จากหนุ่มที่รักในศิลปวัฒนธรรมไทย ด้วยความสามารถในการเล่นโขนและการต่อสู้ นำมาสู่บทบาทการเป็นนักแสดง วันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับหนุ่มหน้าไทย “เอ็กซ์-พรเลิศ พิพัฒน์รุ่งเรือง” พระเอกป้ายแดงจากภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ “400 นักรบขุนรองปลัดชู”
บทบาทหน้าที่รับผิดชอบ
ปัจจุบันคือผมรับราชการที่สำนักการสังคีต กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตำแหน่งนาฏศิลปิน ชำนาญงานมีหน้าที่เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมก็คือแสดงโขน แสดงศิลปวัฒนธรรมอะไรที่เกี่ยวกับไทยๆ ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองโดยการแสดงโขนให้ชม เล่นโขนมาตั้งแต่ ปี2537 โดยผมถูกฝึกให้เล่นเป็นตัวลิง จะเล่นได้ทุกตัวครับ ตอนเด็กก็จะเริ่มเล่นลิงเล็กๆ แล้วก็พัฒนาไปเป็นลิง 18 มงกุฎลิงพญา จนได้มีโอกาสเข้ามาสอนฟันดาบให้กับพี่ๆนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง 400 นักรบขุนรองปลัดชู และผมได้ร่วมแสดงด้วยในบทอื่นในตอนแรก แล้วค่อยได้ขยับมาเล่นเป็นพระเอกจากการเลือกของ “ป๋าพยัพ คำพันธุ์” และ “พี่โอ๋-ฐาปกรณ์” รวมทั้ง “พี่บอย-เจตนิพัทธ์ ” ผู้กำกับด้วยครับ
สิ่งที่ฝันและรอคอย
เคยฝันตอนอายุ 20 กว่าๆ ว่าอยากจะเล่นหนังเล่นละคร เพราะเราคิดว่าเราทำได้อย่างที่เขาทำนะ แต่ก็ไม่มีโอกาสคือเคยไปแคสละคร และเกือบจะได้เล่นละครเรื่องหนึ่งแล้วก็เงียบไป จนผ่านมาสิบปีผมก็เห็นละครเรื่องนั้นออนแอร์ แต่ว่าเป็นอีกชื่อหนึ่งซึ่งเราจำพล็อตเรื่องได้ เราก็เลยเลิกคิดไปแล้วกับการเข้าวงการ มุ่งมาทางโขนเลยดีกว่า เวลาผ่านไปเราได้มาเป็นนักแสดงแล้วมันเหมือนฝันที่เป็นจริง (ยิ้ม) และเราได้ทำในสิ่งที่เราถนัดในวัย 37 ซึ่งผมรู้จักกับพี่บอยผู้กำกับเพราะว่าเราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันที่วิทยาลัยนาฏศิลป์พอมีโปรเจกท์หนังเรื่องนี้พี่บอยเห็นว่าผมถนัดอยู่แล้วก็เลยชวนให้ลองมาช่วยเล่นเป็นพ่อดอกพ่อแก้วคู่กับ “พี่เก่ง-ชัชวาล” และมาเป็นครูสอนด้วย เราก็ซ้อมไปซ้อมมา จนถูกขยับบทบาทมาเป็นขุนรองปลัดชูก็ไม่รู้ว่าด้วยดวงหรือเปล่าและด้วยหลายอย่างประกอบกับผมไปเข้าฟิตเนสฟิตหุ่นเฟิร์มพอดีตอนแรกที่รู้ว่าได้เล่นเป็นพระเอกผมก็งงๆ เพราะว่าผมไปเล่นโขนอยู่ที่สุพรรณบุรีแล้วพี่บอยก็โทร.มาบอกว่าให้เข้ามาหาป๋าด่วนเลย แล้วป๋าก็บอกว่าให้ผมเล่นเป็นตัวนี้ ก็รู้สึกดีใจมากก็เลยรีบเอาพวงมาลัยไปไหว้พี่โอ๋ฝากตัวเป็นลูกศิษย์
กับบทบาทที่ได้รับ
ขุนรองปลัดชูที่ผมได้รับนี้ ผมตีความว่าท่านแบกภาระหนักอึ้ง ท่านรู้ว่าถ้าออกไปแล้วจะเป็นยังไง การที่ถูกสั่งให้คุมคน 400 คน ออกไปยันทัพก็เหมือนว่าต้องไปเสียสละเสี่ยงชีวิต แต่ว่าก็ต้องไป แล้วไม่ได้ไปคนเดียวคือเราพาพ่อคนนู้นมาพาสามีคนนั้นมา แต่ลึกๆ ก็หวังว่าจะไม่เป็นอะไร เป็นคนที่มุ่งมั่นรักชาติบ้านเมืองรักเพื่อนฝูงเสียสละเป็นผู้นำกล้าตัดสินใจ กับบทนี้ด้วยความที่ผมได้มีการพูดคุยกับป๋าพยัพ แล้วก็พี่บอยและพี่โอ๋แล้ว และด้วยบุคลิกผมเป็นคนตาเศร้าด้วยมั้งครับ รวมทั้งชั้นเชิงการฟันดาบผมค่อนข้างทำได้ถนัดคล่องอย่างที่ป๋าต้องการก็เลยมอบให้ผมรับบทบาทนี้ คาแร็กเตอร์อาจจะตรงพอดีในสายตาของผู้ใหญ่
โชว์ศักยภาพการบู๊เต็มที่
ผมบู๊ทุกอย่างครับ ตั้งแต่บู๊บนพื้นดินบู๊บนหลังม้าสู้กับช้างดำน้ำไปสู่ฝึกวิชาใต้น้ำ ตั้งแต่ล่างสุดยันบนสุด แต่ได้ไม่เหนื่อยนะครับผมชอบมันก็เลยผ่านไปได้มีความสุขที่ได้ทำ อย่างฉากที่เพนียดคล้องช้างเป็นฉากที่ผมต้องเดินบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหนามกระสุนทีมงานพยายามเคลียร์แล้วแต่มันก็ยังไม่หมด ผมก็เดินจนเท้าพรุนไปหมด แต่ด้วยความรักมันก็เลยไม่เหนื่อย
นักแสดงใหม่ขอพิสูจน์ฝีมือ
เป็นนักแสดงใหม่คนเดียว แรกๆ ยอมรับว่ากดดันมากครับ แต่ว่าพี่ๆ นักแสดงพี่บอย ป๋าพยัพก็ช่วยกันตะล่อมผมและทำให้ทุกคนเชื่อในตัวผมให้ได้ ถ้าได้ชมในภาพยนตร์จะเห็นว่าฉากสุดท้ายที่ผมคุยกันแล้วว่าไม่เป็นไรนะสิ่งที่เราทำเนี่ยเราทำเพื่อแผ่นดินเราจะยังคงอยู่สืบต่อไป ฉากนี้ผมเข้าไปในตัวละครมาก พี่ๆ ทุกคนก็ร้องไห้ตาม ผมเองพูดไปก็ไม่ได้อยากจะร้องไห้แต่ว่าน้ำตามันไหลออกมาเองมันอินมาก คนที่เข้าไปดูแล้วผมไปเซอร์ไพรส์หน้าโรงทุกคนออกมาร้องให้เพราะว่าเขาอินกับหนัง แต่ผมมีความสุขมาก ตอนแรกเขาก็ไม่แน่ใจว่าใช่เราหรือเปล่าเพราะว่าการแต่งตัวเราไม่เหมือนกับในหนังพอเขารู้ว่าใช่เขาก็โผเข้ามากอดขนลุกเลย เด็กๆ ก็เดินร้องไห้เข้ามารุม เราก็รู้สึกดีครับ แล้วมีอยู่ช็อตหนึ่งคุณพ่อเขาส่งคลิปมาให้ดูว่าก่อนเข้าโรงหนังลูกชายเขาพูดไดอะล็อกที่ผมพูดในทีเซอร์เลย พอเขาออกจากโรงหนังมาเขาก็เดินร้องให้แล้วมาคุกเข่าตรงหน้าโปสเตอร์หนังแล้วก้มลงกราบเด็กเขาอินครับเขารู้สึกยังไงเข้าก็แสดงออกอย่างนั้น แต่ก็เข้าใจนะว่าเขาอาจจะไม่รู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ แต่เขารู้ว่าขุนรองปลัดชูเป็นฮีโร่ของเขา ฮีโร่ต้องชนะสิแต่สุดท้ายไม่ชนะเขาก็เลยเศร้า ผมก็เลยบอกเขาไปว่าอาจจะแพ้ในเรื่องนะ แต่ว่าชนะข้าศึกที่เขายังต้องยอมให้นำร่างขุนรองปลัดชูกลับมาอย่างสมเกียรติ ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ในหนังคือเราจะไม่ให้ใครเกลียดใครเขาก็รักบ้านเขาเราก็รักบ้านเรา
ย้อนวันวานในวัยเด็ก
ตอนเด็กๆ ผมชอบวาดรูปนะแล้วก็ชอบฟันดาบตัดทางมะพร้าวมาแล้วก็เหลาทำเป็นดาบเล่นฟันกับเพื่อนความบู๊ความซนนี่มีมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับชอบดูหนังจีนเห็นเขาฟันดาบเราก็ชอบและทำตาม แล้วพอดีพี่สาวผมเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์ เขาก็ชักชวนให้มาเรียนด้วยกัน ก็เลยเริ่มชอบแล้วในขณะที่เรียนก็ได้ไปแสดงตามงานต่างๆ ได้เบี้ยเลี้ยงเราสามารถหาเงินได้เองตั้งแต่เด็กและค่าเทอมก็ถูกมากแค่สองร้อยกว่าบาทเอง ไม่ได้ขอเงินพ่อแม่เลย เราเรียนไปเราก็ได้นำพื้นฐานนั้นไปแสดงเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็ยังแสดงอยู่นะครับที่โรงละครแห่งชาติ
ความภาคภูมิใจสูงสุด
ทุกครั้งก็เต็มที่กับการแสดง แต่การแสดงที่ให้พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ทอดพระเนตร เป็นความภูมิใจหมดเลยครับ ตั้งแต่ผมเป็นลิงเล็กๆ ตอนเด็กๆ เวลามีพระราชอาคันตุกะมา ในหลวง รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านก็จะเสวยในพระที่นั่งจักรีพอท่านเสวยเสร็จก็ลงมาประทับชมการแสดง เราเล่นเป็นลิงเล็กๆ ก็ดีใจแล้วครับ จะมีความภูมิใจทุกครั้ง และมีครั้งหนึ่งที่ใกล้ชิดที่สุดก็น่าจะเป็นเมื่อปี 2553 เป็นโขนพระราชทานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ครูเลือกให้ผมเป็นตัวแทนรับช่อดอกไม้จากพระองค์ท่านด้วยครับ นอกจากนี้ก็มีตามเสด็จฯสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไปเจริญสัมพันธไมตรี
ฉายแววนักบู๊
คือในขณะที่เราเรียนโขนซึ่งโขนก็จะเป็นวิชาเอก แล้ววิชาโทผมเลือกกระบี่กระบอง ซึ่งพื้นฐานผมชอบตั้งแต่เด็กอยู่แล้วฟันดาบชอบก่อนที่จะชอบโขนอีก ตอนที่เรียนโขนชั้นกลางก็เห็นพี่ๆ เขาเรียนกระบี่กระบองเราก็ไปนั่งดูชอบเลยแอบเล่นบ้าง พอถึง ม.4 มันมีวิชาที่ให้เรียนเราก็เลยได้เรียนหลังจากเรียนในชั่วโมงแล้วเราก็ยังไปขอครูเขาเรียนนอกเวลาอีก ตอนแรกครูยังไม่ยอมสอนนะครับก็ไปช่วยงานครูต่างๆ นานาจนครูเห็นใจในความพยายามของเราก็เลยยอมสอนให้ผมกับเพื่อนสองคน ได้เรียนพื้นฐานกระบี่กระบองซึ่งเป็นดาบสองมือก่อน แล้วก็เรียนอาวุธไทยต่างๆ มวยไทยคาดเชือก
ศิลปะไทยกับความภาคภูมิใจ
มันเหมือนเราถูกขีดมาแล้วมั้งครับผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าผมชอบด้านนี้ได้ยังไง สำหรับผม ผมว่ามันง่ายนะ บางคนอาจจะมองข้ามความสำคัญของโขนเพราะใกล้เกินไป หรืออาจจะยากเกินไปสำหรับเขา แต่กลับกันเวลาที่ผมมีโอกาสได้ไปแสดงยังต่างประเทศ คนไทยที่นู่นพอเห็นเราไปเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมแล้วชาวต่างชาติเขาเฮเขาชื่นชม ในฐานะที่พวกเขาเป็นคนไทยเขาจะมีความภาคภูมิใจในความเป็นไทยมาก แล้วเขามาพูดกับผมเลยว่าตอนที่เขาอยู่เมืองไทยเขาไม่เคยสนใจทางด้านนี้เลย เขาภูมิใจกันมากแล้วพอกลับมาเมืองไทยเขามาเรียนโขนก็มีครับ ส่วนในครอบครัวของผมเองก็สนับสนุน คอยดูคอยให้กำลังใจเวลาเราซ้อมเราเหนื่อย พอเราประสบความสำเร็จระดับหนึ่งก็เหมือนจะเป็นแบบอย่างให้กับน้องๆ ก็จะมีลูกๆ หลานๆ หรือว่าน้องๆ ที่เขาอยากจะมาเรียนโขน ซึ่งผมก็จะแนะนำให้ไปเรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลป์เลยเพราะว่าเขาจะได้ไปเจอเพื่อนๆ ถ้าจะมาเรียนตัวต่อตัวกับผมก็ได้แต่ว่าเขาจะไม่มีสังคม การที่เขาไปเรียนกับเพื่อนๆ ได้ไปปรับพื้นฐานละลายพฤติกรรมไปเรียนเป็นกลุ่มเพราะโขนสอนให้อดทนสามัคคี โขนไม่สามารถเล่นคนเดียวได้ในหนึ่งตอนมันต้องเป็นทีม การยกขาจะต้องพร้อมกันระดับเดียวกันมันสวยด้วยความพร้อมลองคิดดูว่าเราใส่หน้ากากหมดแล้วตามองเห็นแค่นิดเดียวหายใจก็แทบจะไม่ได้ แต่ทำไมขาเรายกพร้อมกัน เพราะว่าถูกฝึกมาอย่างหนักกว่าจะเล่นได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย
ผมภูมิใจที่ได้สืบสานศิลปะประจำชาติของเรานะครับ และถือว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้มาทำในสิ่งที่รัก ภาพยนตร์เรื่อง 400 นักรบขุนรองปลัดชู เป็นการปลูกจิตสำนึกและเป็นประโยชน์เพื่อแผ่นดิน ถึงคนดูจะไม่เยอะมากในเวลานี้แต่ว่าเชื่อว่าคนที่เขาไปดูจะประทับใจ เท่าที่ผมได้ฟีดแบ๊กกลับมา และแม้ว่าตอนนี้ภาพยนตร์จะออกโรงไปแล้ว แต่ก็สามารถติดตามในรูปแบบดีวีดีได้ครับ แต่ถ้าใจร้อนรวมตัวคนได้เยอะๆ เหมาโรงดูกันได้ ก็ฝากผลงานของผมไว้ด้วยนะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี