนี้เอามาฝากบ้างเยอะแยะ ซึ่งเราก็ต้องดูว่าพอได้ไหมไหวหรือเปล่า บางคนก็ไม่ไหวจริงๆ
l ไม่เคยคิดเปิดบริษัทโมเดลลิ่ง
ไม่เอา วัยนี้เราอยู่ตัวแล้ว แต่ก่อนหน้านี้คิดไม่เป็นไง สมองไม่มี แค่คิดทำงานก็หมดมุขแล้ว(หัวเราะ) ตอนนั้นดูแลแอน ทองประสม สมัยเขางานเยอะมากๆ ดูแลคนเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ไหนจะของธัญญ่าอีก เยอะมาก แล้วบริหารไม่เป็น เราทำคนเดียว ก็เลยไม่คิดว่าจะมีใครอีก ไม่ชอบทำงานกับคนเยอะ ชอบทำคนเดียว จบที่คนเดียวเลย ณ วันนี้ก็ยังคงดูอยู่ แต่ก็มีผู้ช่วย คือคุณส้ม ถ้ามีใครติดต่องานมา คุณส้มก็ให้โทร.หาพี่เกียรติ อย่างของธัญญ่าก็คุณชมพู่ เวลามีอะไรก็โทร.มาหาเรา งานทุกงานต้องผ่านเราหมด เราเป็นคนตัดสินใจ เคลียร์งานทั้งหมด แต่พอได้ปุ๊บก็โยนให้เขาไปเคลียร์คิวกันอีกที เพราะถ้าเราไปยุ่งคิวมากๆ จะเวียนหัว
l ปฏิเสธดารา เพราะไม่มีเวลาให้
มีคนมาขอให้เป็นผู้จัดการส่วนตัวเยอะมาก ดังๆ ก็มีหลายคน แต่ถามว่าน้องเขาดีไหม ดี แต่เราไม่มีเวลาทำให้เขา แม้แต่บริษัทใหญ่ๆ 3-4 บริษัท ต้องการให้เราเข้าไปนั่งดูแลศิลปิน แต่เราบอกว่าอย่าเอาไปเลย เราไม่ชอบ เราชอบอิสระ แล้วคนอย่างเราทำงานแบบนี้มา 20 กว่าปีแล้ว
l อาชีพที่บอกความเป็นตัวเองที่สุด
สิ่งที่คิดว่าตัวเองเหมาะและทำได้ดีที่สุด คงเป็น ดูแลศิลปิน ถามว่าอยากดูแลเยอะคนไหม ก็ไม่อยาก เพราะว่าคุณภาพจะไม่มี สมมุติว่าเรามีดารา 10 คน เราดูแลทั้งหมดไหวไหม ก็คงไม่ไหวนะ ต้องมีน้องๆ ช่วยดูให้ แล้วเราก็ไม่ไว้ใจอีก เป็นคนไม่ไว้ใจคน ต้องขอคุยเอง คือกลัวพลาด แต่คนเก่งๆ ที่เขาไม่กลัวพลาดก็มีบารมี แต่ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่อยากให้พลาด ไม่อยากให้มีปัญหา เซฟงานของตัวเอง เพราะฉะนั้นก็จะดูแลแค่นี้ อยู่ได้ก็อยู่ พอถึงวัยนี้แล้วให้ไปสร้างใหม่ก็ไม่เอาแล้ว แต่ถ้าไปเจอใคร เราก็จะเอาไปฝากคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ช่อง 3 ช่อง 7 คุณกอบสุข คุณแอน เราจะยกไปเลยไม่ดูเองแล้ว นอกจากน้องเขาจะขอมา เราก็จะช่วยดูบ้างเป็นที่ปรึกษาให้ได้ หลายคนทั้งช่อง 3 และช่อง 7 เองก็ให้ช่วยดู แต่ดูแบบแค่ปรึกษานะ มีอะไรโทร.หา ช่วยหมดไม่คิดสตางค์ เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับชีวิตผม ถามคุณแอน คุณธัญญ่า ได้เลย เรื่องสำคัญคือ สนุกกับมัน แล้วก็สบายใจ ถามว่าเขาให้ไหม เขาก็ให้ แต่เราเป็นคนไม่เดือดร้อน เป็นคนทำงาน ขยันทำงาน ผมคิดว่าคนขยันไม่มีอดคนกินข้าวได้สามมื้อไม่ได้กินมากกว่านั้น การพนันก็ไม่เล่น เหล้าก็ไม่ดื่ม บุหรี่ก็ไม่สูบ ครอบครัวก็ไม่มี พ่อ แม่ ไปสวรรค์หมดแล้ว ก็มีแต่หลานแล้วก็พี่น้องญาติๆ ส่งหลานเรียนเมืองนอก อยู่ตัวคนเดียว สบายใจ
l แมวมองชั้นครูฉบับสมเกียรติ
อย่างเช่นเจอ ต้น-จักรกฤษณ์ เราก็ดูว่าเฮ้ยคนนี้บุคลิกไทยๆ ดูดี เบื้องต้นดูหน้าตา พอพูดคุยแล้วมันใช่ พอใช่ปุ๊บผมก็ต้องเอาไปให้ผู้กำกับดู สมัยก่อนเราทำไฟว์สตาร์ ดูว่าใช่ก็เรียกมา เหมือนเป็นเซ้นส์จากตัวเราเองด้วยส่วนหนึ่ง ก็พามาให้ผู้กำกับเลือก ถ้าเราคนเดียวก็ไม่รอดหรอก เพราะสมัยก่อนไม่มีเรื่องต้องไปเสริมหน้านู่นนี่นั่น ถ้ามีก็จะน้อย มีแล้วก็ไม่ดี เพราะว่าวิทยาศาสตร์ด้านการศัลยกรรมยังไม่พัฒนา มีน้อยแล้วก็น่ากลัว ฉีดอะไรเยอะแยะเราก็ไม่กล้าทำ ก็เอามาสดๆ เลย มาให้เมคอัพแต่งเอา (เหนื่อยไหมตอนนั้น) ดูไปเรื่อย ไม่เหนื่อยหรอก แล้วสมัยก่อนหนังละครมีน้อยด้วย ไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยก่อนจะมีแค่หนังไฟว์สตาร์ ละครก็ไม่กี่เจ้า ซึ่งสมัยก่อนหนังจะบูมมาก ผมถือเป็นยุคทำหนังยุคท้ายๆ ของการมีคู่พระ-คู่นาง ที่คนนิยม อย่างเช่น มิตร-เพชรา, สมบัติ-อรัญญา แล้วก็มา สรพงศ์-จารุณี แล้วก็มา สันติสุข-จินตหรา ผมอยู่ในยุคกำลังบูมยุคสุดท้าย สันติสุข-จินตหรา ผมดูสันติสุข พี่กอบสุขดูจินตหรา ก็จะเป็นประมาณว่า สายหนังการันตีว่าถ้าคู่นี้เล่นนะ หนังได้ตังค์ เขาซื้อแน่ๆ พอจบยุคของ สันติสุข-จินตหรา ก็ไม่มีแล้ว ถึงมีแต่ก็จะไม่มีเป็นคู่ขวัญ อย่างเช่น นก-สินจัย ก็จะแสดงคู่กับคนนี้ นาถยา แสดงคู่กับคนนั้น จะไม่มีเป็นคู่อย่างแต่ก่อน
l ถ้าไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิง
จะไปขายก๋วยเตี๋ยว ขายของชำ ผมจะไปแข่งกับ 7-11 แต่ว่าไม่ได้เปิดเยอะๆ นะ เปิดร้านเดียวนี่แหละเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเขาทำงานประจำแล้วลาออก ผมก็ถามว่าออกมาแล้วจะไปทำอะไร เป็นผู้หญิงด้วยอายุก็ 40 แล้ว เขาตัดสินใจออกไปขายของโชห่วย ทุกวันนี้เธอรวยมาก ผมก็มองว่า ทำไมบางคนถึงจน ทำไมมันไม่คิดจะทำอะไร ทำไมมันไม่ขยัน ทำไมมันไม่คิดว่าทำแบบนี้ได้ ขายของโชห่วยก็รวยได้ ผมก็คิดว่าถ้าวันหนึ่งไม่ได้ทำตรงนี้แล้วคงแน่นอนไม่โชห่วย ก็ขายก๋วยเตี๋ยว ขายไม่แพงด้วย พอให้อยู่ได้ ผมชอบทำงาน ขายไปเรื่อยๆ สนุกสนาน คิดแค่นี้แหละไม่ได้แข่งกับใคร แต่ ณ วันนี้ถ้ายังอยู่ตรงนี้ ก็ยังจะเป็นแมวมองที่ยังจะหาคนเข้ามาวงการบันเทิง เพราะผมก็มองว่าบุคลากรตรงนี้ยังไม่พอไม่ว่าจะเป็นนักแสดง คนเขียนบท ใครก็ตามแต่ที่มีใจรักที่จะพอให้เราพาเข้าได้ เราก็พร้อม ไม่คิดสตางค์ พาเดินไปสู่จุดหมายอย่างเต็มที่
l สิ่งที่ได้รับจากเด็กปั้น
ผมคิดว่าผมเอาความรู้สึกให้กันและกัน คือผมเป็นคนที่อยู่บ้านน้อยมาก เพราะผมจะเป็นคนลุยๆ มาตั้งแต่เรียนรามฯล่ะ ความผูกพันที่บ้านน้อย แต่ผมมาได้ความผูกพันจากเพื่อน น้อง เด็กๆ เป็นความสุขที่ได้เห็นเขาเจริญเติบโต อิ่ม เหมือนเป็นครอบครัวเราและในขณะเดียวกันบ้านเราก็ต้องไม่อด หมายถึงว่า หลานเรามีปัญหา ใครมีปัญหาเราก็เข้าไปช่วยเหลือ เพราะเราหาเงินได้ เราก็ช่วย บ้านเราอิ่ม เราก็อิ่ม กับความรู้สึกดีดีตรงนี้ ผมมีความสุขมาก เมื่อเห็นน้องเจริญเติบโต เขาไปแล้ว เดินได้ละ พ่อ แม่ สบาย ลูกสบาย โอเค ย้อนมองดูก็ภูมิใจ หรืออย่างเด็กบางคนที่เราไม่ได้ปลุกปั้นมา วันหนึ่งต้องมีงานกับเขา เราจำเป็นที่จะต้องมีรายได้กับเขาก็มี ก็ไม่ใช่ว่า โอ้ยทำบริจาคการกุศลไปซะทุกคน เป็นพ่อพระ เด็กพวกนี้ไม่ได้ปั้นก็จะไม่มีความผูกพันก็จะแยกเป็นอีกแบบ
l เคล็ดลับการปั้นดินให้เป็นดาว
พื้นฐานเด็กต้องดีอยู่แล้ว ครอบครัวดี หรือครอบครัวอาจจะไม่ค่อยดีมาก แต่เด็กดี ซึ่งก็ดีได้ไงก็ไม่รู้เนอะ ยกตัวอย่าง คุณแอน บ้านก็ไม่ได้รวย อยู่กับยาย พับถุงทำนู่นทำนี่ แต่เด็กจะดีมันดีด้วยความรู้สึกของมันเองนะ พอเราได้เด็กอย่างงี้มา เราก็แค่มาเสริม เติมให้เขาไม่ถูกเอาเปรียบจากนายทุนไม่ถูกเอาเปรียบจากสิ่งที่จะมาหาผลประโยชน์จากเขา ก็ไม่มีเคล็ดลับที่ตายตัว หรืออย่างธัญญ่าก็ดีของเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว วันนี้เขาก็โตขึ้นด้วยอะไรที่แบบโอเคนะ โชคดีที่เราก็ได้เจอคนที่ดีๆ ไม่ใช่เราไปสอนให้เขาดี โอเคสอนก็ส่วนหนึ่งแหละ เขาก็มาปรึกษาเรื่องนี้ต้องทำยังไง แก้ปัญหาแบบไหน มีมาถามตลอดระยะเวลาที่เริ่มตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ เป็นเรื่องที่เขาจะต้องอยากรู้ แล้วเราก็เป็นคนรู้ เพราะฉะนั้นเขาก็จะฟังเรา มันมีส่วนช่วยเติมเต็มในส่วนที่คิดว่าเขาจะเดินไปทางไหนดี ช่วยกันประคอง ช่วยกันคิด ค่อยๆ ช่วยพยุงกันไป
l เส้นทางชีวิต ณ ปัจจุบัน
อยู่ตัวละครับ สบาย ไม่ง้อใคร ทุกวันนี้คนที่จ้างเรา คือคนที่รักเรา และคนที่เรารัก ถ้าคนที่จ้างเราแล้วเราไม่รัก เราไม่ไป เงินซื้อเราไม่ได้ จบ ทุกวันนี้คนที่จ้างเรา รักเรา เราก็รักเขา เราถึงยอมไปทำให้เขา ไม่เคยถามเรื่องเงินก็มี ใส่ซองเท่าไหร่ก็เท่ากัน แล้วแต่จะให้ ที่ทำงานทุกวันนี้ ก็เพราะรักงาน รักสิ่งที่ทำ รักคนที่จ้าง แล้วคนที่จ้างก็รักเรา ถ้าวันไหนคนที่จ้างไม่รักเราแล้ว ก็ไม่เป็นไร เราอยู่ได้แค่กินสามมื้อพอ เที่ยว สบาย มีเงินรักษาตัวตอนแก่ จบละ ชีวิตไม่มีอะไรแล้ว ชีวิตสบายๆ ตอนนี้ อนาคตก็ไม่มีวางแล้ว พอละ ไปเรื่อยๆ ได้จัดรายการวิทยุ ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบ ดูแอนจนกว่าเขาจะไม่ต้องการ แต่เขาไม่ทิ้งเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขา แอน, ธัญญ่า, ผม เราสามคน ไม่ทิ้งกัน หมายถึงว่าไม่ทิ้งกันแน่ๆ คือเจ็บป่วยก็ดูกันไป
l สุขภาพร่างกาย
ผมเคยน้ำหนัก 120 กิโลกรัม ตอนนี้หนักประมาณ 90 กว่า ผมเปลี่ยนวิธีการ คือ ลดแป้ง น้ำตาล ถ้าทำกับข้าวตามร้านอาหารก็จะบอกว่า ไม่เผ็ด ไม่มัน ไม่หวาน เนื้อสัตว์ไม่ใส่ แต่ถ้าทำกินเองซึ่งเวลาน้อยมาก เราก็ซื้อผักโครงการหลวงหรือผักปลอดสารพิษที่คิดว่าพอจะปลอด แต่ก็มาล้างอีกนะ วิธีการของผมทุกวันนี้คือ ซื้อผักกลับบ้านไปแช่ในน้ำส้มสายชูประมาณ 5 นาที แล้วก็มาล้างน้ำอีก 3 น้ำ จัดแพ็กใส่ถุงแช่เย็น วันหนึ่งก็กินข้าวสามมื้อ หรือบางวันสองมื้อก็ตาม ก็จะเอาผักออกจากตู้เย็นตอนเช้าไปที่ทำงาน สั่งอาหารทานแล้วก็กินผักของเราที่เอามาเอง ทำแบบนี้มาเกือบ 7 ปีแล้ว ถึงได้ลด แต่ก่อนนะกินข้าวเป็นหม้อ (หัวเราะ) ชอบกินข้าวมาก ทำไมชอบก็ไม่รู้ข้าวกับน้ำแกงเขียวหวาน แค่นี้ ไม่ต้องมีอะไรเลย ก็อร่อยมากๆ ขนมจีนก็กินได้เป็นกิโลฯ ที่เปลี่ยนเรื่องการกิน หันมาดูแลสุขภาพก็เพราะได้คุยกับเพื่อนแล้วเจอคนที่ไม่สบายเยอะ เป็นเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอะไรต่างๆ มากมาย เพื่อนเป็นกันเยอะมาก สาเหตุหลักๆ ก็มาจากเรื่องการกิน ถึงทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองจนถึงทุกวันนี้
l มุมมองต่อดาราศิลปินรุ่นใหม่
ผมว่าเด็กยุคใหม่ส่วนหนึ่ง เขาไม่มีคนที่จะให้ความรู้สึกที่ดีกับเขา กลายเป็นโลกโซเชียลทั้งหลายในยุคสมัยนี้มาให้ความรู้สึกที่ดีกับเขา เพราะฉะนั้นบางคนพอเริ่มมีชื่อเสียง แล้วเขาก็ลืม ลืมว่าต้นน้ำคือใคร เด็กที่ผมได้คุยและได้สัมผัส 10 คน เป็นแบบนี้ 7-8 คนเลยนะ คือลืมต้นน้ำ ลืมได้ยังไงไม่เข้าใจ เหมือนลืมพ่อลืมแม่ (แล้วน้อยใจไหม) ผมไม่เคยมีเพราะเด็กพวกนี้ผมตัดเลย จะไม่ยุ่งด้วย ยุ่งด้วยเป็นงานๆ ไป แต่ผมคุยในฐานะคนจ้างงาน ผมไม่ใช่คนที่ปั้นเขานะ เขาเห็นเราแล้วเขาก็คิดว่าเราจะสามารถพาเขาไปได้ แต่พอคุยกับเขาแล้ว เราไม่พาไปหรอก เพราะเราคิดว่าเขาพูดถึงต้นน้ำเขาไม่ดี แต่บางทีเราก็คิดนะ เอ๊ะเราจะสอนเขาดีไหม แต่ก็คิดกลับกันว่า เฮ้ยเผื่อไปสอนแล้วเขาด่าแม่เอาล่ะ ก็เลยไม่เอาดีกว่า แต่ส่วนหนึ่งก็อาจจะด้วยงานหนัง งานละครของแอน ของพี่กอบสุข เขาก็คงหวัง ซึ่งต้นน้ำที่พามาน่ะ เรารู้จัก แต่เขาทำเหมือนไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นพวกนี้ปลายทางก็จะไม่ค่อยดี ขึ้นอยู่กับดวง อาจจะบุญจากชาติที่แล้ว เพราะผมก็เชื่อเรื่องภพชาติ เชื่อว่าชาติก่อนทำบุญทำกรรมอะไรไว้ชาตินี้ก็จะได้บุญได้กรรมนั้น ด้วยประสบการณ์เมื่อได้คุยกับเด็กแป๊บเดียวเดี่ยวเราจะรู้เลย และจะไม่ยุ่ง เป็นโชคดีของผมที่ผมตัดได้ ผมก็ทำใจด้วยว่าผมไม่ได้เห็นแก่เงิน
l ฝากถึงนักปั้นมือใหม่ แมวหัดมอง
ผมถือว่าต้องมีความรับผิดชอบในวิชาชีพของตัวเอง คืออย่าหวังหรือเห็นแก่เงิน ให้ความสำคัญกับงาน แล้วก็ความรับผิดชอบ เงินน่ะเยอะได้แต่ก็ต้องมีความรับผิดชอบด้วย แค่นี้แหละ ความรับผิดชอบ สำคัญที่สุด บางทีศิลปินบางคนตกเครื่อง ตื่นสายมาไม่ทัน หรือว่าอะไรก็ตามแต่ แล้วผู้จัดการก็ไม่ช่วยดูแล ซึ่งมันไม่ได้ ฐานะเราเป็นผู้จัดการเขาก็ต้องดูแลเขา ถึงบอกว่าคนดูแลศิลปินต้องมีความรับผิดชอบ เด็กถึงจะมีความรับผิดชอบ อาชีพนี้ความรับผิดชอบสำคัญและจำเป็นมาก
นี่คือการบ้าน ของนักปั้นมือใหม่ ที่ควรใส่ใจและสร้างให้เป็นนิสัย ถ้าคิดว่าจะยึดอาชีพนี้ให้ไปไกล ขอให้เรียนรู้ไว้ “สมเกียรติ คุณานิธิพงศ์”รับรองว่าไม่มีทางอับจน!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี