วันอาทิตย์ ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / บันเทิง
star retro : ที่สุดนักบู๊สู่ความสมถะ เป้า ปรปักษ์

star retro : ที่สุดนักบู๊สู่ความสมถะ เป้า ปรปักษ์

วันอาทิตย์ ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
Tag :
  •  

จากสตันท์แมนสู่ผู้กำกับคิวบู๊ที่โด่งดัง“เป้า ปรปักษ์” หรือ “เป้า รุ่งโรจน์” แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันทำให้ต้องกลายเป็นคนพเนจรกินนอนในรถ สุดยอดในตำนานผู้นี้มีวิธีต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้อย่างไร สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้มีคำตอบค่ะ

เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป


ต้องยอมรับ ด้วยสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนเป็นยุคสมัยใหม่ สื่อที่ออกไปส่วนใหญ่จะเป็นสื่อของคนรุ่นใหม่ ผมในภาพลักษณ์ของนักบู๊แอ๊กชั่น คนก็จะมองว่าเป็นยุคเก่า คือคิดเองนะครับ แต่การบู๊แบบเก่าหรือใหม่ ถ้าเรามองหนังฝรั่งที่เขาเป็นครูเป็นผู้นำของโลก เขาก็แก่ๆ เก่าๆ แต่สังคมไทยจะเน้นอินเทรนด์เด็กวัยรุ่น เราหน้าตาออกจริงจังเลยดูจะไม่เหมาะ แต่ก็พอจะมีผู้สร้างเก่าๆ ที่นึกถึงบ้างอย่างเช่น คุณเปี๊ยก-พิศาล ซึ่งทำละคร ก็เอาผมไปเล่น เพราะเสียดายในความสามารถ ให้มาเล่นเป็นตัวบู๊ๆ อย่างที่ถ่ายทำจบไปแล้ว คือเรื่อง “หมอเทวดา” ทางช่อง 3 แล้วตอนนี้ก็มาดูแลเรื่องแอ๊กชั่นในเรื่อง “เขี้ยวราชสีห์” ของคุณกอบสุข จารุจินดา ผู้สร้างเก่าๆ ที่เราเคยรับใช้กันมา เราถึงจะมีโอกาสได้ร่วมงานด้วย นอกนั้นแทบไม่มีโอกาสเลย (รู้สึกเสียใจหรือท้อบ้างไหม ?) ช่วงหนึ่งเรายอมรับว่าชีวิตที่เราเคยมีงานทำมีสังคม มาสู่ช่วงที่เราต่ำสุด คือไม่มีงานทำแล้ว ก็ใช้คำว่าบ้านก็ไม่มีอยู่ข้าวบางมื้อก็ไม่มีกิน เคยคิดว่าทำไมชีวิตเราถึงเป็นแบบนี้ ทั้งที่ในวงการบันเทิงคำว่า “สุดยอด”สื่อก็เป็นผู้ตั้งให้เรา สื่อบอกว่าเป็น สุดยอดของผู้กำกับที่กำกับภาพยนตร์ได้เร็วที่สุด เป็นผู้สร้างที่ทำหนังโปรดักชั่นต่ำที่สุด เยอะที่สุด แล้วก็ยังเป็นสุดยอดของคำว่าสตันท์แมนอีก คุณดู๋-สัญญากับ คุณดำรงค์ พุฒตาล รายการเจาะใจเป็นคนตั้งให้ ชั่วโมงนี้คำว่า “สุดยอด” มันหายไปไหนหมด ทำไมไม่มีงานเลย เขาไม่รู้จักเราหรือ ทำไมเขาไม่เรียกเรา ถึงขนาดว่าต้องไปนั่งอยู่สนามหลวง ที่คนหลายคนที่ไม่มีบ้านเลือกที่จะไปอยู่ เราก็ไปนั่งปลงอนิจจัง (หัวเราะ) เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลให้เราไปนั่งตรงจุดนั้น เพราะว่าที่นั่นมีพระแก้วมรกต พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เจ้าพ่อหลักเมือง และพระแม่ธรณีที่เป็นเสาหลักของความศรัทธา จนเราได้พบธรรมตรงนั้น จากที่ว่าต่ำสุด เสียใจ ไม่มีเลย เพราะเราเห็นอนิจจังว่ามันไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าสอนว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนสมัยก่อน เราก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร รู้อย่างเดียวเรามีเพื่อนเรามีพวกไม่มีตังค์ เรายืมใครก็ได้ ไม่มีงานทำ เดี๋ยวเราทำตรงไหนก็ได้ พอมาถึงคราวเราต่ำสุด จะไปพึ่งใครก็ลำบาก ก็เลยเข้าใจคำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หูตาสว่าง

อยู่กับปัจจุบันด้วยความสุข

มีความสุขมากกับการที่เราไม่มีงาน เพราะว่าเราไม่ต้องรับผิดชอบ ความรับผิดชอบมันเป็นตัวที่ทำให้มนุษย์ทนทุกข์ทรมานโดยไม่รู้สึกตัว เป็นหัวหน้าครอบครัวก็ต้องเป็นผู้นำ มนุษย์มีภาระอันหนักหน่วง พอเราไม่มี เรารู้สึกว่าเราพบความสุขที่แท้จริง เมื่อปี’50 ครับที่ผมรู้สึกแบบนี้ เพราะว่าตั้งแต่เล็กจนโตในวัย 60 กว่าผมไม่เคยรู้สึกเลย เรารู้แต่ว่าเราแข็งแรงทำอะไรเราก็เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำตลอด เป็นนักมวย เป็นดารานักแสดง เราก็ประสบความสำเร็จตอนแรกนึกว่าเราถูกสาปมั้ง เขามีครอบครัวกัน ทำไมเราไม่มี เขามีหน้าที่ มีเงินทองทรัพย์สินกัน ทำไมเราไม่มี แต่พอไปต่ำสุดได้เห็นธรรมก็สาธุเลย ที่เราไม่ไปเจอสิ่งเหล่านั้นมาครอบงำ ถ้าเรายังมีงานมีเงิน เราก็จะหลงระเริงอยู่ ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร เหมือนเป็นบุญ เราสร้างบุญมาเยอะเลยได้พบธรรม แต่ถ้าเราไม่ได้สร้างบุญมา เราอาจจะติดคุก อาจจะทำอะไรที่ผิดๆ ความจนมันทำให้เราทำได้ทุกอย่างครับ

กว่าจะมาเป็น เป้า ปรปักษ์ ที่ทุกคนรู้จัก

ผมเกิดมาในครอบครัวที่จน พ่อเป็นนายตำรวจก็จริง แต่ว่าพ่อมีแฟนหลายคน ผมเป็นคนกรุงเทพฯครับ เกิดที่ตลาดพลู แม่ก็ไม่ค่อยได้เลี้ยงเราเท่าไหร่ ให้น้าให้ยายเลี้ยงบ้าง ด้วยความจนไปโรงเรียนบางทีก็ไม่มีสตางค์ ต้องไปรับจ้างปลอกมะพร้าว เช้านั่งรถไปเรียน เย็นเดินกลับหรือถ้าอยากกินขนมก็ต้องเก็บ ในวัยเด็กอายุ 8-9 ขวบ ก็เริ่มตัวใหญ่ ผมไปรับจ้างปีนต้นไม้ เชิดสิงโต มังกรทอง แล้วยังเป็นนักมวยอีกไปฝึกมวยปีหนึ่งเขาถึงจะให้ต่อยที แต่ต่อยแล้วต้องชนะเขาเท่านั้น เราก็อดทนซ้อม พอไปต่อยก็ได้เงินมาแค่ 25 บาท แล้วเราเจ็บ พอดีว่าน้าชายผมเขาเล่นหนังอยู่แล้ว เป็นฝั่งผู้ร้าย เขาก็สงสารที่เราเจ็บตัว เลยชวนให้ไปเล่นหนังด้วย ซึ่งได้วันละ 30 บาท เริ่มเล่นหนังตอนอายุ 10 ขวบ (บทบาทที่เริ่มต้น ?) โป้งแอ๊ะ! คือออกไปก็โดนยิงตาย เล่นบทเป็นผู้ใหญ่ได้เพราะว่าตัวสูงใหญ่ เราก็รู้สึกว่าชอบเล่นหนัง ชีวิตที่เป็นนักมวยเริ่มเบาลง แต่ว่ายังมีเชิดสิงโต เชิดมังกรอยู่ และยังเป็นเด็กโรงหนังด้วย เก็บตั๋วหน้าประตู ด้วยพื้นฐานที่เรามีทางด้านมวยไทย ก็เริ่มออกลวดลายให้เขาเห็นว่าเราเล่นได้ และเราก็มีความขยัน ไปกองถ่ายเขายกน้ำยกของแบกไฟเราก็ช่วย เลยเริ่มไต่เต้าจากเล่นหนังโป้งแอ๊ะ ก็เริ่มมีคิวบู๊ และตอนนั้นหนังฮ่องกงกำลังดังมาก หวังอยู่ แล้วก็ บรูซลี ซึ่งในโทรศัพท์ผมยังเก็บรูปที่ถ่ายตอนทำงานกับบรูซลีไว้เลย แต่มันอาจจะไม่ชัดนะ เราได้ร่วมงานกับบรูซลีในเรื่อง “ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง” ที่เขามาถ่ายทำที่บ้านเรา หนังจีนกำลังดังมาก และหนังไทยก็ดัง ช่วงนั้นคนไทยดูหนังไทยไม่ได้บ้าหนังฝรั่ง หลังจากที่เราเล่นคิวบู๊ได้ไม่กี่เรื่อง ก็มีความรู้สึกว่าอยากทำให้หนังไทยสู้ฮ่องกงบ้าง ผมเลยทุ่มเทเล่นจริงกระแทกจริงของหล่นใส่บ้าง จนคนดูเขาเห็นและจำได้ แต่เขาก็ไม่ได้เรียกชื่อนะ เขาบอกว่า “ไอ้ดำนี่มันส์นะ ตายยากด้วย” เล่นมา 25 ปี เขาถึงจะเรียกชื่อ เป้า ปรปักษ์ เพราะสมัยก่อนผมเป็นแค่ตัวประกอบผู้ร้าย นักข่าวไม่ได้มาสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ก็ไม่ลง

เจ็บแทนพระเอก เพื่อก้าวสู่การเป็นสตันท์แมน

ผมคิดว่าถ้ามีโอกาสได้ทำคิวบู๊จะทำออกมาให้มันส์ที่สุดสู้ฮ่องกงได้ แต่ว่าก่อนที่จะได้มาทำคิวบู๊ ผมเป็นสตันท์แมนก่อน มีวันหนึ่งผู้กำกับถามว่ามีใครขับเรือเป็นบ้าง เราก็มองซ้ายมองขวาไม่มีใครยกมือ ผมก็ยกเลย แล้วบอกว่าผมครับ แต่จริงๆ แล้วเราขับไม่เป็นเลย เพียงแค่ใจเราถึง ใครขี่มอเตอร์ไซค์เป็นบ้าง ก็ผมครับอีกแล้ว ขับชนกระจกข้ามรถบรรทุกรถไฟแทน พี่แอ๊ด, ทูน,สรพงศ์, กรุง ชั่วโมงนั้นคือเป็นสตันท์กองถ่าย เพราะสมัยก่อนเขาจะไม่หาสตันท์ไป ถึงเวลามีฉากเสี่ยงๆ ก็หาคนในกองนั่นแหละเล่นแทน มันเป็นเสน่ห์แบบง่ายๆ ของหนังไทย แต่เรารักมันทั้งที่เรื่องของการเซฟตี้ก็ไม่เหมือนสมัยนี้ด้วย เชื่อไหมว่าบางทีตกลงมา 6-7 เมตร ไม่มีอะไรรองรับเลย นอนโรงพยาบาลเป็นเดือนๆ อยู่บ้านนอนหยอดน้ำข้าวต้ม ไม่มีใครดูแล และก็ไม่เข็ดเพราะว่าเรารักสู่ตำแหน่งผู้กำกับคิวบู๊

ผมเริ่มมากำกับคิวบู๊ จำไม่ได้ว่าปีไหน คือทำมาเยอะมาก อย่าง “เสือภูเขา”, “เพชรตัดหยก”ของ คุณคมน์ อรรฆเดช ส่วนของ คุณฉลอง ภักดีวิจิตร ก็ “ผ่าปืนสงครามเพลง” เรากำกับคิวบู๊ร่วมกับผู้กำกับการแสดง จนกระทั่งปี’34 ได้ตุ๊กตาทอง รางวัลพิเศษผู้กำกับคิวบู๊ยอดเยี่ยมแห่งปี ซึ่งผมได้รับจากเรื่อง “ล้างเมืองคนดุ” ในปี พ.ศ.2534

ประหลาดใจไหมกับรางวัลนี้

ถือเป็นรางวัลแรกในชีวิต ตอนแรกรู้สึกงงมากกว่าครับ ว่าเราได้ได้ยังไง เพราะว่ามีหนังที่ดีๆ และฉากเขาก็ใหญ่อลังการกว่าเรา ทำไมเขาไม่ได้ จนมีข้อครหาว่าเราเส้นหรือเปล่าซื้อมาหรือเปล่า จะกินยังไม่มีจะเอาตังค์ที่ไหนไปซื้อครับ ผมตกใจว่าเขาประกาศผิดหรือเปล่า และไม่รู้ล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ เราก็ไปแบบปอนๆ กางเกงยีนส์ คนอื่นเขาใส่สูทกัน โชคดีว่าพระเอกของผมใส่เสื้อสูทไป เขาก็ให้ผมยืมใส่ขึ้นไปทั้งที่เซอร์ๆ เพราะว่าตอนนั้นผมยาวด้วย ได้รางวัลตัวแรกมีความรู้สึกว่ายังงงๆ เฉยๆ จนกระทั่งมาได้ปีที่ 2 ในปี 2537 จากเรื่อง “ล้างเมืองคนดุภาค 2” เลยมีความรู้สึกว่ารางวัลนี้ไม่ธรรมดาแล้ว การที่เราจะได้เราต้องมีบุญมีวาสนา เพราะว่าในหลวงพระราชทาน พอยิ่งได้ตัวที่ 3ในปี 2538 เรื่อง “คนมหากาฬ” ยิ่งปีติสุข ชีวิตนี้เราไม่รวย ไม่เป็นไร ให้เราลำบากจนง่อยเปลี้ยเสียขาอะไรก็ตามเหมือนที่เขาดูถูกกัน ถึงเราตายไปแล้วอีกสองพันปีถ้าประวัติศาสตร์ยังจารึกอยู่ เปิดตำนานชื่อเราก็ยังมีในแผ่นดินนี้ ก็มีความสุขแล้ว เพราะนี่คือสิ่งที่เราได้ทำดีไว้บนแผ่นดินไทย คือความบันเทิงที่เราทำแล้วชนะใจกรรมการ

เป็นผู้กำกับคิวบู๊ที่หาตัวจับยาก

ใช่ครับ เพราะไม่ว่าจะเป็น พิศาล, ฉลอง, คมน์ ที่เรียกว่าสุดยอดผู้กำกับ เป้า ปรปักษ์ ต้องช่วยดูแลคิวบู๊ให้ คุณบี๋ ธีรพงศ์ นี่ฝึกมาเองกับมือเลย พระเอกของอาฉลอง, หม่อมหลวงสุรีย์วัล สุริยง มีอีกหลายคน แต่ผมไม่ขอเอ่ย เพราะตอนนี้เขาเจอเรา เขาก็ไม่รู้จักเราแล้ว

ช่วงชีวิตที่หักเห

ตอนยุคทองของหนังไทย คิวผมยังกะเพชร วันละห้าพันบาท นอนโรงแรมอย่างดีคนเดียว ก็มีหนังอยู่เรื่องหนึ่งของ พี่พยุง พยกุล บอกเราว่าถ่ายหนังที่สระบุรี โทรศัพท์ก็ไม่มี มีแค่เพจเจอร์ แล้วตอนนั้นผมถ่ายหนังของคุณชรินทร์อยู่ที่เชียงใหม่ เราก็ขอเขาว่าจะมาถ่ายให้พี่พยุง เขาไม่อยากให้ไป แต่เราก็ขอมา นั่งเครื่องบินมาเลย ห้าพันทิ้งไปเลย เพราะไปถึงกองไม่มีถ่าย ไม่มีแจ้งด้วยแต่เราก็ไม่เป็นไร เพราะเรารักพี่พยุงมาก หลังจากนั้นมาก็มีอีก ตอนนั้นเป็นหนังของพี่ดามพ์ ดัสกร ถ่ายที่พัทยา ผมก็ขอเขามาถ่ายให้พี่พยุง ผมขับมอเตอร์ไซค์ ขี่มาแล้วหลับในกระเด็นไปข้างทาง ตื่นมาอีกทีมองหารถ น้ำมันก็หมด เลยต้องไปหาซื้อน้ำมันมาเติม สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือไปถึงกองถ่ายสิบโมงเช้า คำแรกที่พี่พยุงพูด “เป้าทำไมเหี้ยอย่างนี้ ทำไมมาสายป่านนี้ทุกคนรอเป้าอยู่”คิวสรพงศ์อย่างกับเพชร เราก็อุตส่าห์หนีเขามา แล้วฝ่าอุบัติเหตุรอดตายมา เพื่อทำงานให้พี่เขาได้เงินวันละสองร้อย เราก็น้อยใจ แต่ไม่เป็นไร คุณรู้ไหมว่าผมเลือกถูก ผมไม่เลือกเงิน ผมเลือกอนาคต ถ้าผมเลือกเงิน ผมเลือกห้าพันอยู่กับพี่ชรินทร์อยู่กับพี่ดามพ์ ทำไมผมเลือกพี่พยุงวันละสองร้อย เพราะพี่พยุงให้โอกาสผมได้กำกับหนังอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “เจาะนรก”, “ดิบกระแทกดิบ”, “ขยี้แล้วเชือด” ร่วมงานกับพี่พยุงมา 40 ปี ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ ถ้าเขาทำหนังก็จะนึกถึงเรา เพราะรู้ใจกัน และปัจจุบันนี้เมื่อ2 ปีก่อน พี่พยุงทำหนังเรื่อง “บุญเพ็งหีบเหล็ก” เป้า ปรปักษ์ ก็กำกับ ผมเป็นผู้กำกับ แต่ไม่มีคนรู้เพราะว่าผมใช้ชื่ออื่น ยืนยง คงกระพัน, ศักดิ์มรกต, รุ่งโรจน์, ภูตะวัน, ผีเสื้อทระนง, เพลิงมรกตและอีกมากมาย ไม่มี เป้า ปรปักษ์ เพราะหนังต้นทุนมันต่ำ ผมกำกับหนังมาแล้วเป็นร้อยๆ เรื่องผู้กำกับที่ทำหนังได้ถูกที่สุดเร็วที่สุด มากที่สุดของปีที่เราไม่ใช้ชื่อเป้า เพราะว่าหนึ่ง คนรู้จัก เป้า ปรปักษ์ ในฐานะดาราแอ๊กชั่น ที่มีความประทับใจซาดิสม์ มันส์ ทำหนังบู๊ต้องสุดยอด แต่ด้วยทุนที่มันน้อย เรื่องหนึ่งแสนห้า สองแสน เราก็เลยไม่กล้าที่จะเอาชื่อเรามาลงตรงนี้ (แล้วทำไมถึงกล้ามาเสี่ยงกำกับล่ะ?) ไม่ให้กำกับเลย ก็ไม่ได้ เพราะว่าเรารัก สองลูกน้องอีกตั้ง 60 ชีวิต ถ้าเราไม่ทำงาน เขาจะทำอะไรกัน ทุกคนจากบ้านนอกมาหวังจะมาเป็นนักแสดง เป็นดาราที่มีชื่อเสียง

กล้าที่จะฉีกกฎ จนสร้างดารานักบู๊ที่ชื่อ พันนา ฤทธิไกร

พี่พยุงถือเป็นผู้ให้โอกาสผม เราเป็นคนที่ไม่เนรคุณ ผลที่ได้ก็คือ เขาส่งให้เราได้เป็นผู้กำกับ และมีรางวัลชีวิตอีกเยอะแยะ เพราะว่าเรามีความกตัญญู และเป็นที่มาของ พันนา ฤทธิไกร สมัยนั้นเขายังเป็นตัวประกอบ พี่พยุงให้ผมทำหนังบู๊เรื่องหนึ่งโดยมีทุนให้สองแสน ซึ่งจะไปทำอะไรได้ ค่าตัวสรพงศ์ก็แสนหนึ่งแล้ว ผมก็เลยขอปั้นพระเอกใหม่ โดยเลือกปั้นพันนา แต่พี่พยุงไม่ให้ บอกว่าถ้าทำไปก็เจ๊งแน่นอน จะไปขายใคร พี่พยุงคิดหนักเลย ทั้งที่ถ่ายทำไปแล้วนะ แต่ระหว่างนั้นผมก็ตัดต่อส่งให้สายหนังดู สายบอกทำภาค 2 เลย พันนาจากค่าตัวไม่ถึงหมื่น กินแสนเท่าสรพงศ์เลย คนที่ไม่กล้าจ้างพันนาเล่นหนังก็หันมาจ้างหมดเลย พันนาแจ้งเกิดจากหนังเรื่องเจาะนรก ผมบอกว่าผมขายแอ๊กชั่น ไม่ได้ขายหล่อไม่ได้ขายเลิฟซีน มันส์อย่างเดียว ผมเป็นผู้ฉีกตำราหนังไทย โดยที่พระเอกหนังไทยไม่จำเป็นต้องหล่อ แล้วมันก็ประสบความสำเร็จจริงๆ

เมื่อวงการหนังไทยซบเซาลง

ปี’39 หนังไทยตาย เพราะว่าคนหันไปดูหนังฝรั่ง หนังจีน หนังไทยกลายเป็นหนังแถม ช่วงที่หนังไทยกำลังสุดยอดบูมๆ ละครกันตนาเขาก็ทำอยู่หนึ่งเรื่องชื่อว่า “ไอ้ทิมมวยไทย”เขาขาดดาวร้ายที่เก่ง ซึ่งต้องมาต่อสู้กับไอ้ทิม ชื่อไอ้พอง เขามองแล้วว่ายุคนั้นไม่มีใครก็มี เป้า ปรปักษ์ ตัวเดียวที่พอจะเล่นได้ เขาก็ขอร้องให้มาช่วย ซึ่งตอนนั้นถ้าใครมาเล่นทีวี เขาถือว่าไม่มีฟอร์ม แต่เราด้วยความผูกพันและมารู้ทีหลังว่านี่คือราชนิกูลของพระเจ้ากรุงธนบุรี คุณแม่กุสุมา สินสุข คุณแม่ของ พี่ต๊ะ นิรัตติศัย เป็นลูกหลานพระเจ้าตาก และแทนที่เราจะไปเล่นแค่ 6 ตอนหรือ 9 ตอน กลับกลายเป็น 99 ตอน ปีกว่าจากผู้ร้ายกลายเป็นพระเอก จากไอ้พองกลายมาเป็นพระเอกคู่กับไอ้ทิม แต่ชีวิตผมก็ลุ่มๆ ดอนๆ นะปี 40-41 นิ่งเลย จากที่รูปร่างล่ำบึ้กก็ผอมไปทันทีจนคนคิดว่าเราป่วย หนังเหี่ยวเลยแต่จริงๆ คือไม่มีจะกิน จนกระทั่งไปออกรายการเจาะใจถึงเริ่มกลับมามีงาน แต่ชีวิตก็ยังไม่ได้ดีมาก เราก็เลยไปนั่งสนามหลวง ในปี’50 ชีวิตผมอลังการงานสร้างมาก (หัวเราะ) คือผ่านมาอย่างโชกโชน ทั้งหนังไทยหนังเทศน์ ผมเป็นเพื่อนกับหงจินเป่านะ สมัยก่อนเขามาถ่ายหนังเป็นแค่ตัวประกอบ จนมาเป็นนักแสดงโด่งดัง และปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัท เขาเคยชวนผมไปเปิดค่ายมวย สอนมวยไทย แต่ผมไม่ไป ถ้ารู้ว่าเมืองไทยปัจจุบันเป็นแบบนี้โกอินเตอร์ไปแล้ว

ชีวิตพลิกผันอีกครั้ง

ตอนที่มาพบกับ พี่โหน่ง-วีระชัย รุ่งเรือง ผมไปออกรายการสตาร์ ฮันท์ ที่เขาต้องการรู้ชีวิตผม ตอนนั้นเขาตั้งชื่อว่า ขุนศึกแห่ง
ภาพยนตร์ไทย แล้วพี่โหน่งเห็น ก็เลยให้คนไปตามซึ่งก่อนหน้านี้ ผมก็เคยไปช่วยงานพี่โหน่งมาบ้าง ก็เว้นกันไปนาน ไม่เจอกันอีกเลย แกก็ให้คนไปตาม ต้องบอกว่าแกอนุเคราะห์ผมมาก ทั้งที่แกเก่งทุกอย่าง แต่แกอนุเคราะห์ มีเมตตาให้เรามายืนเฉยๆ แล้วแกทำเอง ดูสิมีผู้กำกับคนเดียวในประเทศไทย ก็มาอยู่กับพี่โหน่งตั้งแต่ปี’52จนมาถึงทุกวันนี้ครับ

ภูมิใจที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับต่างชาติ

ผมเป็นสตันท์โค คือไปเล่นฉากเสี่ยงๆ ร่วมกับเขา ทั้งฮ่องกง ฝรั่ง ครั้งสุดท้ายที่ผมไปต่างประเทศคือไปอินโดนีเซีย ไปเป็นคนดูแลแอ๊กชั่น เรื่องเช็งโฮ เป็นประวัติศาสตร์การกำเนิดอินโดนีเซีย ส่วนกับนักแสดงฮ่องกงที่ได้ร่วมงานกันก็มี หวังอยู่, หลู่จุ้น, เดวิดเจียง, ตี้หลุง, เฉินกวนไท่, บรูซลี ส่วนฝรั่งก็มี ซิลเวสเตอร์สตอลโลน, พระเอกชาวรัสเซียที่เล่นเรื่องScorpion ฌองคอสแวนแดม หนังอินเดียก็มีนะเล่นกับพระเอกดังๆ สมัยนั้น แต่จำชื่อพระเอกไม่ได้ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่ดี ว่าเราเป็นนักแสดงไทยที่เขาไว้วางใจและภูมิใจมาก คือเราไปทีหนึ่งเราไม่ได้เล่นแค่ตัวเดียวแล้วจบ พออีกวันเขาก็ให้ไปเล่นเป็นอีกตัวใส่วิก ทำหน้าบากบ้าง ตายแล้วก็เปลี่ยนเป็นตัวอื่นอีก คือเขาเห็นคุณค่าของเรา เห็นความสามารถของเรา จากที่ว่าจะไปแค่ 3-4 วันก็อยู่กันเป็นเดือนเลย เราภูมิใจที่เราเป็นดาราไทยที่ร่วมงานกับเขาได้ ด้วยความที่เขาสบายใจและไว้ใจเรา ผมเชื่อว่าชาวต่างชาติมาเขารักผมนะ เพราะว่าผมเป็นคนนอบน้อมถ่อมตนและเป็นคนชอบช่วยเหลือเขา

ชีวิตที่ถูกลิขิตมาแล้ว

ฟ้าลิขิตไม่ใช่ว่าเราเลือกเอง ไปทำอย่างอื่นก็ไม่ประสบความสำเร็จ ไปค้าขายก็เคย ทำสวนอาหารใหญ่โตก็เลิกรากันไป คือขายดีนะ แต่ว่ามันมีอันเป็นไป มีการโกงกัน ผลสุดท้ายก็แพแตก ไปไหนไม่รอด ก็ต้องกลับมาที่หนัง ผมเชื่อเรื่องชะตามนุษย์ว่าโลกใบนี้เขาได้ลิขิตไว้แล้วเราฝืนไม่ได้หรอก คุณจะดีจะจนจะรวยหรือทำอะไรก็แล้วแต่ เขาลิขิตมาแล้ว ดังนั้นคุณต้องยิ้มรับโชคชะตา ผมจะทำอาชีพนี้ต่อไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ และหมดคนเมตตา คนเราถ้าขาดคนที่เมตตาเราก็ไม่มีทาง ไม่ใช่ว่าเพราะ เป้า ปรปักษ์ เก่งมีคนเมตตาสงสารเรา ผมรักอาชีพนี้มากผมมักจะพูดกับทุกคนว่าชีวิตผมทำเลวไม่ได้ เพราะผมไปอยู่ซอกไหนหลุมไหนของประเทศไทยเขาเสิร์ชกูเกิ้ลรู้ประวัติหมดเลย

ชีวิตที่ปล่อยวาง สันโดษ สมถะ

สมัยก่อนเราไม่รู้ แต่พอเรารู้ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราสุขมาก กับการที่เราไม่มีครอบครัว สมัยก่อนการไม่มีครอบครัวถือว่าบาป ไม่มีมนุษย์คนไหนที่อยู่คนเดียวได้ แต่ผมถือว่าบุญมหาศาล ผมได้ยินคำพระพุทธเจ้าที่ว่า ถ้าเราจะพบนิพพาน เริ่มต้นด้วยการละการครองคู่ ละการครองเรือน การครองเรือนคือการมีห่วง พอเราไม่มีห่วงจะทำอะไรก็สำเร็จหมด ก็เลยรู้สึกว่าที่เราต้องมาอยู่
อย่างนี้ เพราะเขากำหนดมา ปัจจุบันนี้ผมมีลูกน้องที่ฝึกมาเองกับมืออยู่ 5 คน ก็อยู่เบื้องหลังกับผู้กำกับหลายๆ ท่าน จาก 60 คนเหลือ 5 คน ถามว่ามีบ้านนอนอยู่ไหมก็มี แต่ไม่ใช่บ้านของเรา เป็นบ้านของน้า ซึ่งเราไปอาศัยอยู่กับเขาตั้งแต่เด็กๆ พอโตมาเรารู้สึกว่าเราควรจะไม่เป็นภาระ ผมก็เลยนอนในรถขับไปจอดในปั๊ม อาบน้ำอาบท่าก็ในปั๊ม ใช้ชีวิตแบบนี้ตั้งแต่ปี’40 ยี่สิบปีได้แล้วมั้งพอปลีกวิเวกรักสันโดษแล้วมีความสุข กินข้าวก็กินคนเดียว แต่ถ้าเราไปอยู่กับคนอื่นเราไปเบียดเบียนเขา เขาก็จะเป็นทุกข์อีก เราอยู่แบบนี้ของเราดีแล้ว สุขแล้ว ไม่ต้องทุกข์ หาเท่าไหร่ก็พอ แต่ถ้ามีครอบครัวแล้วมันหาไม่พอ แม่มักจะชอบไล่ผมให้ไปทำงาน แต่เราห่วงแกไง บางทีไม่มีงานก็ต้องขับรถออกมา แล้วก็ขับกลับว่าทำงานเสร็จแล้ว ก็อายุขนาดนี้จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว สักอาทิตย์หนึ่งค่อยกลับบ้านไปหาแม่ที ส่วนวันไหนที่ไม่มีงานเราก็ไปนั่งสนามหลวงขายของได้วันหนึ่งพันสองพัน คนจำได้ว่าเป็นเราก็ไม่เป็นไร เพราะเรามีความสุขแล้ว ถามว่าแก่ตัวไปจะทำยังไง แล้วเราจะอยู่ถึงแก่หรือเปล่ายังไม่รู้เลย รู้ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด พรุ่งนี้จะเป็นยังไงไม่รู้ อย่าไปคิดถึง

“อย่าประมาทอย่าหลงตัวเองและอย่ายึดติด เพราะของทุกอย่างมันเสื่อมหมด ยามเรามั่งมีศรีสุขรุ่งเรืองมีชื่อเสียง สิ่งดีๆ จะเข้ามาหา แต่ช่วงที่เราหมดยุคหมดสมัย เราต้องพบกับความผิดหวังความลำบาก เราต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ ทุกอย่างมันไม่มีอะไรแน่นอน เป็นสิ่งที่เขาสมมุติมาชั่วคราวเท่านั้น มีสติอย่าประมาท อย่าทำร้ายอย่าเอาเปรียบ อยู่กับธรรมชาติให้ได้ แล้วชีวิตจะเป็นสุข” นี่คือข้อคิดจากสุดยอดตำนานหนังบู๊ ที่จะอยู่ในใจของคนไทยไปตลอดกาล “เป้า ปรปักษ์”

กุหลาบสีเงิน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • \'เบิร์ด เทคนิค\'โพสต์เดือด! ซัดกฎหมายไทยมันอ่อน หลังยกฟ้อง คดี\'แตงโม\' 'เบิร์ด เทคนิค'โพสต์เดือด! ซัดกฎหมายไทยมันอ่อน หลังยกฟ้อง คดี'แตงโม'
  • คนสวยโกอินเตอร์! \'ญาญ่า อุรัสยา\'สวมบอดี้สูทยาวแบรนด์หรู ร่วมชมโชว์ในฐานะ House Ambassador คนสวยโกอินเตอร์! 'ญาญ่า อุรัสยา'สวมบอดี้สูทยาวแบรนด์หรู ร่วมชมโชว์ในฐานะ House Ambassador
  • \'ตั้ม วราวุธ\'ออกจากห้องไอซียูแล้ว ผู้จัดการโพสต์ภาพยกมือไหว้ขอบคุณกำลังใจ 'ตั้ม วราวุธ'ออกจากห้องไอซียูแล้ว ผู้จัดการโพสต์ภาพยกมือไหว้ขอบคุณกำลังใจ
  • คนสวยไม่หยุดเสิร์ฟ! \'ปู ไปรยา\'อวดลุคงามสง่าบนพรมแดงคานส์ คนสวยไม่หยุดเสิร์ฟ! 'ปู ไปรยา'อวดลุคงามสง่าบนพรมแดงคานส์
  • ดาราพาเที่ยว : ลุยไปกับ ‘เจ เปรม’ พาปั่นจักรยานข้ามทวีป จากลอสแอนเจลิสถึงนิวยอร์ก ดาราพาเที่ยว : ลุยไปกับ ‘เจ เปรม’ พาปั่นจักรยานข้ามทวีป จากลอสแอนเจลิสถึงนิวยอร์ก
  • ‘พีพี กฤษฏ์’ ติด 1 ใน 30 คนรุ่นใหม่ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย จาก ‘Forbes Asia’ ‘พีพี กฤษฏ์’ ติด 1 ใน 30 คนรุ่นใหม่ทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย จาก ‘Forbes Asia’
  •  

Breaking News

ว้าวุ่น!‘จีนพัทยา’แห่ถอนเงินจากธนาคารหลังถูกอายัดบัตร เหตุถอนเกินวันละ 5 หมื่นบาท

ทหารเกณฑ์คลั่ง! บ่นเหนื่อยไม่อยากกลับค่าย ฟันหัวหลานปางตาย

‘เจิมศักดิ์’แชร์บทความ 32 องค์ประกอบไทยใกล้‘ล่มสลาย’หรือยัง แนะหยุดวงจร‘นิ่ง–แจก–ยอม’

‘ภูมิธรรม’ยันรับมือน้ำท่วม‘แม่สาย’ได้ เตรียมเครื่องมือล้างดินโคลนหลังน้ำลด

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved