สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้พาไปย้อนวันวานกับศิลปินคุณภาพที่มีทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังไม่ได้ขาด รวมถึงมีรางวัลการันตีอย่าง นักร้องยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย สยามกลการ ปี 2531 และเจ้าของรางวัลพระพิฆเนศทองพระราชทานในปี 2540 “เจี๊ยบ” นนทิยา จิวบางป่า กับเส้นทางที่เธอบอกว่า มีทั้งสุข เศร้า เคล้าน้ำตา และช่วงเวลาที่แสนปลาบปลื้มใจ
ชีวิตวัยเยาว์
เจี๊ยบเรียนหนังสือและโตที่เชียงรายค่ะจะถูกเลี้ยงมาเหมือนเด็กผู้ชาย ไม่ค่อยได้เล่นขายของเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป คือมีพี่สาวพี่ชาย แล้วเจี๊ยบเป็นคนที่ 3 และก็มีน้องชายหลงมา ห่างกัน 7 ปี เพราะฉะนั้นเราจะได้ดื่มด่ำความเป็นน้องเล็กอยู่หลายปี อีกทั้ง
มีลูกพี่ลูกน้องเป็นผู้ชายอีก 2 คนมาอยู่ด้วย เรียกว่าพี่เล่นอะไร เราก็ต้องเล่นตาม จะไม่มีโอกาสได้นั่งเล่นตุ๊กตาเป็นเด็กหญิงเรียบร้อยเลยค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงเจี๊ยบออกมาจากพี่ๆ ได้ก็คือ คุณพ่อเป็นนักดนตรี เวลาพ่อทำงานเจี๊ยบก็จะอยู่ข้างๆพ่อตลอด พ่อนั่งแกะเพลง ซ้อมร้องเพลง เจี๊ยบก็จะนั่งข้างๆ แล้วก็ร้องเพลงกับพ่อ
สืบสายเลือดนักดนตรี
คุณพ่อเจี๊ยบเป็นนักดนตรี เล่นเบสค่ะเมื่อก่อนพ่อจะเล่นเพลงฝรั่งอยู่ที่โคราชในแคมป์ทหารฝรั่ง เพราะสมัยก่อนจะมีค่ายทหารต่างชาติมาตั้งค่ายที่นั่น แล้วพ่อก็ได้เจอกับแม่ที่นั่น ถามว่าเจี๊ยบเป็นคนที่ไหนเจี๊ยบเกิดที่โคราชแต่ไปโตที่เชียงราย เพราะมีคนมาจ้างคุณพ่อจากโคราชไปเล่นดนตรีที่เชียงราย ก็เลยย้ายครอบครัวไปกัน ส่วนคุณแม่เป็นคนสระบุรีค่ะ
เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่จับ
กีตาร์ค่ะ เจี๊ยบขอคุณพ่อเล่น แต่จริงๆ แล้วพ่อไม่เคยสนับสนุนให้เล่นเลย เพราะว่าเขาเหนื่อย เขาไม่อยากให้เราเหนื่อยแบบเขา ไม่อยากเห็นลูกเดินเส้นทางเดียวกัน แต่ห้ามไม่ได้จริงๆ เจี๊ยบชอบเล่นกีตาร์ก็เลยขอเขามาเล่น อ้อนวอนขอเรียน แล้วพ่อก็ให้อาที่เล่นกีตาร์ในวงช่วยสอน อาอ๊อดก็สอนให้เล่นได้บ้าง ฝึกเองบ้าง ไล่สเกลเองบ้างนิดๆ หน่อยๆ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยได้เล่นดนตรี
จุดเริ่มต้นของงานดนตรีจากกีตาร์ตัวเดียว
ใช่ค่ะ แต่ร้องเพลงนี่ ร้องได้อยู่แล้วเพราะเราร้องกับพ่อตลอด แล้วตอนเด็กๆ คุณอาเขาก็จะจับขึ้นร้องเพลงตามงานต่างๆ ที่เขาไปแสดงกัน ก่อนจะขึ้นร้อง ก็จะมีน้ำตานิดหนึ่ง เพราะไม่อยากร้อง อยากเล่นมากกว่า เจี๊ยบขึ้นร้องเพลงตั้งแต่อยู่ประถม แต่ไม่แน่ใจว่าช่วงอายุเท่าไหร่ เพราะเจี๊ยบเห็นจากรูปถ่ายเก่าๆ ยังเป็นเบบี๋อยู่เลยค่ะ
ส่วนกีตาร์นี่เล่นตอนมัธยมแล้ว เพราะว่าตอนนั้นมีงานโรงเรียน ไปขอร้องรุ่นพี่ ขออยู่วงนี้ด้วยนะ แรกๆ ก็คิดนะว่าจะเป็นนักร้องหรือเล่นกีตาร์ดี แต่สุดท้ายก็เป็นนักร้องก่อนแล้วกัน เพราะถนัดสุด แล้วก็ได้หัดกีตาร์ด้วย เริ่มจริงจังตั้งวงโฟล์กซองขึ้นที่โรงเรียน หาเงินช่วยซื้ออุปกรณ์การเรียนเข้าชมรม ตอนนั้นเจี๊ยบอยู่ชมรมวิชาอังกฤษ-ฝรั่งเศส ก็ช่วยหาเงินเข้ามา เจี๊ยบเป็นคนคิดเองหมดเลย โชว์ ท่าเต้น หาคนมาเต้นตอนนั้นเจี๊ยบเรียนที่ โรงเรียนดำรงค์ราชสงเคราะห์ โรงเรียนประจำจังหวัดที่เชียงราย เรียกว่าเป็นเด็กกิจกรรม ฮอตมากสมัยนั้น (หัวเราะ)
ทีมงาน Concert Music is my life กับลูกชายและลูกสาว
เหตุที่เลือกเรียนสายศิลป์-ภาษา
เจี๊ยบเป็นคนชอบด้านภาษาค่ะ ชอบร้องเพลงฝรั่ง ก็เลยรู้สึกว่าคำนี้ประโยคนี้เนื้อร้องแบบนี้แปลว่าอะไรนะ อยากรู้จัง แล้วเราก็มาทางศิลป์โดยไม่รู้ตัว เพราะเราไม่ชอบคณิตศาสตร์ ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเลขแต่ภาษาอังกฤษนี่สามารถท่องศัพท์เป็นร้อยคำได้
ผู้จุดประกายให้หลงรักเพลงฝรั่ง
พี่ตู่-นันทิดา แก้วบัวสายค่ะ เห็นพี่ตู่ประกวดร้องเพลง I Who Have Nothing เป็นแชมป์เอเซีย คือสมัยนั้นมีการประกวดดาวรุ่งช่อง 3 พี่ตู่-นันทิดา, ครูอ้วน-มณีนุช,คุณสุชาติ ชวางกูร เราเห็นแล้วก็รู้สึกว่าอยากเก่ง อยากประกวดบ้าง ทำยังไงดีก็แอบร้องเพลงซ้อมงูๆ ปลาๆ ของเราไป แล้วก็ไปเรียนที่วัด พระสอนภาษาอังกฤษเรา ตอนนั้นอายมากเลยนะ ไม่รู้เนื้อเลย แต่ร้องจบเพลง คือเราก็ฟัง แล้วก็จำและร้องไปตามที่หูได้ยิน เจี๊ยบรู้ทันทีเลยว่าคนร้องเพลงมั่วเป็นยังไง (หัวเราะ) พระก็ยิ้ม เราก็ไปขอเรียนที่วัด เพราะอยากเก่งภาษาอังกฤษ พอจบจากตรงนั้นจะเข้ามหาวิทยาลัย เจี๊ยบอยากเรียนนิเทศศาสตร์ ก็เลือกมหา’ลัยดังๆ ทั้งหมดเพราะมั่นใจว่าเราเรียนเก่ง แต่สุดท้ายสอบไม่ติด ได้เข้ากรุงเทพฯมาเรียนรามคำแหงคราวนี้เลือกเรียนนิติศาสตร์ เพราะสมัยนั้นคนเรียนรามฯ จะฮิตเรียนคณะนี้กัน แต่กลายเป็นว่าเราก็เรียนไม่จบอยู่ดี
ไม่ได้ใบปริญญา แต่ชีวิตก้าวเข้าใกล้ฝันอีกขั้น
เจี๊ยบแอบไปสมัครเข้าวงดนตรี เพราะพ่อไม่ชอบให้เล่นดนตรี เราก็ไปขอเขาเข้าวง จนได้เป็นนักร้องของ RUแบรนด์ ชีวิตจะอยู่แต่ที่ชมรม เห็นรุ่นพี่ที่อาร์ยูแบรนด์ไปประกวด เพื่อนๆ ก็ไปกันเยอะ อยากไปบ้าง แต่ไม่มีเงินซื้อใบสมัคร ก็พยายามหาเงิน จะไปร้องเพลงกลางคืน พ่อก็ไม่ให้อีกเขาไม่อยากให้เราเป็นนักร้อง แต่โชคดีวงเพื่อนคุณพ่อเขาขาดนักร้องที่ร้องเพลงฝรั่ง ก็เลยขอเราไปร้องด้วย คุณพ่อก็เลยให้ไป เป็นความโชคดีมากที่ได้ทำตรงนี้ มีเงินไปสมัครประกวดแล้ว แถมมีเงินเหลือส่งให้ที่บ้านด้วย เริ่มมีรายได้เองเดือนหนึ่งตกประมาณ 10,000 บาทนิดๆ แล้วหลังจากนั้นก็ออกจากบ้านป้า มาเช่าห้องอยู่เอง ส่งเงินให้ที่บ้านใช้ และพอไปประกวดร้องเพลงตามที่ฝัน ผลปรากฏว่าชนะ คราวนี้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย จากเงินเดือนหมื่นกว่าบาท มีเงินใช้เดือนละ 60,000 ร้องเพลงโชว์ มีงานอีเว้นท์ จากที่ไม่เคยมีเงินเดือน พอได้เงินมาก้อนแรกก็โทร.เรียกที่บ้านขึ้นมากรุงเทพฯเลยค่ะ พาพ่อแม่ไปเลือกซื้อทอง จากที่เคยเช่าหอพักห้องเล็กๆ ก็ย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นต์ แล้วก็ทำงานไปเรื่อยๆ
ลูกชายและคุณพ่อ
พ้นวิกฤติด้วยการปลดหนี้
ก่อนหน้านี้ พ่อเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจเปิดร้านอาหาร แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็เอาบ้านไปจำนองเพื่อหาเงินมาเลี้ยงคนในร้านให้รอด แต่สุดท้ายต้องปิดร้านไปบ้านก็จะถูกยึด พอเราได้เงินได้รถที่ชนะการประกวดร้องเพลงมา ได้นั่งรถขับวนรอบเดียว แล้วก็ให้เต็นท์รถมารับไปเลย เพื่อเอาเงินไปปลดหนี้ทั้งหมด และให้พ่อซื้อที่ไว้ จนสามารถลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง คราวนี้บอกพ่อว่าไม่ต้องทำอะไรแล้วเดี๋ยวลูกเลี้ยงเอง
งานร้องเพลงกลายเป็นอาชีพหลัก
เจี๊ยบเริ่มต้นจากการเป็นนักร้องอาชีพ ก่อนที่จะไปประกวด เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีชื่อเสียงแค่ไหนไม่ว่าจะทำงานอัลบั้มไหนๆ เจี๊ยบจะมีงานที่เป็นอาชีพหลัก มีเงินเดือนของการเป็นนักร้อง 100,000 บาททุกเดือน เพราะฉะนั้นการที่ค่ายไหน บริษัทอะไร
จะให้นนทิยาเซ็นสัญญาเข้าค่าย จะต้องการันตีเงินเดือนว่าต้องได้เท่านี้นะ เพราะเรามีภาระต้องดูแลที่บ้านค่ะ
ชีวิตหลังเป็นแชมป์ประเทศไทย
มีค่ายเพลงมาชวนเซ็นสัญญาเกือบทุกค่ายค่ะ แกรมมี่ก็มา พี่เต๋อ-เรวัติ มาขอด้วยตัวเองว่าจะเอาเราไปปั้น แต่ช่วงนั้นแกรมมี่มีนักร้องหลายคนที่ยังไม่ได้ออกเทป คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช ก็ไม่ให้ เพราะไม่อยากจะให้เอาเราไปดอง ใครมาขอก็ไม่ให้ จนกระทั่งคุณหญิงทำค่ายเองเพื่อจะให้นนทิยาออกเทป เพลงก็ไม่ผ่านโปรอีก เพลงต้องโกอินเตอร์เท่านั้น จนตั๊ก-ศิริพร ประกวดรุ่นหลังไปอยู่กับพี่แจ้(ดนุพล แก้วกาญจน์) ตั๊กดังไปถึงไหนแล้ว นนทิยายังกินบุญเก่าอยู่ เป็นนักร้องเป็นหน้าตาของประเทศ เป็นตัวแทนไปร้องงานอาเซียน แต่ยังไม่มีเพลงเป็นของตัวเองสักที จนกระทั่งตั๊กชวนไปอยู่ด้วยกัน เราก็ขอคุณหญิง ไปทำเทปกับพี่แจ้ ท่านก็ให้ไป แต่จริงๆ ท่านตั้งใจอยากให้เราไปประกวดอาเซียน อยากให้ได้ขึ้นเวทีเดียวกับพี่ตู่-นันทิดาที่เราเคยฝันไว้ ถึงขนาดส่งเจี๊ยบไปดูงานเราไปนั่งดูงาน น้ำตาไหลเลย หวังไว้ว่าปีหน้าฉันต้องได้รางวัลอาเซียน ปรากฏว่า ปีต่อมาเขาเลิกจัด... จบค่ะ
อัลบั้มเพลงชุดแรก
พอมาอยู่กับพี่แจ้ พี่แจ้สั่งให้ผอม เราก็โอเคได้ ผอม เล่นเวท ว่ายน้ำ กินยาลดความอ้วน จนได้หุ่นสวยเลย 34-26-36
แต่เตี้ยนะ 160 ไม่งั้นไปประกวดนางสาวไทยแล้วค่ะ (หัวเราะ) ออกเทปชุดแรกเป็นเทปรวมเฉพาะกิจ มีพี่วินิจ เลิศรัตนชัย, เบคกี้ (ริสา หงส์หิรัญ) คนนี้สนิทกันมาก เพราะออกอัลบั้มชุดแรกในชีวิตก็ทำด้วยกัน ชื่อชุด “สะบัด” จากนั้นก็เป็นอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง “ลีลา” ซึ่งพี่แจ้คาดหวังมาก นนทิยาจะต้องดังปรากฏเพลงออกมาแป๊ก ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่เหมือนที่คิดไว้ หลังจากนั้น เลยได้แต่ทำเพลงโคฟเวอร์เพลงพี่แจ้ โคฟเวอร์เพลงฮิตฮอตทั้งหลาย กลายเป็นเจ้าแม่โคฟเวอร์ไปเลย ไม่มีเพลงของตัวเองอีกเลย เชื่อไหมทุกวันนี้นักข่าวถามเจี๊ยบว่า เพลงไหนของเจี๊ยบที่ดัง เจี๊ยบอึ้งนะ ตอบเลยว่า ไม่มีค่ะ
เมื่อครั้งร้องเพลงประกวด
รางวัลที่ภาคภูมิใจ
รางวัลในชีวิตเจี๊ยบมี 2 รางวัลคือรางวัลสยามกลการ นิสสันอวอร์ด ปี 2531 และรางวัลพระพิฆเนศทองพระราชทาน
ปี 2540 เจี๊ยบทำงานอยู่ในแวดวงดนตรีตลอด
มีงานร้องเพลงกลางคืน วิ่งอีเว้นท์เยอะมากเดือนหนึ่งได้ห้าแสน แต่ตอนนั้นไม่ได้มีโกลด์หรืออะไร เจี๊ยบใช้ชีวิตเต็มที่มาก อยากได้อะไรซื้อ รองเท้าคู่เป็นหมื่นก็ซื้อ สมัยนั้นเงินเดือนออกปุ๊บ ชวนต้อม(ไกรวิทย์ พุ่มสุโข), เบคกี้ ร้องเพลงอยู่ด้วยกัน ไปซื้อของฉันซื้ออะไร เธอต้องซื้อ จะได้ใช้เงินเท่าๆ กัน(หัวเราะ)
ชีวิตส่วนตัว
เจี๊ยบเริ่มจาก ท้อง แต่งงาน และมีครอบครัว คือที่บอกว่าท้องก่อน เพราะว่าเราท้องถึงได้แต่งงาน(หัวเราะ) งานเพลงก็เริ่มเบาลง แต่ยังเป็นมือปืนรับจ้างร้องเพลง ออกอัลบั้มเป็นบางชุด ชั่วครั้งชั่วคราว ร้องกลางคืนอยู่จนท้องได้ 8 เดือนก็ยังร้อง จนเบคกี้บอกว่าจะร้องจนลูกทะลักเลยหรือไงเราถึงได้หยุด หยุดเดือนหนึ่งก่อนคลอดแล้วก็ 3 เดือนให้นมลูกเสร็จ ก็กลับมาร้องต่อเลย เพราะนี่คืออาชีพเจี๊ยบจริงๆ เราเป็นคนขายเสียง เพราะฉะนั้นคนที่มา เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องสวย ถึงเราท้องป่องแต่เรายังร้องเพลงได้
ครอบครัว ณ ปัจจุบัน
เจี๊ยบมีลูก 2 คน คนโตผู้ชาย คนเล็กผู้หญิง ห่างกัน 6 ปี กำลังวัยรุ่นเลยค่ะ ส่วนกับสามีตอนนี้แยกทางกันแล้ว จริงๆไม่เคยประกาศกับใคร เพราะเห็นแก่ลูก กลัวเขารับไม่ได้ อยากเซฟความรู้สึกลูก แต่ตอนหลังเขาก็เริ่มเข้าใจ เพราะเราไม่ได้ทะเลาะอะไรกันไม่ได้มีใครใหม่ เราแค่ถึงจุดที่อยู่ด้วยกันไม่ได้เท่านั้นค่ะ จากนั้นเจี๊ยบก็เริ่มกลับเข้ามาในวงการใหม่อีกครั้ง รับเล่นละคร เล่นหนัง ส่วนใหญ่จะรับงานแสดงปีละเรื่อง งานเพลงก็ไม่เคยขาด ยังร้องเพลงเป็นอาชีพอยู่ รับจ้างร้อง รับจ้างสอนไปเรื่อยๆ ค่ะ
จุดมุ่งหมายในชีวิตตอนนี้
ตอนนี้โกลด์ของเจี๊ยบคือดูแลผลิตผลที่เราสร้างขึ้นมาให้ดีที่สุด ดูแลครอบครัวให้ดีที่สุด โกลด์ก็เปลี่ยนไปเป็นอยากมีบ้านหลังที่สอง คือชีวิตหลังจากที่ตอนนั้นโกลด์คือลูก เก็บเงินเลี้ยงลูก ดูแลลูก มีบ้าน โกลด์ต่อไปของเจี๊ยบจากนี้ก็คือ บ้านหลังที่สอง อยากใช้ชีวิตแบบปลูกผักกินเอง กลางวันก็เปิดร้านกาแฟทำขนมปังโฮมเมด ทำอะไรกินกันเอง กลางคืนก็ดื่มไวน์สักแก้วสองแก้วเพื่อสุขภาพ เพื่อนฝูงมาก็เก็บผักทำสลัดกินกัน เป็นความฝันในบั้นปลายชีวิตค่ะ ตอนนี้กำลังมองหาทำเลดีๆ อยู่ค่ะ
สุขภาพร่างกาย
เจี๊ยบอ้วนมาตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ คุณแม่ก็เป็นเบาหวาน เสียไปแล้ว เราเลยกลัวที่จะเป็นเหมือนแม่ ทำให้หันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพตัวเองมากขึ้น โชคดีที่ไม่มีโรคประจำตัวแต่ถ้าไม่ระวังก็อาจจะเป็นได้เหมือนกันค่ะ เพราะตอนนี้คอเลสเตอรอลสูง ค่าไขมันเหลวเยอะกว่าค่าไขมันดี ทำให้ต้องพยายามดูแลร่างกายให้มาก ตอนนี้ดีขึ้นเยอะค่ะคุณหมอก็ดีใจที่ร่างกายเราดี แต่ก็ต้องกินยาควบคุมเรื่องไขมัน คอเลสเตอรอล สิ่งที่ตัวเองชอบดื่มชอบกินก็กินไม่ได้แล้ว เพราะปกติเราเป็นคนชอบดื่ม ชอบปาร์ตี้ เป็นปาร์ตี้เกิร์ล เที่ยว แต่ตอนนี้หยุดหมด หลังจากเห็นช่วงบั้นปลายของคุณแม่ ทำให้เรากลัว และหยุดไปเองค่ะ
คอนเสิร์ตครั้งแรกในชีวิต “Music is my life”
ไม่เคยมีคอนเสิร์ตของตัวเองเลย เคยแต่ไปรับเชิญชาวบ้านเขา ใฝ่ฝันอยากจะมีคอนเสิร์ตแบบดีๆ อลังการสักครั้งหนึ่ง เคยคุยกับทางเฉลิมกรุงเมื่อปีก่อนแต่คิวไม่ลงตัวกัน พอปีนี้เขาติดต่อมาอีก เราก็คิดว่าถ้าปฏิเสธ ก็คงต้องรอไปอีกปี แล้วก็ไม่รู้จะได้ทำไหม เลยตอบรับที่จะทำทันที เป็นครั้งแรกของเราด้วย เลยรู้สึกว่า ฉันอยากจะให้ออกมาเพอร์เฟกท์ คนที่มาจะได้เห็นและฟังเพลงที่อยู่ในชีวิตเจี๊ยบ เพลงที่อยากจะร้อง แล้วก็ร้องกับคนที่เรารัก นอกจากนี้สิ่งที่คุณจะได้เห็นคงเป็นบรรยากาศที่อบอุ่น จากคนสนิทจริงๆ ลูกศิษย์ที่รัก เพื่อนพ้องในวงการที่พร้อมใจกันมาช่วย
อีกหนึ่งฝันที่กำลังจะเป็นจริง
คอนเสิร์ต “Music is my life” นนทิยา จิวบางป่า จะมีขึ้นวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคมนี้ค่ะ รอบบ่ายสองโมง ที่ศาลาเฉลิมกรุง ติดต่อซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา บัตรราคา 1,000 , 700 และ 500 บาท(ขายของเรียบร้อยค่ะ) เรียกว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักเจี๊ยบ- นนทิยา แต่เขาจะรู้ว่าเราเคยเล่นละคร เป็นครูสอนร้องเพลงของ กัน เดอะสตาร์, เจมส์ มาร์เป็นคอมเม้นเตเตอร์ในรายการ KPN อยากให้มาดูกันค่ะ ครั้งแรกในชีวิต ไม่ได้บอกว่าจะเลิศหรูเพอร์เฟกท์ แต่ทุกเพลงที่ร้องเป็นเพลงในชีวิตของ เจี๊ยบ-นนทิยา แล้วก็เป็นคนที่ร้องเพลงแล้วมีความสุข อยากจะร้องเพลงให้คนฟังคนดูมีความสุขเช่นกัน คุณจะได้เห็นชีวิตของเจี๊ยบ คุณจะได้เห็นคนสำคัญในชีวิตเจี๊ยบ เห็นสิ่งที่นนทิยาทำด้วยความรัก เห็นเพชรที่นนทิยากำลังเจียระไน เจี๊ยบถือว่าอาชีพเจี๊ยบอีกอันหนึ่งคือเป็นครู ที่เป็นช่างเจียระไน เจี๊ยบเป็นนักเจียระไนเพชร เพชรที่จะไปประดับบนเรือนมงกุฎที่ไหนก็ตาม ต้องเป็นเพชรเม็ดเอก หรือเป็นยอดมงกุฎ วันนั้นเราจะมีความสุขไปกับบรรยากาศที่อบอวลด้วยความรักความอบอุ่นกันค่ะ
อัลบั้มเพลงชุดแรก
แม้ “เจี๊ยบ” นนทิยา จิวบางป่า จะเป็นนักร้องที่ไม่มีเพลงดัง แต่ทุกสิ่งที่เธอทำคืองานรังสรรค์อันเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ทุกบทเพลงคือรักที่กลั่นออกมาเป็นเสียงขับขาน และวันนี้เธอกำลังจะได้ทำฝันให้เป็นจริงในคอนเสิร์ต “Music is my life” นนทิยา จิวบางป่า
ใบพร้าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี