เป็นที่ทราบกันแล้ว ถึงข่าวการจากไปของมือกีตาร์อมตะแห่งเมืองไทย “อู๊ด” สิทธิพร อมรพันธ์ ที่โด่งดังมากับวง “ดิ อิมพอสซิเบิ้ล”ในวันที่ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ได้ทำการบันทึกบทสัมภาษณ์นี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้ชายคนนี้ มีให้เห็นโดยตลอด มิได้บ่งบอกถึงอาการป่วยให้ได้ระแคะระคายใจ แต่แล้วเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา กลับต้องใจหาย เมื่อทราบข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ “อู๊ด” สิทธิพร!! Star Retro สัปดาห์นี้ จึงขอนำความในใจครั้งสุดท้ายของ “อู๊ด” สิทธิพร อมรพันธ์ มานำเสนอให้ทราบกัน เพื่อเป็นการไว้อาลัย...
เมื่อครั้งยังเด็ก
ผมเกิดที่โรงพยาบาลทหารเรือสัตหีบ เป็นเด็กชลบุรี เข้ามาอยู่กรุงเทพฯหลังจากที่จบม.6 แต่เริ่มสนใจเรื่องของดนตรีตั้งแต่อยู่ ม.4เริ่มเล่นดนตรีดุริยางค์ของโรงเรียน ตอนนั้นเดินเข้าห้องดนตรีเห็นกลองตั้งอยู่ ก็เข้าไปตีเลยโดยที่ไม่มีใครอยู่ ไม้กลองเป็นไม้ไผ่เหลาและก็ตีเป็นจังหวะชะชะช่า จำมาจากรำวงตามบ้านนอก ผมจะชอบยืนดูรำวง อาจารย์ดนตรีเดินเข้ามา เราก็ตกใจกลัวว่าจะโดนตี เพราะเข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต แต่ อาจารย์บอกให้นั่งลง และก็ถามว่า “ชื่ออะไร?” เราก็บอกชื่อไป อาจารย์ถามว่า “จะเล่นดนตรีมั้ย?” เท่านั้นแหละ เริ่มเลย จากนั้นก็เป็นมือกลองดุริยางค์ กลองแต๊ก และก็เป็นมือสำรองกลองชุด กลองที่เป็นวงดนตรีเล่นมาเรื่อยๆ ไปเป่าทรัมเป็ตบ้าง เป่าแซกโซโฟนบ้าง เดินพาเหรดก็เป่าเป็นเพลงๆ ไปอย่างสยามานุสสติ เรียนเป็นเพลงๆ ไปแล้วก็ตีนิ้งหน่อง ในฐานะที่ตัวเล็ก ครูดนตรีก็จับไปยืนข้างหน้าหลังดรัมเมเยอร์ ทีนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งเอากีตาร์มาลองเล่น ก็เริ่มชอบกีตาร์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
พรสวรรค์ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
คุณพ่อผมชอบร้องเพลง คุณตาก็เป็นนักแหล่ นักเทศน์ สมัยนั้นอุปกรณ์ที่ช่วยในการเล่นดนตรีมีน้อยมาก ผมใช้วิธีไปขอยืมกีตาร์คนที่เขามี ถามคอร์ดเขาว่าจับยังไง และก็ฟังจากวิทยุบ้าง ว่าโซโลยังไง เสียงยังไง แล้วก็มาจับกีตาร์ให้โดนโพซิชั่นนั้นว่ามันควรจะเป็นช่องไหน สายไหน ตรงกับที่เราฟังรึเปล่า ถือว่าเป็นการเรียนด้วยตนเอง เวลาวิทยุเปิด เราจำได้หมดว่าคอร์ดเป็นยังไง โซโลยังไง จนพอมาเป็นวงเข้ากรุงเทพฯ เรียนที่เพาะช่าง เรียนเป็นครูสอนวาดเขียน ก็ได้เข้ามาเล่นในวงดนตรีเดอะแบล็คบอย
จุดเริ่มต้นกับวงแบล็คบอย
เพื่อนที่เป็นมือกีตาร์ ที่ผมเคยสอนเขามาตอนเรียนอยู่ชลบุรี ชื่อ อำนาจ ศรีมา (หัวหน้าวงรอยัลสไปรท์ส) เขาไปรู้จักกับวงที่เรียกว่าแบล็คบอย อยู่ๆ เขาก็วัดตัวตัดเสื้อให้ผมเสร็จโดยที่ผมไม่รู้เรื่องเลย ผมกลับมากรุงเทพฯ เขาบอก “อู๊ดเราตัดเสื้อให้นายแล้ว นายไปเล่นด้วยนะ” ให้ผมเล่นกีตาร์เบส เพราะเขาอยากเล่นกีตาร์โซโล่ ผมก็ไปเล่น เล่นไปเรื่อยๆ ก็มีนักร้อง มีมือกลอง ผมก็คุมซ้อม ทีนี้ปรากฏว่าเพลงมันยาก ตอนนั้นเป็นเพลงสากล เพลงของ BG เดอะบีเทิลส์ เดอะโรลลิงสโตนส์ทีนี้เพลงหลายๆ เพลงยาก ต้องเล่นกีตาร์สองตัวผมก็เลยต้องมาเล่นกีตาร์อีกตัวหนึ่ง ประกบคู่กับอำนาจมือเบสก็เป็นน้องชายของ พิชัย ทองเนียม (มือเบสวงดิ อิมพอสซิเบิ้ล) วงแบล็คบอยก็เล่นไปเรื่อยๆจนผมเรียนจบเหตุการณ์ก็เปลี่ยน
เรียนวาดเขียน แต่เล่นดนตรีเป็นหลัก
ช่วงมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ผมเล่นดนตรีประจำ ตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงตีสี่ ทำงานและก็เรียนไปด้วย เรียนเป็นครูศิลปะ แต่ชอบด้านดนตรีมากกว่า เรื่องปั้น เรื่องแกะสลัก ก็ได้เพื่อนช่วยทำ เวลาสอบ ด้วยความที่เรานอนดึก ยังต้องไปสอบ ต้องแบกปูนปลาสเตอร์ปั้น ตอนนั้นผมเป็นลมเลยนะ ไปเล่นไม่ได้ เจ้าของวงก็ต้องมาตาม มาพาไปหาหมอฉีดยา แล้วก็พาไปเล่น เพราะไม่มีใครแทน
ที่พำนักสมัยเรียน
ช่วงเรียนผมอยู่หอนะ แต่หอที่ว่านี่ไม่ใช่หอพักนะครับ เป็นหอไตรกลางน้ำ วัดชัยชนะสงคราม อยู่แถวๆ เวิ้งนครเกษม โรงเรียนเลิกผมก็ใส่รองเท้าแตะกางเกงขาสั้นเสื้อยับๆ ไปยืนดูกีตาร์ร้านขายเครื่องดนตรี เขาก็ออกมาไล่ผม บอก “ลื้อไม่ซื้อลื้อออกไป” ผมก็จำตั้งแต่นั้นมา พอเป็นวงดิอิมพอสซิเบิ้ล ผมกลับไปถามเขาว่า “จำผมได้มั้ย?”เขาบอก “จำได้ๆ” ขอโทษขอโพยใหญ่
จบช้ากว่าเพื่อน แถมไม่ได้ใช้วิชาที่เรียน
ผมเล่นดนตรี และเรียนไปด้วย ก็มีสอบตกต้องซ่อม เลยจบหลังเพื่อนๆ แต่สำหรับอาชีพเรามองเห็นรายได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ดนตรีเลี้ยงเราให้เรียนจบ ส่งเสียตัวเองมาตลอด ที่บ้านส่งแต่พอผมเริ่มเล่นดนตรี ผมก็บอกว่าไม่ต้องส่งแล้ว พี่ชายผมมาอยู่ด้วย ก็ใช้เงินด้วยกัน ใช้เงินที่เราหามาได้สมัยนั้นได้คืนละ 60 บาท ใช้กันสองคนพี่น้อง เรียนจนจบ ข้าวสมัยก่อน 10 บาทนี่ก็หรูแล้ว กินก๋วยเตี๋ยวชามเล็กถ้วยนึง 50 สตางค์ บาทนึง สมัยผมยังทันเห็นสตางค์รูนะ แต่ในกรุงเทพฯจะไม่เห็นหรอกเห็นตามต่างจังหวัด
ยึดดนตรีเป็นงานสายอาชีพ
พอเรียนจบ ผมอยากเล่นดนตรีเป็นอาชีพก็พูดกับหัวหน้าวงขอขึ้นเป็น 80 บาท หรือ 100 บาทได้มั้ย หัวหน้าวงก็ไม่ยอม ตอนหลังหัวหน้าวงยอมตกลง แต่ก็เบี้ยว ไม่ยอมจ่าย ให้ผมออก ก็คือไล่เราออกนั่นแหละ หลังจากนั้นวงแบล็คบอยก็แตก เพราะเจ้าของไม่ให้ผมเล่นแล้ว ค่าตัวสูง แต่ไม่กี่วันนักดนตรีมาหาผมที่บ้านตอนตีห้า บอกนายออก ก็ออกด้วย เพราะเจ้าของบาร์เขาไม่ชอบวงที่เล่นอยู่ เขาบอกให้เรียกผมกลับไป ผมก็วนกลับไปใหม่ พอกลับไปคราวนี้ เจ้าของบาร์ซื้อเครื่องให้ใหม่หมดเลย หัวหน้าวงคนเก่าโกรธมากเพราะโดนไล่ออกทั้งวง ผมก็ฟอร์มวงเก่านั่นแหละกลับมาเล่น เป็นหัวหน้าวงเอง ตั้งชื่อว่า วงฟลาวเวอร์
ขึ้นเป็นหัวหน้าวงเต็มตัว
พอเป็นวงฟลาวเวอร์ ผมได้ประชันกับวงดิอิมพอสซิเบิ้ล ตอนนั้นเล่นร้านเยื้องๆ กัน ผมเล่นอยู่ที่บาร์คาลิฟอร์เนีย ประกวดถ้วยของ พลเอกการุณเก่งระดมยิง รายการท็อปป๊อป อะไรนี่แหละ เป็นตุ๊กตาทองฝังเพชร ประชันกัน พวกผมนี่ไม่ได้นอนเลยตั้งวงคู่กันผมเล่นเพลงอะไรไป เขาเล่นดัฟกลับมาเราสู้ไม่ได้ แต่ตอนนั้นตัดสินกันด้วยเสียงปรบมือ ในที่สุดเพลงสุดท้ายของผมเป็นเพลงบีเทิลส์ ตอนจบมันมีบีสแล้วก็ยาวเลย พอจบเพลงผมสั่งให้โค้งแบบบีเทิลส์แล้วอย่าเงยนะ จนกว่าคนจะไม่ปรบมือ เป็นสิบนาที เลยชนะตรงนี้ตอนนั้นพี่ต้อย (เศรษฐา ศิระฉายา) กับวินัย (วินัย พันธุรักษ์) ร้องไห้ เราก็คิดว่าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ต้องเอาด้วยกล แต่หลังจากนั้นผมก็ขี่มอเตอร์ไซด์ไปบาร์เขา สารภาพว่าผมสู้ไม่ได้หรอก ผมใช้ลูกเล่น เราสนิทกันอยู่แล้ว เป็นเพื่อนกัน หลังจากนั้นมือเบสในวงที่บอกเป็นน้องของพิชัย โดนทหาร เลยแยกย้ายกันหมด ตอนหลัง อนุสรณ์ พัฒนกุล กับ วินัย เรียกผมไปอยู่วงดิ อิมพอสซิเบิ้ล ซึ่งตอนนั้น วงดิอิมพอสซิเบิ้ล ประกวดวงดนตรีถ้วยพระราชทาน ปีแรกเขาเคยชนะมาแล้ว ปีที่สองเขาเรียกผมเข้าไปดีดกีตาร์ เรียก ปราจีน ทรงเผ่า กับพี่ยงยุทธ มีแสงเป่าทรัมเป็ต เข้ามาเสริมวงอีก 3 คนปรากฏว่าปราจีน ทรงเผ่า ก็เป็นเพื่อนอนุบาลผมตั้งแต่อยู่ชลบุรี แล้วก็แยกย้ายกันไป ปราจีนไปสอบเพาะช่างกับผมวันแรกหลังจากนั้นตื่นไม่ทัน แล้วก็หายไป ไปอยู่ตามต่างจังหวัด ก็ไปเจอพี่ต้อย พี่ต้อยไม่รู้ว่าปราจีนเรียนที่เดียวกับผม พอเจอปุ๊ป ก็อ้าว! ก็ได้อยู่วงดิ อิมพอสซิเบิ้ล ด้วยกันประกวดปีที่สอง-สาม แล้วก็ไปฮาวาย
เปิดโลกกว้าง กับการได้ไปฮาวาย
ไปอเมริกา ฮาวาย ในฐานะผมเป็นหัวหน้าวงนะ เพราะคนที่มาติดต่อเอาสัญญามาให้ผมเซ็นผมก็ อ้าว! ทำไมให้ผมเป็นหัวหน้าล่ะ เขาบอก “ลาสเนมยูขึ้นต้นด้วยตัว A” (อมรพันธ์) ตัวอักษรตัวแรกของเขา ก็เลยต้องเอา ขึ้นเป็นหัวหน้า แล้วไปนู่นต้อง
รับผิดชอบหลายอย่าง เกิดอะไรขึ้นหัวหน้าวงรับผิดชอบหมด พี่ต้อยบอกเป็นไปเลย พอไปถึงนู่น ผมจะทำอะไร เขาจัดให้หมด ขออะไรทำให้หมด ซึ่งตอนนั้นแฟนจากเมืองไทยก็บินตามไป ไปแต่งงานที่นู่น แต่งบนภูเขา เขาก็จัดการให้อย่างดี แล้วหลังจากนั้นก็มีประกาศผลออกมาว่าวงดิอิมพอสซิเบิ้ลชนะปีที่สาม เฉือนชนะรอยัลสไปรท์ส ได้รับถ้วยพระราชทานจากในหลวงก็กลับไปรับถ้วย รับเหรียญกัน หลังจากนั้นก็มีคิวเดินสายต่างประเทศทั้งอเมริกา ยุโรป เยอะไปหมด แต่ตอนหลังก็มีการฟ้องร้องคนจัด ที่พาเราไปเล่นเมืองนอก เพราะเขากินหัวคิวเรา พูดง่ายๆ คือโกงค่าตัว
เข้าสู่วงการภาพยนตร์
เล่นหนังกันทั้งวงเลย เรื่องที่ดังเลยก็ของพี่เปี๊ยก โปสเตอร์ เรื่อง “โทน” แล้วก็ “ดวง” มีอีกหลายเรื่องตามมา โปสเตอร์หน้าโรงหนัง ไม่ว่าจะเล่นหรือไม่เล่น ต้องมีโปสเตอร์วงดิอิมพอสซิเบิ้ลติดอยู่ หนังสือพิมพ์ทั้งไทย ทั้งต่างประเทศลงข่าวบางเรื่องไม่ได้เล่น แต่มีชื่อให้คนเข้าไปดู กลายเป็นวงดังระเบิดเลย เพราะเป็นวงแรกที่ไปสร้างชื่อในต่างประเทศ แล้วหลังจากนั้นเพลงไทยก็ดัง
เหตุที่ต้องสลายวงในปี พ.ศ.2519
เราประชุมกัน จะหาคนมาแทนพี่ต้อยคงยาก มันไม่ใช่ดิอิมพอสซิเบิ้ล พี่ต้อยคงไม่รู้เรื่องหรอกพี่ต้อยไปดังทางภาพยนตร์ เราก็คิดกันเองว่าพี่ต้อยคงไม่มีเวลาให้วงแน่ๆ การจะดึงพวกเราไปด้วย มันจะไปถ่วงความเจริญเขา พอกลับมาเมืองไทยไปเล่นที่โรงแรมแมนฮัตตัน สุขุมวิท เป็นที่สุดท้ายแล้วก็สลายกันไป เต๋อ เค้าก็ไฟอร์มวงของเขา เอาวินัย พี่ยุทธ ทรัมเป็ตไปด้วย เอาปราจีน ไปช่วยเขียนเพลง พี่ต้อยเขาก็ไปทางการแสดง ไปเป็นพิธีกรมาตามนัด ส่วนผมไปอยู่ไทเป แล้วก็ไปอเมริกา
ชีวิตในต่างแดน หลังวงแตก
ผมอยู่ไทเป ไปมาระหว่างฮ่องกง-ไทเป 4 ปี เล่นกับวงดนตรีของจีน จากนั้นก็ไปอเมริกา ไปถึงก็ขายหมดเลยเครื่องดนตรีทุกอย่าง เบื่อ ตั้งใจไปเรียนภาษาอังกฤษ แต่แล้ววันหนึ่งก็เดินไปร้านเครื่องดนตรีซื้อกีตาร์ คือ มันอดไม่ได้ แล้วก็ได้ไปเล่นดนตรี
ให้สมาคมไทย มีทั้งพวกลาวอพยพมาเล่นเป็นวงมีเขมรมาล้างจานที่ร้านอาหาร ก็ทำร้านอาหารบ้างเรียนไปด้วย จนเป็นเจ้าของร้านอาหารในช่วงอายุ 30 ปีตอนนั้นผมไม่คิดกลับเมืองไทยแล้ว เพราะสนุกกับชีวิตที่นั่นพอสมควร ได้ประสบการณ์ เลยอยู่ต่อยาว
กลับไทย เพราะ ต้อย-เศรษฐา เรียกตัว
ผมเตรียมวางมัดจำ จะเปิดร้านอาหารไทยต่ออีก 1 ร้าน วางเงินไว้ 2 พันเหรียญ เรียกทนายมาคุยเสร็จสรรพเรียบร้อย แต่ยังไม่ทันได้เริ่ม พี่ต้อย- เศรษฐา ก็เรียกตัวให้กลับมาเมืองไทย ทำอัลบั้มเพลงชุด “กลับมาแล้ว” ก็เลยต้องปล่อยให้หุ้นส่วนทำร้านอาหารไป พอถึงไทย ตอนนั้น เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) เขาไปใหญ่อยู่ในแกรมมี่ ไม่ได้มาร่วมทำอัลบั้มด้วย เรากลับมาไทย 2 เดือนก็ไม่เคยติดต่อกันเลยกับเต๋อพี่ต้อยเลยบอกว่าให้โทร.หา พอโทร.ไป เต๋อก็ให้เข้าไปหาแล้วถามว่าอยากทำงานด้วยกันไหม ผมก็ตอบตกลงทันที และติดต่อกลับไปหาเพื่อนที่ร่วมหุ้นทำร้านอาหารขอเงินที่วางไป 2 พันเหรียญคืน
ตำแหน่งในค่ายแกรมมี่
ผมเป็นมิวสิกไดเรคเตอร์ฝ่ายคอนเสิร์ตรับผิดชอบดูแลวงแบ๊กอัพ ศิลปินคนไหนกำลังจะมีผลงานออกมา ผมจะคอยดูแล และตั้งชื่อวงให้ เริ่มตั้งแต่เบิร์ด-ธงไชย ลงมาเรื่อยๆ ส่วนวงสุดท้ายที่ผมทำให้แกรมมี่คือ “UHT” รวมทั้งหมด 5 ปี ที่อยู่แกรมมี่
บันทึกความทรงจำที่อยากเก็บไว้
พอออกจากแกรมมี่ ผมก็ไปทำงานให้ มีเดีย ออฟ มีเดียส โดยวงที่ผมปั้น คือวง “แบล็คเฮด” ระหว่างนั้นมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะให้บันทึก เพราะมันอยู่ในความทรงจำ เกี่ยวกับ เสก โลโซ ตอนนั้นเด็กของผมไปถ่ายวีดีโอ เขาเล่นสดในอพาร์ทเม้นท์มาให้ผมฟัง พอฟังเท่านั้นแหละ ผมชอบมาก เลยให้เรียกวงนี้เข้ามาคุย ตอนนั้นทั้ง 3 คนดูไม่ได้ ผมยาวรุงรัง ดำปี๋ ผมเลยพาไปนำเสนอ วิทยา ศุภกรโอภาส ซึ่งเป็นเจ้านายผมตอนนั้น เจ้านายผมก็ยินดีมากนั่งเปิดฟังเพลง ส่วนพวก เสก โลโซ ก็ยืนอยู่ข้างๆ เจ้านายก็ลุกเดินอ้อมไปข้างหลัง เสก โลโซ พอเพลงจบก็บอกว่า “เพลงเพราะมาก ขอบใจมาก แล้วเดินออกจากห้องไป” ไม่เซ็นสัญญา ผมก็เลยเดินตามไปถามเจ้านายผมตอบกลับมาว่า “ร้องเพลงก็ดีหรอก แต่หน้าตาสกปรกฉิบหาย” พูดอย่างนี้ ผมก็เสียใจมาก รุ่งขึ้น เสกยกหูโทรศัพท์มาหา บอก “พี่อู๊ด ครับผมขอโทษ ขอบคุณพี่มาก ตอนนี้ผมเซ็นสัญญากับพี่ ป้อม อัสนี แล้วครับ” หลังจากนั้น เสก โลโซ ก็ดังเป็นพลุแตกทุกชุด พูดแล้วขนลุก ทำงานที่นี่ทั้งหมด 3 ปีเจอวิกฤติปี 40 พอดี จากเงินเดือนที่เคยออกประจำก็เริ่มเลท ผมเลยตัดสินใจขอลาออกเอง แล้วย้ายกลับมาทำงานให้แกรมมี่ อยู่อีกแค่ 3 ปี เป็นที่สุดท้าย แล้วหันกลับมาใช้ชีวิตศิลปิน ร้องเพลงอิสระ
ชีวิตครอบครัว
ผมแต่งงานทั้งหมด 4 ครั้ง มีลูกกับภรรยาคนที่ 3 เป็นลูกสาว 1 คน และมีลูกสาวอีก 2 คนกับภรรยาคนที่ 4 ตอนนี้ลูกสาวของภรรยาคนที่ 3 เพิ่งจะเรียนจบปริญญาโท กำลังบินกลับมาจากซานฟรานฯ แต่งงานปลายปีนี้ ส่วนลูกกับภรรยาคนที่ 4ทั้ง 2 คน ลูกสาวคนโตตอนนี้เรียนจบทำงานแล้ว ก็หมดห่วง ส่วนลูกสาวคนเล็กอีกคนเพิ่งจะจบ ม.6กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย อายุผมห่างกับภรรยาคนสุดท้อง20 ปี ช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าไม่ค่อยได้อยู่ดูแลครอบครัวเท่าที่ควร เพิ่งจะมาเป็นพ่อบ้าน เป็นพ่อที่ดีของลูก เมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง
ความสุขในวัยใกล้ฝั่ง กับการร้องเพลงบนเรือสำราญ
ก่อนหน้านี้ ผมเคยไปทำธุรกิจร้านอาหารกับเพื่อนที่จังหวัดเชียงใหม่ 2 ปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เราก็เลยขอถอนตัว กลับมาอยู่กรุงเทพฯนั่งคิดว่าเราจะหางานอะไรทำ ก็นึกขึ้นได้ว่า พิชิตกุลเกียรติเดช ซึ่งเป็นเจ้าของเรือสำราญ แกรนด์ เพิร์ล เคยรู้จักกันสมัยที่ผมไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไทเป ตอนนั้นพิชิตไปเรียนที่นั่น เขาเป็นคนที่ชอบดนตรีเขาก็ให้ผมสอนกีตาร์ให้ เหตุการณ์ครั้งนั้นก็เหมือนสร้างความประทับใจให้ทั้งเขาและผม ตอนกลับมาเมืองไทย ก็ติดต่อไปมาหาสู่กันตลอด ตอนนั้นผมเลยยกหูโทร.หาพิชิต เขาก็เลยชวนมาร้องเพลงบนเรือสำราญ ถือเป็นความสุขในวัยใกล้ฝั่ง ที่ได้ทำสิ่งที่รัก..
ไม่คิดเลยว่า บทสัมภาษณ์นี้ จะกลายไปเป็นการพูดคุยกันครั้งสุดท้าย กับมือกีตาร์อมตะ “อู๊ด” สิทธิพร อมรพันธ์ คนดนตรีที่โชคดี ได้ทำในสิ่งที่รัก จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี