“ลูกและสามีสองคนนี้คือสองสิ่งในใจที่ทำให้ดี้มีความสุข คือเราก็เป็นความสุขของเขา เขาก็เป็นความสุขของเรา” นี่คือความสุขที่พรั่งพรูออกมาจากใจ กลั่นกรองเป็นประโยคสั้นๆ ของ “ดี้” ปัทมา ปานทอง นักแสดงเจ้าบทบาท ซึ่งกว่าเธอจะเดินทางมาถึงจุดที่เรียกได้ว่า อิ่มสุขอย่างเต็มเปี่ยมนี้ได้ เธอต้องเผชิญกับนานาบททดสอบ ที่ต้องแก้ไข ต่อสู้ และดิ้นรน สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ขอพาทุกคนร่วมเรียนรู้เส้นทางชีวิตของเธอไปพร้อมๆ กันค่ะ
ก้าวแรกในวงการบันเทิง
มีวันหนึ่ง พี่เอ๋(ไพโรจน์ สังวริบุตร) เอารถมาซ่อมที่อู่ ที่แม่ดี้ขายของอยู่ ดี้ก็เป็นเด็กวิ่งเล่นอยู่แถวนั้นอายุประมาณ 10 ต้นๆ เราก็วิ่งมาดูดารา ตอนนั้น ไพโรจน์ สังวริบุตร ดังมาก แล้วแม่ดี้ก็บอกพี่เอ๋ว่า “ฝากน้องเล่นหนังหน่อยสิ” แม่พูดเล่นๆ เอ๊ะ!หรือพูดจริงก็ไม่รู้นะคะแล้วภาพที่จำติดตามากเลย คือพี่เอ๋หันมาพูดกับดี้ว่า “เล่นได้เหรอเราอ่ะ” ดี้ก็ตอบไปว่า “ได้ค่ะ” แค่นั้นก็จบ ไม่ได้คิดอะไร วิ่งเล่นเป็นเด็กกะโปโลเรียนหนังสือไปตามปกติ จนวันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่ของไฟว์สตาร์มาถ่ายแถวนั้น แล้วก็มาตามหาดี้ บอกให้ไปเทสต์หน้ากล้อง คุณลุงสักกะ จารุจินดา จะทำหนังเด็ก เรียกว่าเป็นโอกาสมากกว่า กับจังหวะของเรา เขาก็ตามเราให้ไปที่ไฟว์สตาร์ จำได้ว่ามีกล้อง แล้วให้เราพูดชื่อนามสกุล นู่นนี่นั่น เสร็จอีกทีก็นัดไปบ้านคุณลุงสักกะ นัดเด็กที่ถูกเลือกทุกคน มายืนเรียงแถวกัน เหมือนคุณลุงอยากจะดูว่าเด็ก 7 คนนี้ยืนเรียงกันแล้วเป็นอย่างไร เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเลือกเราหรือเปล่า คือรู้แต่ว่าเขาให้ไปก็ไป สรุปก็คือได้เล่นค่ะ
ผลงานการแสดงครั้งแรก
“7 ซุปเปอร์เปี๊ยก” เป็นเรื่องแรกที่ดี้ได้เล่น เป็นเรื่องราวของเด็ก 7 คน เด็กผู้หญิง 2 คน เด็กผู้ชาย 5 คนไปทัศนศึกษา แล้วเด็ก 7 คน เป็นหัวโจกของโรงเรียนไปเจอโจรค้ายาเสพติด เราก็ไปช่วยตำรวจจับโจรวุ่นวาย เป็นชีวิตวัยเด็ก มีเล่นรอบกองไฟ มีบทให้พูดตามเราก็เล่นได้สบายเลย เราทำได้ ถือว่าผลตอบรับโอเคทำเงินได้ประมาณหนึ่ง เสร็จเรื่องนี้ก็กลับมาใช้ชีวิตวัยเด็กตามปกติ เพราะสมัยก่อน หนังวัยเด็กไม่ได้มีมาก และไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องเป็นดารา แต่หลังจากนั้นหลายปีดี้ก็ได้มาเป็นนางเอกของพี่เอ๋-ไพโรจน์ เรื่องแรกตอนอายุ 14 เป็นนางเอกเรื่อง “เด็ดหนวดพ่อตา” พี่เอ๋เป็นผู้กำกับ แล้วก็เป็นพระเอกด้วย และหลังจากนั้นชีวิตดี้ก็เป็นดารามาโดยตลอดค่ะ
การเป็นนางเอกหนังครั้งแรก
คือดี้ไม่ได้ตื่นเต้นนะ ประหลาดไหมคะ อาจจะเป็นเพราะเราใกล้ชิดแกซะจนเราไม่รู้สึกตื่นเต้นว่าเขาเป็นพระเอก เพราะตอนที่พี่เอ๋มาทำหนัง ตอนนั้นพี่เอ๋ก็หลุดจากจุดพีคที่สุดไปประมาณหนึ่งแล้ว แต่ยังดังอยู่ แค่แกผันตัวเองมาเป็นผู้สร้าง แล้วตอนนั้นพระเอกที่จะผันตัวเองมาเป็นผู้สร้าง ผู้กำกับ มีน้อย ถึงไม่มีเลยก็ว่าได้ ดี้ถูกจับไปลดความอ้วน ตอนนั้นตัวใหญ่มาก ช่วงแรกเลยเล่นหนังก่อน สมัยก่อนดาราหนัง ถ้ามาเล่นละครแสดงว่าตกแต่ดี้ก็เป็นนางเอกได้แป๊บเดียวเองนะ เพราะไม่ค่อยประสบความสำเร็จกับหนังมากเท่าไหร่ แต่คนรู้จักเยอะ
เส้นทางสู่งานละคร
มาเล่นละครตอนที่ป้าลี (มาลี เกตุเลขา) เป็นผู้จัดฯ ตอนนี้ป้าไม่อยู่แล้ว และครั้งแรกเลยไม่ใช่ดี้เล่นนะ เป็นอลิศ คริสตัน ซึ่งเป็นนางเอกในรุ่นเดียวกัน วันนั้นต้องเข้าไปให้ช่อง 3 ดูตัว แต่อลิศเขาไม่ผ่านการเลือกจากผู้ใหญ่ ส้มก็เลยหล่นใส่ดี้ ได้เล่นเรื่อง “หมูแดง” แทน อลิศเป็นนางเอกหมูแดง รุ่นแรก ดี้เล่นกับพี่เล็ก (นาท ภูวนัย ) ซึ่งในเรื่องพระเอกจะต้องแก่กว่านางเอก สรุปชีวิตดี้ก็เจอแต่พระเอกแก่ ไม่เคยเจอพระเอกวัยรุ่นเลยค่ะ (หัวเราะ)
ผลงานแจ้งเกิด
เหมือนตัวดี้เองเป็นคนที่ไม่พีคอะไรสักอย่าง คือไม่พุ่ง จะ 5 6 7 8 ไปเรื่อยๆ ไม่มี 8 9 10 แต่ถามว่ารู้สึกอะไรไหม ก็ยอมรับ เข้าใจ ถามว่ามีความสุขไหม เรามีความสุขค่ะ เป็นงานที่เรารัก แล้วเราก็ทำมันให้ดี แม้แต่ร้องเพลง การร้องเพลง สำหรับดี้คือการหารายได้ให้ครอบครัวมากกว่า พอดีว่าพี่ชายรู้จักกับเจ้าของร้านอาหาร ดี้ก็เลยได้ไปช่วยร้องเพลงให้ แถมด้วยรายได้มาช่วยที่บ้าน ตอนนั้นร้องในห้องอาหารหลังจากเลิกเรียน ดี้เป็นคนที่ทำทุกอย่างได้ แต่ไม่มีอะไรที่โดดเด่นสักอย่างหนึ่ง พอร้องไปสักพัก เผอิญมีคนมาเรียกไปเทสต์เสียง แล้วเขาก็ชอบ ได้ไปออกอัลบั้ม “สาว 16” จำได้ว่าจากหนังดี้ก็ไปทำเพลงเลย คืออายุเราพอดีเพลงเลย เขาแต่งเพลงนี้ไว้แล้ว พอเขามาเจอดี้ ก็เลยลงตัวถูกจังหวะพอดี ดี้มีประสบการณ์ได้ออกเทป ความดังก็ประมาณหนึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ทำให้ดี้มีอาชีพอีกอาชีพหนึ่งคือร้องเพลงกลางคืนอย่างจริงจัง ร้องทุกเพลงและร้องได้ทุกแนวค่ะ
มีบ้านจากการร้องเพลง
อาชีพหลักตอนนั้นคือร้องเพลงค่ะ ซึ่งอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่รับเอาไว้อัพค่าตัวเฉยๆ งานหลัก รายได้หลักตอนนั้นมาจากการร้องเพลง บ้านก็มาจากการร้องเพลง เงินที่ซื้อบ้าน คือเงินที่ได้จากการร้องตามภัตตาคาร คืนหนึ่งได้มาลัย 4-5 หมื่นบาท วันหนึ่งวิ่ง 7 งาน เริ่มตั้งแต่เลิกเรียน เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหน้าในรถ แล้วก็เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ 1 ทุ่ม เพราะสวนอาหารเริ่มเร็ว ก็ไต่เวลาไปเรื่อยๆ เช้าก็ตื่นมาเรียน หรือถ้ามีถ่ายหนัง ถ่ายแฟชั่น ก็ไป ถ้ามีไปต่างประเทศก็ไปต่างประเทศ ช่วงนั้นถามว่าเหนื่อยไหม เด็กน่ะค่ะ พลังเยอะ รายได้เรียกว่าผ่อนบ้านปีเดียวหมดค่ะ เพราะยุคนั้นคนร้องเพลงไม่เยอะมาก สมัยก่อนเดินสายร้องต่างประเทศ ค่อนข้างฮอต เพราะว่ารุ่นดี้ไม่มีใคร จะมีก็รุ่นป้ารวง (รวงทอง ทองลั่นทม)ไม่มีที่จะเดินสวนกับรุ่นเดียวกันเลยค่ะ (ปัจจุบันยังมีร้องที่ไหนไหม?) ร้องให้สามี ลูกๆ เจื้อยแจ้วตลอดเวลาแต่ว่าให้ไปร้องเป็นอาชีพไม่ไปแล้วค่ะ
หยุดร้องเพลงเพื่อลูก
ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองจะต้องหยุดร้องเพลง เพราะว่ากำลังจะมีลูก ดี้มองว่าการจะออกงานกลางคืน กับการมีครอบครัว คงไปด้วยกันไม่ได้ค่ะ
หนัง ละคร เพลง พิธีกร ชอบอย่างไหนมากที่สุด
ชอบเพลง กับ ละคร ดี้รู้สึกว่าหนังไม่ค่อยมีความต่อเนื่อง ดี้ต้องมานั่งเริ่มกับอารมณ์นั้นใหม่ตลอดเวลา แต่ละครเราสามารถไล่อารมณ์ของเราไปได้ตั้งแต่เดินเข้ามา ฉันรับรู้ว่า ฉันเสียใจ เสียใจมากนะฉันโกรธ โกรธมาก จนมากที่สุดก็เลยชอบละครมากกว่าหนัง ส่วนเพลงก็ชอบที่จะร้อง เมื่อไหร่ที่เห็นคาราโอเกะ จะไม่วางไมค์ แต่ว่าให้ไปร้องโชว์ตอนนี้ ไม่เอาแล้วนะคะ รู้สึกว่าเสียงตัวเองเสีย ร้องแล้วได้ไม่ดีเท่าเดิม เหมือนเส้นเสียงไม่พร้อมใช้งาน ไม่ได้ใช้จนไม่ชิน ก็เลยร้องแล้วไม่ประทับใจเหมือนคนเคยทำได้ดี แล้วพอทำได้ไม่ดี ก็ไม่อยากจะทำ เสียความมั่นใจ แต่คนฟังเขาก็ยังบอกว่า เฮ้ย!พี่ยังเพราะอยู่นะ ดี้ก็จะบออกว่าอย่าเว่อร์ พี่เคยร้องเพราะกว่านี้ รู้สึกรับตัวเองไม่ได้ก็สู้ไม่ร้องดีกว่าค่ะ
เริ่มต้นครอบครัวใหม่อีกครั้ง
จริงๆ ตอนนั้นน้องพลอย (โสวิชญา ปานทอง) เด็กมากเลยนะ เขาเพิ่งเข้าอนุบาล 2 อนุบาล 3 เป็นช่วงที่ดี้เริ่มใช้ชีวิตคู่กับพี่เอ๋ (กษมา นิสัยพันธุ์) ดี้ไม่รู้ว่าดี้จะต้องไปอธิบายกับลูกยังไง ดี้ไม่รู้ว่าดี้ควรจะบอกลูกว่าอะไร ดี้ไม่รู้จริงๆ ดี้อยากให้ลูกโตมาแบบสมบูรณ์ มีความรู้สึกดีๆ ดี้เลยตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ เพราะอยากให้คนที่รู้จริงๆ มาแนะนำว่าเราควรจะทำอย่างไร จริงๆ ดี้เป็นคนที่ไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้กับใครฟัง แต่เลือกที่จะเล่าให้จิตแพทย์ฟัง เพราะว่าเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ใครๆ บอก จะดีกับเราไหม หรือจะดีต่อลูกเราไหม คือดี้กลัว รู้สึกว่าฉันไม่ใช่หนูทดลอง ลูกดี้ไม่ใช่หนูทดลอง ดี้ก็เลยไปหาจิตแพทย์ แล้วก็คุยกับหมอว่า ดี้มีครอบครัวใหม่ ดี้ควรจะพูดกับลูกยังไง และควรจะปฏิบัติตัวยังไง เทคแคร์ลูกยังไง แล้วพี่เอ๋จะต้องทำอะไรยังไง แล้วดี้ก็เอาสิ่งที่หมอสอน มาใช้ในทุกๆ เรื่อง แล้วมันก็มาถึงวันนี้ค่ะ
วางแผนที่จะมีลูกอีกคน
ตอนแรกพี่เอ๋เขาอยากจะมีลูกอีกคนนะคะ แต่พอเลี้ยงน้องพลอยไปได้สักพักหนึ่ง พี่เอ๋ก็รู้สึกว่า จริงๆ เรามีแค่คนเดียวก็พอ แล้วเลี้ยงเขาให้ดีที่สุด ให้ในสิ่งที่ลูกอยากได้มากที่สุด เพราะตอนนั้นงานเราไม่ได้เยอะมากด้วยกันทั้งคู่ ถ้าเกิดว่าต้องมีอีก ดี้จะต้องทำงานหนักมากขึ้นแล้วเราก็จะไม่มีเวลาดูแลลูกเลย เราคิดแบบนี้ แล้วเราก็มีความรู้สึกว่าเราซับพอร์ตลูกได้ทุกเรื่อง แค่ขอให้ลูกบอกเถอะว่าอยากได้อะไร ดี้ก็จะหามาให้ลูกเลือก บวกกับความโชคดีที่น้องพลอยก็เป็นเด็กที่ดี ดี้ไม่เคยบังคับลูกเรียน แต่จะให้เวลาลูกว่าควรจะอ่านหนังสือตอนเช้านะเล่นเกมตอนไหน เที่ยวตอนไหน ชัดเจนไปเลย นี่คือสิ่งที่ดี้ให้ลูกทำตั้งแต่ประถมศึกษา
วางแผนสำหรับลูกสาวคนนี้ไว้อย่างไร
ตอนนี้น้องพลอยเรียนปี 5 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ตอนแรกดี้ส่งลูกเรียนทุกอย่างเลย เขาเป็นเด็กที่อยากทดลองตัวเองว่าชอบอะไรด้วย ดี้รู้ว่าตัวเองไม่ได้เรียนอะไรสักอย่าง ฉะนั้นถ้าลูกชอบอะไร ก็เดินไปในสิ่งที่ชอบให้ไกลที่สุด ถ้าลูกชอบร้องเพลงก็สนับสนุนเต็มที่ไม่ได้แอนตี้ ไม่ใช่ว่าลูกจะต้องไปเป็นหมอ ชอบอะไรลูกเรียนหมด เรียนเทนนิส บัลเลต์ ร้องเพลง เต้น กีตาร์ ขอให้ลูกบอกว่าอยากเรียนอะไร เขาก็ลองไปทุกอย่างแล้วสรุปว่าที่สุดของเขาคือ เขารักที่จะเรียนหนังสือมากกว่า เมื่อเขาอยู่กับหนังสือแล้วเขามีความสุข ก็ทำไปเลย คือดี้กะว่าถ้าเขาชอบร้องเพลงจริงๆ ก็จะส่งเรียนต่างประเทศ วิชาการเรียนน้อยๆ ก็ได้ไม่เป็นไร เรียนเขียนบทไหม ก็จะส่งเต็มที่ ให้ไปให้ถึงที่สุดของสิ่งนั้นๆ อย่าเป็นอย่างฉันที่ไม่สุดสักอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่บอกว่าไม่ดี แต่แค่ให้เต็มที่ ซึ่งรุ่นดี้กับรุ่นลูกมันต่างกัน
การปรับตัวระหว่างน้องพลอยกับพี่เอ๋
ไม่มีค่ะ คือเขาคลิกกันได้ง่าย เพราะดี้ว่ามาจากความรักมากกว่า น้องพลอยเป็นคนที่น่ารัก แล้วพี่เอ๋ก็เป็นคนรักเด็ก ประเด็นคือพี่เอ๋รักเราด้วย ตอนที่ไปปรึกษาจิตแพทย์ หมอบอกอยากเจอพี่เอ๋ ดี้เครียดนะ เพราะดี้คิดว่าจะไปบอกเขายังไง เพราะตอนแรกที่ไปหาหมอ ดี้ไม่ได้บอกเขา หลังจากนั้นก็กลับมาบอกพี่เอ๋ไปตรงๆ เรื่องไปพบแพทย์ และตอนนั้นพี่เอ๋ก็รู้ปัญหาว่าดี้เป็นยังไง สรุปก็พาพี่เอ๋และลูกไปพบหมอ แล้วหมอก็จะแยกคุย จนสรุปสุดท้ายว่าทุกคนไม่มีปัญหาอะไร คนที่มีปัญหาเองคือดี้ อาจจะเพราะว่าเราอยากให้ทุกอย่างดี แต่เรายังมีความไม่เชื่อใจไม่ไว้ใจ อะไรหลายๆ อย่าง หลังจากนั้นพอได้ฟังได้คุยในสิ่งที่หมอบอก เราก็ได้เอามาใช้กับชีวิต แล้วคือใช่ค่ะ ดี้ยังมีความรู้สึกว่า ณ วันนี้ดี้โชคดี ที่วันนั้นดี้เดินไปเจอหมอ แล้วคุยกับหมอ วันนี้ถึงเป็นแบบนี้
ความกังวลใจระหว่างพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง
ดี้มีจุดสูงสุดคือลูกค่ะ คือถ้าลูกรับได้ เขารักลูกเรานั่นคือไปต่อ แต่ถ้าไม่ใช่ ลูกรับไม่ได้ เขาไม่รักลูกเราก็คงจบ ดี้ประทับใจพี่เอ๋ที่สุดอยู่วันหนึ่ง คือตอนที่เราซื้อบ้าน เขาเปลี่ยนสุขภัณฑ์บ้าน ห้องนอน เขาเป็นคนเลือกสุขภัณฑ์เอง แล้วดี้มีความรู้สึกว่าจริงๆ เขาไม่ต้องทำก็ได้ และอีกเหตุการณ์หนึ่ง คือเขาจะรู้หมดว่าอะไรที่ดี้รัก ตอนที่ดี้ไม่สบาย ลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่เห็นคือลูก เขาพาลูกมานอนที่โรงพยาบาลรอดี้ตื่น เขาเป็นคนที่ละเอียดอ่อน ใส่ใจทุกอย่างรอบตัว ณ ตอนนี้ก็อยู่ด้วยกันมา 17 ปีได้แล้วค่ะ ไม่ใช่คู่ที่หวานอะไร แต่ก็รู้ว่า เขาต้องมีเรา แล้วเราก็ต้องมีเขา แล้วสิ่งที่เรารักร่วมกันคือลูก พี่เอ๋รักน้องพลอยมากๆ (ตาแดงก่ำ น้ำตาเริ่มคลอ) แล้วน้องพลอยก็รักพี่เอ๋มากเหมือนกัน (น้ำตาค่อยๆ ไหลด้วยความซาบซึ้งใจ) เป็นความประทับใจที่พูดแล้วรู้สึกดีมากๆ ค่ะ
พี่เอ๋ เป็นคนที่เข้ามาเปลี่ยนตัวดี้อย่างเยอะเลย ความเอาแต่ใจ ความขี้โมโห แล้วถ้าโกรธปุ๊บดี้จะไม่พูดเลย3 วัน 7 วัน เขาแก้ดี้ด้วยการที่พยายามพูดกับดี้ ดี้ก็ไม่พูดพอหายแล้วดี้ไปพูดกับเขา กลายเป็นว่าเขาไม่พูดกับดี้ 3 วัน 7 วัน เหมือนกัน ซึ่งความอดทนของเราน้อยกว่าของเขาเยอะ เขาเลยบอกว่าแล้วรู้สึกหรือยังเวลาโกรธแล้วไม่พูดกันแบบที่คุณทำเป็นยังไง ซึ่งบางอย่างก็ต้องบอกว่าเราไม่รู้ตัว หลังจากนั้นดี้ก็เปลี่ยนตัวเองมาได้ พี่เอ๋เขามีความเป็นผู้ใหญ่แล้วก็มีความเป็นเด็กในตัวเองเท่าที่ดี้เห็นและสัมผัสได้
ความภูมิใจในตัวน้องพลอย
เขาโตขึ้นมากนะ ยิ่งตอนนี้เขาอยู่ในสายอาชีพ ยิ่งเข้าใจมากขึ้น เหมือนเราเป็นคนไข้ของเขาคนหนึ่งเขาจะคอยถามมามี้กินข้าวหรือยัง เจ็บตรงไหนไหม อะไรบวมหรือเปล่า (ตอนเด็กมีแววเป็นคุณหมอไหม?) ไม่มีเลยค่ะ ออกแนวบันเทิงล้วนๆ เริ่มจะมาชัดเจนตอนเรียนเตรียมอุดมศึกษา ที่เขาจะจริงจังเรื่องวิชาการ หลังจากที่เขาไปลองทำทุกอย่างมาหมดแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เขา
แอบห่วงอะไรลูกบ้าง
ไม่อยากให้เขาเหนื่อยมากค่ะ เราอาจจะให้ข้อมูลเขาไปเยอะว่า เวลาจะไปถึงตรงไหนก็ไปให้ถึงที่สุดของตรงนั้น ก็เลยกลัวว่าเขาจะเหนื่อยมาก แล้วดี้มีความรู้สึกว่าทุกวันนี้ลูกก็เหนื่อยกับวิชาการมากๆ เขาพยายามมาก วางแผนชีวิตตัวเองไปไกลมาก พี่เอ๋เคยบอกว่าหยุดอ่านหนังสือบ้างก็ได้นะลูก (หัวเราะ) เป็นอย่างงี้จริงๆ เอาลูกออกจากหนังสือโดยการพาไปกินข้าว ไม่ให้ลูกอ่านหนังสือ ไม่ต้องเครียดก็ได้ลูก ส่วนเรื่องความรักลูกค่อนข้างจะโตกว่าอายุเขามากนะ เท่าที่เราคุยกันบางอย่างก็ไม่อยากจะพูดว่าใช่ทั้งหมด เพราะว่าเขายังไม่เคยเจอ เขาก็อาจจะยังไม่รู้ว่า ความเจ็บจากความรักเป็นยังไง แต่เท่าที่ฟังเขา เราก็รับรู้ได้ว่า ถ้าวันหนึ่งความรักเปลี่ยนเพราะมันก็มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนได้ ทุกวันนี้มีอะไรพ่อแม่จะรับรู้ และเขาจะเล่าทุกเรื่อง ดี้จะรู้ทุกเรื่องของลูกเหมือนที่ลูกก็จะรู้ทุกเรื่องของดี้เหมือนกัน รู้ทุกเรื่องของครอบครัว แม้กระทั่งเงินในแบงก์ ดี้ไม่เคยปิดลูก เหมือนเป็นสามคนในครอบครัวที่ต้องรับรู้ทุกเรื่องในครอบครัวด้วยกัน ทุกข์ สุข ด้วยกัน
ความสุขในวันนี้
ลูกและสามีสองคนนี้คือสองสิ่งในใจที่ทำให้ดี้มีความสุข คือเราก็เป็นความสุขของเขา เขาก็เป็นความสุขของเรา และสิ่งหนึ่งที่ดีมากๆ เลยสำหรับบ้านเราก็คือ บ้านเราจะไม่เคยโกหก บ้านเราจะพูดแต่ความจริงไม่ว่าเรื่องไหน เพราะถ้าพูดความจริงเราจะไม่มีความผิด ถึงแม้ว่าเราจะผิด เราก็จะได้รับการอภัย
สิ่งที่อยากจะทำที่สุด
ในวงการไม่มีแล้ว อยากเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดค่ะดี้รู้สึกว่าต้องช่วยผ่อนภาระให้ลูกเพราะลูกภาระเยอะมากเขาต้องเรียนเยอะมาก เราต้องดูแลเขา ไปรับไปส่งเขาขับรถไม่ไหว อ่านหนังสือก็ดึก เช้าก็ไปเรียนอีกดี้ก็จะขับไปส่ง พี่เอ๋ก็จะมีหน้าที่รับลูก เพราะกลับจากคณะดึก ถ้าอยู่เวรก็เที่ยงคืนตีหนึ่ง
เคล็ดลับความสุขของครอบครัว
ทุกอย่างต้องใช้ใจแล้วก็ความรัก ความเสียสละให้มากๆ ค่ะ ความสำเร็จของลูกคือผลกำไร แต่สิ่งที่ดี้อยากได้จากลูกคือ ความอ่อนโยน และความรัก ไม่ใช่ว่า ใช่ซิลูกเธอเป็นหมอ เธอก็พูดได้ ไม่ใช่นะ เพราะลูกดี้เป็นหมอ ถ้าลูกดี้ไม่เป็นหมอ ดี้ก็มีความสุข ถ้าลูกมีความอ่อนโยน ลูกมีจิตใจที่ดี มีความรัก แต่ว่าอาชีพลูกที่ได้มาคือผลกำไรและผลบุญด้วยที่ดี้ทำมา ดี้เชื่ออย่างงั้นค่ะ มันทำให้เขามองแต่สิ่งดีๆ ทำแต่สิ่งดีๆ บวกกับพี่เอ๋ก็เป็นคนที่ชอบช่วยคน ยิ่งทำให้ลูกรู้สึกว่าถ้าเขาเรียนมาทางนี้เขาจะได้ช่วยคนเยอะ
สำหรับใครที่อยากเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จก็คือว่าให้คุณน่ะให้เวลากับลูก ให้ใจลูก อย่าให้แต่เงินอย่างเดียว เพราะเงินให้ความรู้สึกไม่ได้ แล้วพอถึงเวลานั้น คุณจะรู้สึกว่า คุณให้อะไรไปคุณจะได้สิ่งนั้นตอบแทน คุณให้เงินลูกไปวันหนึ่งลูกจะให้เงินคุณ เขาให้กลับไม่เป็น เขาได้อะไรเขาก็จะให้อย่างงั้น เหมือนเราเลี้ยงหมา เราให้ความรักกับหมา ให้อาหารมัน มันก็จะให้ความรักกับเรา
บั้นปลายชีวิต ที่อยากให้เป็นไป
ดี้ได้แต่หวังว่าสองคนตายายขับรถไปส่งลูกใช้ทุน ถ้าลูกเปิดคลินิกดี้ก็มีหน้าที่เปิดประตูคลินิกเลี้ยงหลานนู่นนี่นั่น นั่นคือความฝันอันสูงสุด ดี้ไม่ได้เออ..ฉันจะต้องรวยเท่านั้นเท่านี้หรือลูกจะต้องรวย ต้องทำอย่างงี้สิถึงจะรวย ดี้คิดแต่ว่าทำอะไรแล้วถึงจะมีความสุขคือถามว่าเงินเป็นปัจจัยในการดำเนินชีวิตไหม เป็น แต่ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่า การที่คุณมีเงินคุณจะมีความสุขส่วนงานในวงการบันเทิง คงเล่นไปเรื่อยๆ ค่ะ ควบคู่กับความฝันอันสูงสุดของดี้ที่บอกไปแล้วนั่นแหละค่ะ
เรียกว่าเป็นอีกครอบครัวคนบันเทิงที่น่าเอาเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวางตัว หรือการดำเนินชีวิต แล้วอย่าลืมกระซิบบอกกันนะคะว่าจะเปิดคลินิกย่านไหน จะขอตามไปเยี่ยมเยือนตามประสาคนคุ้นเคยค่ะ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี