จากเด็กสาวลูกนายทหารที่ถูกเลี้ยงแบบเข้มงวด แต่เพราะเป็นคนที่กล้าแสดงออก เมื่อมีโอกาสได้ก้าวเข้ามาสัมผัสงานในวงการบันเทิง “น้ำฝน-บุณฑริก ทัศนารมย์” จึงไม่ยอมปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดลอยไป แม้ว่าอาชีพนักแสดงจะไม่ใช่ความใฝ่ฝันอันสูงสุดของเธอแต่เธอก็รักและหลงเสน่ห์วงการมายานี้
กับธุรกิจที่รับผิดชอบในตอนนี้
กิจการที่ทำอยู่คือมีอพาร์ทเมนท์ให้เช่าอยู่แถวเขตสายไหมค่ะ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของฝนเองที่ต้องเข้ามาดูแลเต็มตัว แล้วอีกอันก็คือเป็นธุรกิจของสามี (ทพ.ธำรง ลิมปนาภา) เป็นคลินิกทำฟันที่เราก็ช่วยเป็นเบื้องหลังบ้าง งานไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงเลยค่ะ แต่อย่างอพาร์ทเมนท์ก็เพิ่งจะสร้าง ปีนี้ขึ้นปีที่ 3 ซึ่งคุณแม่พูดมานานแล้วว่าอยากทำอพาร์ทเมนท์ จนมันถูกที่ถูกเวลาทุกอย่างเหมาะเจาะก็เลยลงทุนทำกัน จริงๆ ถ้าเทียบกับสมัยก่อนเมื่อ10-20 ปีก่อนเขาจะชอบพูดว่ามีอพาร์ทเมนท์เหมือนเสือนอนกิน แต่สมัยนี้มันจะใช้คำนั้นไม่ได้แล้วเนื่องจากค่าก่อสร้างสูงขึ้นแล้วของเราก็เป็นอพาร์ทเมนท์เล็กๆ ฝนก็พยายามทำทุกอย่างให้มันเรียบร้อย เพราะว่าอยากให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะมาเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่ก็ตาม เราก็เลยลงทุนค่อนข้างสูง กว่าจะได้กินระยะยาว ก็คงยาวจริงๆ และคุณแม่ฝนก็จะมาอยู่ที่นี่ดูแลเรื่องทั่วไป ใครมีปัญหาอะไรก็สามารถเรียกคุณแม่ได้ ฝนจะเข้ามาตั้งแต่ 10 โมงถึงประมาณ 5 โมงเย็น เลทบ้างอะไรบ้าง
ความภูมิใจเล็กๆ
มีผู้ปกครองของน้องๆ ที่มาเช่าห้องแล้วจำเราได้ค่ะ แต่ว่าน้องๆ ที่เป็นนักศึกษาปีหนึ่งปีสองจะไม่รู้จัก พอคุณแม่ที่พาลูกมาเห็นเราเขาก็ตื่นเต้น จำได้ ขอถ่ายรูปด้วย เราก็รู้สึกดีใจเหมือนกันค่ะ
หวนคืนจออีกครั้ง
ก็ยังมีงานละครบ้างเล็กๆ น้อยๆ อย่างพี่ชุดาภา พี่ก้อง-ปิยะ ที่เป็นผู้จัดซึ่งเราก็สนิทสนมเป็นพี่น้องกัน พี่เขาก็เรียกไปใช้บ้าง พอเราได้กลับไปก็รู้สึกสนุกค่ะ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ล่าสุดที่เล่นคือเรื่อง “พันล้านพนันรัก”ออกอากาศทางช่องทรู และก่อนหน้านี้มีเรื่อง“กากับหงส์” ทางช่อง 8 ซึ่งกว่าที่จะได้กลับมาเล่น 2 เรื่องนี้ ถือว่าฝนหายไปจากงานแสดงเกือบ 10 ปีเลยค่ะ เนื่องจากว่าแต่งงานด้วย พอมีครอบครัวแล้วการทำงานของสามีกับการทำงานของเรามันไม่เหมือนกัน คนที่ตื่นเช้า แปดโมงไปทำฟันเป็นคุณหมอ หกโมงเย็นออกกำลังกายกลับบ้าน นั่นคือตารางเวลาของเขาแต่ว่าของเราไม่เป็นเวลา บางวันนัด 11 โมง บางวันนัดเที่ยง บางวันนัดตี 2 เขาก็จะงงว่ามันเป็นแบบนี้เหรอ เขาไม่ห้ามที่เราจะเล่นแต่ว่ามันก็ไม่เป็นชีวิต บวกกับว่าฝนก็ห่างๆ ไปเองด้วยค่ะ (ผลงานเรื่องสุดท้ายก่อนหยุดยาว ?)ห่างจนจำไม่ได้ค่ะ ดูสิ แล้วพอแต่งงานเราก็วางแผนจะมีน้อง แต่สรุปก็ไม่มีค่ะ ทำกิ๊ฟ
ก็ไม่สำเร็จ เลยอยู่กันสองคน ได้ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นน้องใหม่ในวงการ
ใช่ค่ะ เหมือนไม่ชิน และทำอะไรไม่ถูก เพราะว่าด้วยบทบาทที่ได้รับก็คือจะโตขึ้นด้วย อย่างเรื่อง “กากับหงส์” คือจะมีหลานและเขาต้องมานอนหนุนตักเรา หลานโตเป็นหนุ่มแล้วด้วยเราก็เงอะๆ งะๆ น้องเขาก็ใหม่ เราก็ใหม่ด้วยตื่นเต้น บทก็จำไม่ได้ อย่างที่เล่นละครกับพี่โอ๊ต-วรวุฒิ เรื่อง “พันล้านพนันรัก” มีอยู่วันหนึ่งจำบทไม่ได้ เทคเยอะมาก เหงื่อแตกต้องนั่งทำสมาธิ พี่โอ๊ตก็เหมือนจะให้กำลังใจมากเลยนะคะ คือบอกทุกคนว่าเมื่อก่อนเราเป็นนางเอก ไม่ได้แบบนี้เลยนะ จนฝนต้องไปนั่งสงบๆ ทำสมาธิและค่อยๆ ปรับตัว นั่งคิดว่าบทมันยาวหรือว่าเราแก่นะ (หัวเราะ) แต่ไม่นะดู พี่ตุ๊ก-ดวงตาสิ ทำไมเขาจำบทแม่นล่ะ แล้วเชื่อไหมคะว่าฝนไม่รู้มุมกล้องด้วย พอกลับไปบ้าน ฝนต้องพยายามทำการบ้านหนักเลย ขยันมากขึ้น เรียกว่าขยันกว่าเมื่อตอนที่เข้าวงการใหม่ๆ เสียอีก เพราะว่าไม่อยากให้ไปทำงานแล้วรู้สึกว่าเป็นตัวถ่วงทุกคน ทั้งที่เราอายุเยอะแล้ว ไปถึงก็มีแต่คนไหว้ แต่ว่า
มาเทคตลอดๆ (ฟีดแบ๊กจากคุณสามี ?) เขาก็เห็นว่าพอเราไปถ่ายละครแล้วกลับดึก แต่พอตื่นเช้ามาดูเราสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นนะ เพราะว่าปกติฝนตื่นขึ้นมาก็เจออะไรเดิมๆ ก็หงอยๆ แต่ว่านี่เราดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่ถ้าวันไหนที่กลับดึกเขาก็จะเป็นห่วง หรือว่าบางทีคุณแม่สามีมาจากต่างจังหวัด พอเห็นเรากลับดึก ท่านก็จะสงสัยว่าทำไมถึงกลับดึก คือท่านก็เข้าใจว่าเราเป็นนักแสดง แต่คงจะไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วเราต้องถ่ายทำกันดึกๆ ดื่นๆ และออกเช้า บางวันก็ออกบ่าย 3 เลยอะไรแบบนี้
ช่วง 10 ปีที่เงียบหายไป แอบคิดถึงการแสดงบ้างไหม
อย่าใช้คำว่าแอบเลยค่ะ คิดถึงตลอดอยู่แล้ว แต่เราก็เข้าใจการทำงานของสามีค่ะ เลยไม่กล้ากลับมาเล่นละคร มีไปเที่ยวกองถ่ายบ้างสนุกสนานเฮฮา ไปเมาท์มอยกับพี่ๆ แล้วเราก็กลับบ้านแฮปปี้ (เพื่อนสนิทในวงการ ?) จริงๆ เพื่อนสนิทในวงการของฝนจะเป็นกลุ่มที่โตกว่าไม่ว่าจะเป็น พี่ชุดาภา พี่ก้อง-ปิยะ พี่ท็อป-ดารณีนุช พี่ผัดไทย พี่โอ๊ต-วรวุฒิ พี่แจง-วราพรรณ ฝนจะเป็นน้องเล็กที่เข้าไปหลังสุด ตอนนั้นเล่นละครกับพี่ก้องเรื่อง “สวรรค์บ้านทุ่ง”ซึ่งไปถ่ายด้วยกันที่สุพรรณฯ พี่ก้องก็ยังเป็นนักแสดงอยู่ เราอยู่ด้วยกันค่อนข้างนานหลายเดือน กินนอนด้วยกัน เลยสนิทกัน พี่ก้องเลยดึงฝนเข้าแก๊งมาด้วย จนตอนนี้คบกันมาเกือบ
ยี่สิบปีแล้วนะ เวลาเจอกันเราก็จะมีกินข้าวแชร์กันฝนรู้สึกว่าพอไปเจอกลุ่มนี้ทักษะทางการพูดของฝนด้อยพัฒนามาก เพราะว่าพี่ๆ แต่ละคนต่างแย่งกันพูดเรื่องของตัวเอง ซึ่งขำมากและสนุก เราจะรู้สึกทุกครั้งที่กลับมาบ้านว่าฉันยังไม่ได้คุยเลยนะ พูดไม่ทันเขา ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรสุขทุกข์ก็จะมีพี่ๆ กลุ่มนี้ที่ปรึกษากันจนกลายเป็นญาติไปแล้วค่ะ
ย้อนวันวานกับผลงานสร้างชื่อ
เรื่องแจ้งเกิดคือเรื่อง “บ้านไร่ริมธาร” เล่นกับ พี่ต้น-ตระการ คนรู้จักฝนมาก พูดถึงบ่อย อาจจะเป็นเพราะว่าเรายังเด็กๆ ในตอนนั้น แล้วก็มาเล่นบทน่าสงสาร รู้สึกว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีพี่ๆ ที่เขาเคยเป็นปลัดในสมัยนั้น แต่ว่าตอนนี้ก็ใหญ่โตกันไปหมดแล้วพี่เขายังมีมาแซวอยู่บ้าง คือในเรื่องพี่ต้นเล่นเป็นปลัด แล้วเราก็ไปแอบชอบเขา กับงานละครส่วนมากฝนจะเล่นละครเด็กๆ ซึ่งเป็นละครเย็นค่ะ เป็นละครของค่ายกันตนา พระเอกที่ได้ร่วมงานด้วยก็มีพี่จอนนี่แอนโฟเน่ พี่อั๋น-สิรคุปต์ พี่โชคชัย เจริญสุข พี่พีท ทองเจือ ฝนรุ่นเดียวกับ แก้ว-กวินนา ส่วนคาแร็กเตอร์ที่ได้รับแรกๆ จะเป็นแนวเรียบร้อยพูดช้าๆ เหมือนตัวเองเลยค่ะ แต่ว่าหลังๆ จะได้บทที่ร้ายขึ้นแรงขึ้น เริ่มเล่นเป็นตัวอิจฉา ซึ่งฝนก็ชอบเล่นร้ายนะ เพราะว่ามีอะไรให้เล่นเยอะ แต่ตอนที่เล่นละครเด็กๆ ก็ชอบเหมือนกัน เพราะว่ามันเหมือนเป็นวัยของเราด้วยค่ะ เลยรู้สึกว่าสนุกกลมกลืนเข้ากับเด็กได้ง่าย ยอมรับว่าบรรยากาศในกองถ่ายของสมัยนี้กับสมัยนู้นต่างกันเยอะเลย ด้วยเทคโนโลยีด้วย จากเมื่อก่อนเราไปเราก็จะสนิทกันมากทำอะไรผูกพันกันกินข้าวถ้าไม่มีเก้าอี้ก็จะนั่งเสื่อด้วยกัน แต่ตอนนี้ก็คือจะมีเก้าอี้เก๋ๆ หิ้วมาต่างคนต่างมีมุมของตัวเอง แต่การทำงานกับน้องๆ ใหม่ๆ เราก็จะได้เห็นมุมใหม่ๆ ว่าเด็กสมัยนี้เขาเก่ง
ก้าวแรกในวงการ
ฝนเริ่มจากการถ่ายโฆษณาค่ะ นีเวียโลชั่น คือเราก็เป็นเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไปค่ะ เดินมาบุญครองแล้วพี่จิ๋ม โมเดลลิ่งเขามาเจอ
ก็ขอให้ไปถ่ายรูปทิ้งไว้แล้วก็เรียกไปเทสต์งานก็บังเอิญได้ จากนั้นก็ถ่ายโฆษณามาสัก 3-4 ตัว ถ่ายแบบลงนิตยสาร จน พี่สุ-สุชีรา กัลย์จาฤก จากกันตนาเห็นเราในโฆษณาบรีสคัลเลอร์ ก็เลยเรียกเข้ามาเทสต์และได้เล่นละคร สังกัดกันตนา ตอนที่เขาเรียกไปเทสต์งาน เราไปกันทั้งบ้านเลยนะคะ ทั้งตื่นเต้นแล้วก็กลัวว่าจะโดนหลอกด้วย เลยไปกันเยอะขนาดนั้น และทุกคนก็มองว่าเออ...
นี่แค่มาเทสต์นะ ยังไม่ได้ถ่ายจริงเลย พอได้งานคุณแม่ก็บอกให้เรารู้จักหัดเก็บหอมรอมริบไม่กีดกันที่เราจะเข้ามาในวงการ แต่ว่าตอนก่อนที่คุณพ่อจะเสียก็มีคนชวนฝนเข้าวงการเหมือนกันซึ่งคุณพ่อไม่อนุญาตคือท่านเป็นนายทหารค่อนข้างเข้มงวดนิดหนึ่ง พอคุณพ่อเสียก็เลยรู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ได้เอาเงินมาช่วยคุณแม่นะเพราะว่าท่านก็ทำงานคนเดียวเลี้ยงลูก 2 คน แล้วพอเราได้เข้ามาทำงานตรงนี้เราก็รู้สึกสนุก
ย้อนวันวานความรัก
คู่เราไม่ค่อยสวีทหวานเท่าไหร่ค่ะ สามีเป็นคนทำงานเยอะมาก เวลาที่จะทานข้าวสวีทกันเหมือนคู่อื่นๆ เราจะไม่มีตรงนั้นเลย ส่วนฝนเองตอนนั้นก็ยังรับงานแสดงอยู่ เวลาเราก็ไม่ตรงกันเหมือนกับว่าคบกันไปสักพัก 6 เดือนเลิกกัน แล้วกลับมาดีกัน คบๆ เลิกๆ กันอยู่แบบนี้ค่ะพอฝนไม่โทร.ไป เขาก็ไม่โทร. ต่างคนต่างยุ่ง มันก็ห่างๆ กันไป เลยรู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่ว่าก็ยังคบกันอยู่ค่ะ (หัวเราะ) จนวันที่เขามาขอแต่งงาน ฝนเครียดเลยค่ะ พี่ท็อป-ดารณีนุช เป็นคนให้คำปรึกษา ฝนบอกพี่ท็อปว่าทำยังไงดี หมอขอ
ฝนแต่งงาน พี่ท็อปก็บอกว่าเราต้องพบพระก่อนคือให้เราไปปฏิบัติธรรม 7 วัน ไปดูว่าตัวเองต้องการอะไรแน่ คือมันแปลกมากที่คนโดนขอแต่งงานแล้วไปปฏิบัติธรรม แทนที่จะดีใจ พี่ก้องก็เรียกประชุมใหญ่เลยค่ะ เชิญทุกคนในแก๊ง แล้วก็เชิญ พี่แหม่ม-จินตหรา มาด้วยมาให้คำตัดสินว่าแต่งดีไม่แต่งดี จนพี่แหม่มพูดมาคำหนึ่งว่า “ฝน...สัญชาตญาณแรกที่เขาขอหนูแต่งงาน หนูรู้สึกยังไง ไม่ต้องคิดมาก สัญชาตญาณแรกสำคัญที่สุด คือเราตื่นเต้น ดีใจ หรือว่ายังไง” ฝนก็นึกย้อนกลับไปว่าเราดีใจมากเลยนะแต่...หลังจากนั้นเรากลัวเท่านั้นเอง ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป ซึ่งก็ไม่เป็นไร พอเราได้รับคำแนะนำจากพี่ๆ หลายๆ ท่าน เราก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นไรนะทำปัจจุบันให้มันดี อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยมันไป พอแต่งงานแล้วเราแมทช์กันดีมาก คือเขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง ฝนก็มีโลกส่วนตัวสูง และต่างคนต่างไม่วุ่นวายกัน เขาจะไปเล่นกีฬา จันทร์ พุธ ศุกร์ อาทิตย์ เราก็ไม่ไปแตะเวลาตรงนั้น เราลั้ลลาสังคม เขาก็ไม่โกรธไม่ว่าอะไร ถึงเวลาที่เราจะต้องไปทำกิจกรรมด้วยกันเราก็ไป เขาเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเวลาเราคุยกัน เขาก็จะเหมือนคอยสอนคอยชี้แนะ ฝนก็เลยรู้สึกว่าเรามีความเกรงใจต่อกัน แต่ฝนเป็นคนที่ใจเย็นกว่าเขานะคะเพียงแต่เขาสุขุมและนิ่งกว่า อยู่ด้วยกันมา 8 ปีไม่เคยทะเลาะกันเรื่องใหญ่เลย ไม่ทะเลาะกันไม่ใช่ว่าเราทำอะไรถูกใจหมดนะ มันมีเรื่องที่ไม่ถูกใจกันตลอดแหละ แต่ว่ามันอยู่ที่เราจะยังไง คือต่างคนก็ต่างนิ่งเงียบ
ยังกล้าๆ กลัวๆ ถ้าจะต้องมีน้องในตอนนี้
สามีฝนเขาคิดหนักว่าถ้ามีลูก แล้วเราก็อายุเท่านี้แล้ว จะต้องเก็บเงินเท่าไหร่กว่าลูกจะเรียนมหาวิทยาลัย ต้องใช้เงินอีกเยอะไหม คือเขาจะวางแผนไว้หมด เขาคิดว่าถ้ามีลูกคนเดียวแล้วลูกจะเหงาหรือเปล่า ถ้าเราสองคนเป็นอะไรไปเขาก็คิดเยอะ จนกล้าๆ กลัวๆ ดังนั้นถ้าถามว่าอยากมีลูกจริงๆ ไหม มันเป็นบางอารมณ์ค่ะ บางทีเห็นเด็กน่ารักๆ เราก็นึกอยากจะมีบ้าง พอถามเพื่อนเขาก็บอกว่ามันจะเป็นห่วงทางใจนะนู่นนี่สรตะ แล้วก็เลยกล้าๆ กลัวๆ มีก็ได้ไม่มีก็ได้ เคยคิดเหมือนกันว่าจะไปให้คนอุ้มบุญ แต่
ฝนคิดมากค่ะ คือลูกเรา เราก็อยากจะอุ้มท้องเองแฟนก็ไม่อยากให้เราคิดมากค่ะ เลยไม่เป็นไรอยู่แบบนี้สองคนก็มีความสุข
อนาคตในวงการบันเทิง
มีพี่ๆ ชวนฝนมาทำผู้จัดเหมือนกันค่ะ แต่ฝนยังไม่กล้าขนาดนั้น เคยหุ้นกับพี่ๆ กลุ่มนี้ทำรายการก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เลยคิดว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับเบื้องหลัง กับผลงานที่ผ่านมาฝนพอใจในระดับหนึ่งค่ะ แต่ไม่ได้สูงสุดถ้าได้มีโอกาสกลับไปก็จะเก็บเกี่ยวให้มันมากกว่านี้แต่ด้วยความที่ทุกวันนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปมาก เรากลายเป็นคน 2 ยุค ที่จากธรรมดาก็ขึ้นมาเป็นแบบดิจิตอลเลย ถ้าได้กลับมาอีกครั้ง คงจะเป็นประสบการณ์ที่ดี และเราก็อยากไปลองทำอะไรใหม่ๆ ดู บทบาทอะไรก็ได้ค่ะ เพราะว่าตอนนั้นฝนยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำก็มาเป็นนักแสดงเลย เหมือนกับว่าเขามาอยู่กับเราเกือบค่อนชีวิตแล้ว มันคือตัวเราไปแล้ว ถ้าพูดทีไรมันก็ยังตาวาวตื่นเต้นทุกที ถ้ามีบทคุณแม่ติดต่อเข้ามา ก็ได้นะ เพราะเราก็รู้สึกว่าเราถึงจุดนั้นแล้วล่ะ อาวุโสได้แล้ว วงการนี้คือชีวิตเราไปแล้ว เราอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เด็ก รู้สึกชอบ ถ้ามีบทอะไรที่เราพอจะกลับไปเล่นได้ก็ยินดีค่ะ
รักและพร้อมจะปกป้องวงการบันเทิงทุกเมื่อ
วงการบันเทิงให้อะไรฝนเยอะมากนะไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจ จนถึงตอนนี้คือรู้เลยว่าความอดทนเป็นเรื่องสำคัญ และการที่ไม่เห็นว่าเราทำงานคนเดียว พี่สุชีราเคยเรียกไปคุยตอนที่เล่นละครแรกๆ ว่าเวลาเราเล่นละครเห็นไหมว่าพี่ตากล้องทุกคนต้องทำงานหนักขนาดไหน เราเล่นเรายังมีบางซีนที่ได้แอบมาหลับ แต่พี่ๆ เขาจะต้องยืนสแตนด์บายอยู่ทั้งคืน เพราะฉะนั้นเขาจะเหนื่อยกว่าเรา 2-3 เท่า ก็ให้รู้ซะว่าทุกคนที่ทำงานร่วมกับเรามีความสำคัญหมด อย่าทำตัวให้ติดลมบน ต้องติดลมล่างถึงจะดีกว่า สิ่งที่ฝนได้จากตรงนี้ก็คือฝนจะเป็นคนเรียบๆ ไม่หวือหวาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม พอมาทำงานอพาร์ทเมนท์ฝนวิ่งให้ลูกค้าได้ทุกเรื่องที่ลูกค้าต้องการ เพราะว่ามันคือหน้าที่ของเรา ลูกค้ากลับเป็นฝ่ายที่เกรงใจเราซะมากกว่า เราก็บอกว่าไม่เป็นไรเพราะมันคืองานของเรา เรายินดีจริงๆ
เคล็ดลับการมีสุขภาพที่ดี
ฝนออกกำลังกายบ้างค่ะ แต่หลังๆ เริ่มขี้เกียจแล้ว เมื่อก่อนจะเล่นโยคะ เข้าฟิตเนสบ้าง และมีไปเดินที่สวนหลวง ร.9 รู้สึกว่าชอบ แล้วฝนจะมีกิจกรรมกับครอบครัว กับเพื่อนๆ เรื่อยๆ ชีวิตไม่ค่อยอะไรมาก อยู่แบบสบายๆ
บุคคลเหล่านี้ที่ไม่เคยลืม
ที่ฝนอยากจะขอบคุณคือพี่สุ-คุณสุชีรา เป็นคนแรกที่เรียกฝนเข้ามาในวงการ และเป็นคนสั่งสอนฝนทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ
การวางตัวการทำงาน หลายๆ ข้อคิดที่พี่สุให้ฝนสามารถเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้จนถึงตอนนี้แล้วก็อีก 2 ท่าน คือ พี่ก้อง-ปิยะ กับพี่ท็อป- ดารณีนุช จริงๆ จะบอกว่าทั้งกลุ่มเลยก็ได้ เพราะว่าพี่ๆ เหล่านี้ที่อยู่กับฝนตลอดเวลาไม่ว่าเราจะทุกข์หรือว่าสุข ภายนอกจะเห็นว่าทุกคนเฮฮาสนุกสนานร่าเริง แต่ว่าพอถึงจุดที่เราเจอปัญหา คำพูดของพี่ๆ เหล่านี้ฉุดฝนให้ขึ้นมาได้หลายครั้ง ก็ขอบคุณพี่ๆ ที่คอยอยู่ข้างกันตลอดไม่เคยทิ้งกัน หลายคนเลยอาจจะเอ่ยชื่อไม่หมด แล้วอย่างชื่อของอพาร์ทเมนท์ บ้านทสนา พี่แจง-วราพรรณก็เป็นคนตั้งชื่อให้ เพราะว่าฟังดูอบอุ่นดี พี่ๆ ในกลุ่มมีส่วนช่วยหมดเลย พี่ชุดาภามาดูที่เลยค่ะ แล้วบอกว่าให้ทำอพาร์ทเมนท์ พี่ก้องก็บอกว่าให้เช่าถ่ายละครสิช่วงไม่มีคน ทุกคนช่วยทำการตลาดให้ด้วย
“เห็นความเปลี่ยนแปลงของวงการชัดเจนเปลี่ยนไปมากทั้งดีและไม่ดี แต่ว่าเราก็ยังรักวงการนะคะ ไม่ทิ้งอย่างแน่นอน มันอยู่ที่ตัวเราว่าจะเลือกเก็บสิ่งไหนไว้กับตัว...ถ้าได้กลับไปอีกครั้งฝนจะเลือกทำอะไรที่รู้สึกว่ามันดีกับวงการ”สิ่งต่างๆ ในโลกย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่หัวใจที่รักมั่นในการแสดงและวงการบันเทิงของ น้ำฝน-บุณฑริก ทัศนารมย์ จะยังคงไม่เปลี่ยนตาม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี