เชื่อว่าหลายคนตกหลุมรัก “นภ พรชำนิ” ในฐานะนักร้องหนุ่มเจ้าของเพลงรักโรแมนติก ที่ไม่ว่าจะทำเพลงไหนก็ซาบซึ้งประทับใจ แต่อีกหนึ่งบทบาท ณ วันนี้ที่เขาทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ ไม่แพ้การทำเพลง ก็คือบริษัท ไลฟ์อีส (LIFEiS) ที่ทำร่วมกับพี่ชายสุดที่รัก “บอย โกสิยพงษ์” ด้วยหวังขับเคลื่อน ความรัก ความหวัง ให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในสังคมไทย เรียกว่าเป็นงานใหม่ที่ทั้งท้าทายและน่าตื่นเต้น... เมื่อมีโอกาสพิเศษ ได้นั่งร่วมโต๊ะกับ CEO นภ พรชำนิ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” จึงไม่พลาดอัพเดทชีวิตของเขามาฝากกันแบบหมดเปลือก
เหตุที่ย้ายไปอยู่อเมริการ่วม 10 ปี
หลังจากบ้านเมืองเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นผมหนีเลย ผมอยู่ไม่ได้ เพราะผมเป็นคน Sensitive ก็เลยตัดสินใจกับคุณเพลิน (ภรรยา) ไปอยู่ที่อเมริกา จนทุกอย่างสงบลง ตอนแรกผมหมดความหวังกับประเทศเราไปเลยนะ ดูแล้วไม่มีทางที่จะออกมาจากหมอกควันนั้นได้
กลับสู่บ้านเกิดอีกครั้ง
ช่วงเวลาหนึ่งก็ทำให้ผมมีความหวังขึ้นมา คิดว่าเราน่าจะเริ่มต้นทำอะไรได้บ้าง ก็เลยเกิดเป็น ไลฟ์อีส (LIFEiS) ทำโดยไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นยังไง ทำโดยไม่แน่ใจด้วยว่าความคิดนี้ของเรา จะถูกอะไรมาบดบังไหม เหมือนอย่างที่เพลงเราเคยถูกบดบัง ด้วยการทะเลาะเบาะแว้งตอนนั้นผมทำอัลบั้มเพลงเพื่อชีวิตขึ้นมา เพื่อที่จะให้คนได้ฟัง และน่าจะเกิดประโยชน์ต่อคนฟังแน่ๆ ตั้งแต่เพลงแรกจนเพลงสุดท้าย มันคือความสำคัญของมนุษย์ ในเชิงบวกนะ อัลบั้มนั้นเป็นอัลบั้มที่ผมเชื่อว่าเพราะที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลย แต่ก็ต้องถูกบดบังไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้งของคนในสังคมบ้านเรา ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วพี่บอย (บอย โกสิยพงษ์) กับผมมองว่า ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นได้เลย ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย เรื่องราวแบบนั้น แต่พอมาถึงวันนี้ก็เป็นข้อคิดและมองไปในทางที่ดีว่าสิ่งเหล่านั้นแหละทำให้เกิด ไลฟ์อีส (LIFEiS) ขึ้น
อะไรคือ ไลฟ์อีส (LIFEiS)
ผมกับพี่บอย(บอย โกสิยพงษ์) ทำงานเพื่อที่จะบอกว่า โลกนี้ยังมีความหวังดีต่อกันและกันอยู่เสมอไลฟ์อีส ก็แตกย่อยมากจาก “เลิฟอีส” (LOVEiS) ซึ่งไลฟ์อีส มองง่ายๆ ว่า ไม่ว่าจะกิจกรรมใดๆ ก็ตาม นอกจาก Entertainment แล้ว กิจกรรมนั้นจะทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ต่อตัวคุณเอง ต่อคนรอบข้าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจความเป็นมนุษย์ และเข้าใจในศักยภาพของตัวเองว่าคุณสามารถสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและคนอื่นได้ ฉะนั้นจากเลิฟก็เลยกลายเป็นไลฟ์ ชีวิตเรามีความหมายที่อยู่เพื่อกันและกันครับ
เริ่มก่อร่างสร้างไลฟ์อีส
ไลฟ์อีส ก่อตั้งโดยผมและพี่บอย ซึ่งผมรับหน้าที่เป็น CEO แล้วก็มีทีมงานที่เป็นเบื้องหลัง คอยประชุมไอเดียกันทุกๆ เดือน ผมก็จะเป็นคนขับเคลื่อนทุกกิจกรรม เรามั่นใจว่าเรามี social business ที่ทำอยู่แล้วเต็มไปหมดช้างเผือกที่เก่งๆ ทั่วประเทศเต็มไปหมด ไลฟ์อีส เป็นแค่ตัวกลางที่จะเชื่อมภาคสังคมและภาคธุรกิจเข้าด้วยกันให้เกิดการผ่อนถ่ายทรัพยากร ให้เกิดการมองเห็นทั้งสองฝั่งว่า มีฝั่งนี้ด้วย เกิดเป็นผลผลิตใหม่ๆ ที่เชื่อมสองฝั่งเข้าด้วยกัน ไลฟ์อีส ก็จะเอาองค์ความรู้เหล่านี้เข้าไปเติมให้ โดยตัวของมันเอง พี่บอยบอกว่า “เขาไม่เชื่อเรื่องความมืดเชื่อว่าความมืดไม่มีอยู่จริง ความมืดมันแค่อยู่ห่างไกลจากแสงสว่างเท่านั้น เพราะฉะนั้นความไม่รู้เช่นกัน เราก็แค่เอาความรู้ความเข้าใจไปใส่ให้เขา แล้วเขาจะรู้ทันที” ไลฟ์อีส ถือว่าเป็นแค่คอนเซ็ปต์ของการมองโลกในแบบที่เราจะอยู่เพื่อเกื้อกูลกันและกัน จากองค์ความรู้ที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน วันใดวันหนึ่งก็ต้องได้ร่วมงานกันอยู่แล้ว
เราเริ่มก่อตั้งมาประมาณ 6-7 เดือนแล้วครับ ผมเองก็เพิ่งย้ายกลับมาจากอเมริกา ก็เลยเริ่มสร้างทีม เราจะต้องเริ่มผลิต Product อย่าง LOVEiS เราผลิตศิลปิน ด้วยการนำความรู้ ความสามารถของเราตลอด 25 ปีในเบเกอรี่มิวสิก ในการสร้าง Content ผ่านศิลปิน ผ่านอัลบั้มเพลง ฉะนั้น LIFEiS ก็เช่นกัน เราสร้างคอนเทนท์สร้างอีเว้นท์ สร้างผลงานผ่าน “ฮีโร่” ซึ่งเราคิดว่าคนคนนั้นมีคุณค่าต่อสังคม ผ่าน 3 คอนเซ็ปต์ ที่เราแบ่งไว้คือ 1.Life stage ออกแบบให้สอดรับกับทุกช่วงวัยในชีวิต 2.Life Supplement การเติมวิตามินบำรุงจิตใจให้ตรงตามแต่ละช่วงวัย 3.Lifestyle การให้กิจกรรมนั้นๆ เป็นส่วนหนึ่งของวิถีการดำรงชีวิต โดยแต่ละช่วงวัยก็แบ่งออกเป็น วัยเด็กเล็ก, ประถมฯ, ม.ต้น, ม.ปลาย, นักศึกษา วัยแต่งงานและวัยเกษียณ ซึ่งแต่ละช่วงอายุก็จะมีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์คอยดูแลให้คำปรึกษา เช่น “เพลิน ประทุมมาศ” ภรรยาของผม ที่ศึกษาด้านเด็กเล็กก็เข้ามาดูแลในส่วนของศักยภาพเด็ก พัฒนาการต่างๆ ของเด็ก เป็นต้น
แรงบันดาลใจในการทำ ไลฟ์อีส
มาจาก “เลิฟอีส” (LOVE iS) ครับ คือเราก็ไม่เคยเห็นต้นแบบ อะไรแบบนี้จากที่ไหนเลยนะ ผมนั่งดูวีดีโอ TED Talks มันมีประโยชน์ก็จริง แต่มันแค่อินสปาย มันยังไม่ experiential events มันยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงความคิดคนแบบจริงๆ ตรงนี้แหละที่ไลฟ์อีสจะทำจริงๆ เราไม่ใช่แค่อินสปาย เราจะต้องคอนเนคกับคน แล้วเราจะต้องรู้ว่า You can do it, you can changeคุณสามารถพัฒนาตัวเอง เราเชื่อมั่นว่า experiential events ของเราเกิดจากการบ่มเพาะของคนคนนั้นเอง แล้วเอฟเฟกท์ต่อคนนั้น ก็จะเกิดขึ้นด้วยตัวของเขาเอง เราจะไม่ไป Putting แต่เป็นการ Training คือการเติมเต็ม และติดตามผล ผมจะไม่ดึงไลฟ์อิสไปในเชิงแก้ปัญหาครับ
โครงการที่ไลฟ์อีสทำอยู่ ณ ปัจจุบัน
“โครงการข้าวเพลงรัก” จังหวัดสุพรรณบุรีแล้วก็ “โครงการปลูกขอนแก่น” ที่จังหวัดขอนแก่น เป็นการปลูกต้นไม้รอบบึงของแก่น ประมาณ 2 ล้านต้น โดยคนขอนแก่นเอง ไลฟ์อีส ก็จะเข้าไปช่วย รวมหน่วยงานราชการต่างๆ กรมป่าไม้ เทศบาล โรงเรียน คนขอนแก่นที่เป็นแฟนเพลงของพวกเรา มาปลูก ทำอุโมงค์ต้นไม้ คืองานนี้เริ่มต้นจากแนวความคิดของ ไลฟ์อีส จริงๆณ ตอนนี้โครงการของเราที่เห็นเป็นรูปเป็นร่างเลยมีสองอันนี้ และกำลังเริ่มอีกเพียบเลย เพราะว่าเราเพิ่งเริ่มเปิดตัวกัน แล้วต่อไปก็จะเริ่มกระจายสารเหล่านี้ออกไป ว่าเรายังมีสิ่งที่ ไลฟ์อีส ทำอยู่นะ ที่เป็นรูทีน แล้วเราก็ยินดีต้อนรับที่จะ Plug-in กับสิ่งที่คุณทำอยู่ที่จังหวัดของคุณ ถ้าไลฟ์อีสเข้าช่วยได้ เรายินดีช่วยหมด ไม่ว่าจะภาครัฐ หรือเอกชน ประชาชนก็ตาม ช่วยหมด ผมมั่นใจว่าถ้าเมื่อไหร่มันไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง มันสำเร็จแน่นอน และสำเร็จอย่างยั่งยืน เพราะคนในสังคมจะเป็นคนดูแลเองเพราะฉะนั้นคนที่ทำงานเพื่อพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน คิดถึงคนอื่นก่อน ซึ่งก็ใช้เงินไม่เยอะ กำไรตกอยู่กับคนชุมชน ไลฟ์อีส จะเชื่อมโยงให้เขาเติบโตได้อย่างมั่นคง และถาวรด้วยตัวของเขาเอง คนเหล่านี้ก็จะไม่ใช่มูลนิธิ เขาจะผันตัวเองไปเป็น social business ที่ดูแลเรื่องการกำจัดวัชพืช เป็นหน่วยงานย่อยที่ดูแลกันเอง นี่ก็เป็นการสานต่อแนวพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ ๙ อย่างหนึ่งครับ เมื่อกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว ถ้าเราได้ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาทำให้ชาวนาที่มีพื้นที่อยู่แล้ว มันก็จะทำให้มีเศรษฐกิจที่พอเพียงและเฟื่องฟู และกำไรด้วย และผมยินดีมาก ถ้าจะมีใครคิดทำแบบเรา ยินดีให้ทุกคนและทุกหน่วยงานใช้แพลตฟอร์มของ ไลฟ์อีส ไปช่วยกันทำให้สังคมเราดีขึ้นครับ
แล้ว นภ พรชำนิ ได้อะไรจากตรงนี้
ได้ทำครับ (หัวเราะร่วน) ผมมั่นใจว่าแนวความคิดอันนี้ มันจะเกิดเป็นผลลัพธ์ที่ต่อเนื่องไปไม่รู้จบ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เราก็ต้องการผู้สนับสนุนเสมอ ไม่ต่างกัน เราทำอัลบั้มเพลงออกมา ถ้าไม่มีคุณภาพ ก็ไม่มีคนฟัง ไม่มีคนสนับสนุน ไม่มีคนซื้อตั๋วมาดูคอนเสิร์ต แต่ของผมเป็นยิ่งกว่าอัลบั้ม เป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อคนมากมาย ทำไมจะไม่มีคนซัพพอร์ต ผมมั่นใจว่ามีแต่ได้กับได้ รวมทั้งคนที่ทำงานในกลุ่มของไลฟ์อีสด้วย ทุกคนก็ได้ใช้ความรู้ความสามารถในการเติมพลังชีวิตให้กับทุกคนได้อย่างตรงเป้าหมาย แล้วก็ได้ค่าจ้างด้วย ทำกันเป็นระบบบริษัท ที่มีเงินทุน มีเงินเดือนเช่นกับบริษัททั่วๆ ไปครับ
ไลฟ์อีส ต่างจากมูลนิธิอย่างไร
แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเลยครับ คือมูลนิธิมีเป็นหมื่น เป็นแสน ซึ่งเขาก็มีจุดประสงค์ในการทำแต่ละอย่าง ไม่เหมือนกัน ซึ่งไลฟ์อีสจะเป็นลักษณะการสร้างโปรแกรมในการพัฒนาแบบยั่งยืน ไม่ได้เปิดรับบริจาค แต่เรากำลังสร้างโปรแกรมที่เป็นประโยชน์ต่อคน เพื่อการเชื่อมโยงระหว่างคนในสังคมกับองค์ความรู้ แล้วทำให้เกิดประโยชน์กับทุกๆ คน
แม้ไม่ตรงสายที่เรียน แต่ก็จะลงมือทำ
ผมเองจบวิศวะมา แต่ก็ถูกบังคับให้ไปร้องเพลง แล้วก็ทำเพลงมาเรื่อยๆ แต่จุดมุ่งหมายในชีวิตผมจริงๆ เลยคือ ผมอยากทำงานเพื่อสังคม และเกิดประโยชน์ต่อสังคม ผมเชื่อว่าเพลงเป็นประโยชน์ต่อสังคมอยู่แล้วล่ะ แต่มัน Indirect ไปนิดหนึ่ง รอคนฟังเข้าใจอาจจะช้าไปสักหน่อยแต่ไลฟ์อีสก็ไม่ต่างจากเพลงที่ผมร้องเลย แต่มันเป็น Practice คือทำเลย จริงๆ วันนี้ผมประกาศไปว่า ลุย! ผมเชื่อว่าแฟนเพลงของผมในหลักประมาณ 4-5 หมื่นคนนี่ เขาลุยกับผมแน่นอน “พี่นภอยากให้ช่วยอะไรบอกมา”เราไม่ต้องรออะไรเลย เราสามารถทำได้เลย แล้วก็สามารถทำเป็นรูปเป็นร่างได้ เล็ก ย่อม กลาง ใหญ่ จิ๋ว ได้หมดแล้ว แต่โปรแกรมที่เราจะเอาเข้าไปใช้ ต้องเป็นโปรแกรมที่เกิดประโยชน์ต่อคนจริงๆ แล้วต้องไม่ขาดทุน ต้องตอบโจทย์ทุกคนต้องวินวินหมด ทุกอย่างเกิดจากแรงกายแรงใจ คนในสังคมมาช่วยกันทำ มันเลยเกิดเป็นสังคมที่เกื้อกูลกัน แล้วมันก็จะกลับมาตามความเชื่อของไลฟ์อีส
เล็งเป้าหมายเริ่มต้นที่คู่รัก
โปรแกรมที่เราจะ Launch อันแรกก็คือ โปรแกรมที่เกี่ยวกับคู่รักครับ ช่วงอายุกลางๆ เรียนจบแล้วจะแต่งงาน ตรงนี้จริงๆ แล้วเป็นจุดเริ่มต้นของสถาบันครอบครัวเลย นี่แหละคือโปรดักช์แรกสุดที่ไลฟ์อีสจะนำเสนอ ด้วยการที่เราจะจัดโชว์ขึ้นมาหนึ่งโชว์ ชื่อว่า “STAYING IN LOVE” ติวเรื่องเลิฟ เสิร์ฟพร้อมเพลงรัก เป็นโชว์ Love Mentor-tainment เต็มรูปแบบครั้งแรกของเมืองไทย และการเข้าชมก็จะเป็นการเข้าชมแบบเป็นคู่ ขายบัตรเป็นคู่ นั่งคู่กัน จะเป็นคู่แต่งงานแฟนกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ ขอให้มาดูเป็นคู่ โชว์นี้จะบอกเลยว่า คุณน่ะตกหลุมรักกันง่ายเหลือเกิน แต่การที่คุณจะตกหลุมรักคนคนเดิมให้นานๆ มันไม่ง่ายอย่างนั้นนะ แต่มันจะง่ายนิดเดียวถ้าคุณมาเข้าคอร์สนี้กับเรา
รูปแบบโชว์ “STAYING IN LOVE”
STAYING IN LOVE จะแบ่งเป็น 3 พาร์ท คือ พาร์ทที่ 1 เรื่องอดีต ที่ผ่านมาเป็นยังไง ความคาดหวังที่เรามีต่อกันและกันคืออะไร พาร์ทที่ 2 คือช่วงปัจจุบัน เรียกว่าช่วง Love Tank ก็คือการเติมความรักให้เต็มคนเราไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีภาษารักที่ต่างกัน ภาษารักก็คือการเติมความรักให้กัน อย่างผมกับเพลินก็จะต่างกันการเติมเต็มความรักของผมที่เพลินเขารู้สึกว่าผมรักเขาก็คือ “การกอด การหอมแก้ม” แต่ของผมกลับไม่เหมือนเขานะ ผมจะรู้สึกก็ตอนที่ “เขาดูแลเทคแคร์ผม” เพราะธรรมชาติผม ไม่ใช่คนที่ชอบกอด แต่ผมก็เติมรักให้เขาด้วยการกอด หอมแก้ม เขาทุกเช้า มันก็ทำให้ Love Tank ของเราเต็มตลอด ไม่ต้องไปเติมจากที่อื่น ถ้าคู่รักของเรารู้ภาษารักของคู่เราเอง ทำไมเราจะไม่เติมให้กันล่ะ เพราะเรารักกันอยู่แล้ว นี่คือช่องว่างของคู่รักที่หลายคนอาจจะไม่รู้ ก็เลยพยายามไปหาเติมจากที่อื่นอยู่ตลอดเวลา วนเป็นงูกินหาง ตรงนี้จะตอบโจทย์ว่าปัจจุบันจะไม่ต้องไปเติมที่ไหน และสุดท้ายพาร์ทที่ 3 เรื่องของอนาคต เหมือนอย่างคู่ผม คือผมอยากทำไลฟ์อีส ผมไม่ได้อยากเป็นนักธุรกิจ ผมอยากทำอะไรเพื่อช่วยสังคม เพลินเองเขาชอบเที่ยว เราก็ลองหาทริปที่ช่วยสังคมและได้เที่ยวไปด้วย ก็เลยทำไลฟ์อีส ที่ได้เที่ยวด้วย และทำงานเพื่อสังคมด้วย สิ่งนี้ก็จะทำให้คนสองคนเข้าใจทั้งอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต ของกันและกัน ไม่ต้องเกิดภาวะเลิกรากันครับฝากด้วยนะครับ สำหรับ STAYING IN LOVE เราจะจัดขึ้นในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 25-26 สิงหาคมนี้ ที่ โรงละครM Theater เริ่มขายบัตรวันที่ 28 ก.ค.นี้ ทาง ThaiTicketMajor ซึ่งการจัดครั้งนี้ก็ตั้งใจว่าจะมีผลในระยะยาว อยากให้คนดูได้รับประโยชน์จากโชว์นี้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าทุกโปรแกรมที่เราดีไซน์ มันคือประโยชน์ที่จะเกิดกับผู้ที่มาร่วมงานกับเราจริงๆ เราจะเรียกว่า Experiential events คือถ้ามาร่วมอีเว้นท์กับเรา มันจะเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนทัศนคติที่คุณมีไปตลอดชีวิตของคุณเลย แต่ไม่ใช่ล้างสมองนะ (หัวเราะ) ผมเองเป็นคนทำยังตื่นเต้นเลย ว่า โชว์วันนั้นมันก็ต้องเปลี่ยนมุมมองผมอีก เพราะว่าเอฟเฟกท์ที่เกิดขึ้นกับแต่ละคน มันจะต้องมากกว่าที่ผมคิดตอนนี้แน่ๆ
ไม่ได้วางไมค์
ผมยังคงร้องอยู่ครับ แต่ก็ผันมาเป็นโปรดิวเซอร์ เพลงมากขึ้น ผลิตศิลปินรุ่นน้อง และตอนนี้ก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการ สร้างค่ายเพลงแจ๊ส ซึ่งบุคลากรทางด้านเพลงแจ๊สของประเทศไทย ก็ไม่ต่างจาก ไลฟ์อีส ผมบอกเลยว่า ศิลปินเพลงแจ๊สคือ “อัศวินทางดนตรี” ที่ถูกจับไปเล่นอยู่ใต้บันไดเลื่อน ล็อบบี้โรงแรม งานแต่งงาน อะไรก็ไม่รู้ ซึ่งจริงๆ เขาคือนักรบตัวจริง ผมมีหน้าที่ไปดึงอัศวินเหล่านี้กลับมาสร้างแรงบันดาลใจ ผลงานที่เป็นแจ๊ส ขับเคลื่อน Music Business, Music Entrainment ไปให้แบบถูกทาง เด็กรุ่นใหม่ ถ้าให้เลือกได้ ผมอยากให้ลองฟังเพลงแจ๊ส ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่มีเพลงไทยที่เป็นแจ๊สแบบเข้มข้นให้เด็กฟัง นั่นก็เพราะทุกคนคิดว่าเด็กวัยรุ่นไม่ชอบ แต่พี่บอยกับผมไม่ได้คิดแบบนั้น เราจะทำให้เด็กเล็กฟังเราจะปลูกฝังเขาตั้งแต่เด็กเลย เราจะทำเพลง Jazz For Kids คล้ายกับ ไลฟ์อีส เด็กประมาณ ป.1-6 เป็นช่วงที่จะเรียนรู้ถึงศักยภาพ สติปัญญาของตัวเอง ความคิดสร้างสรรค์ก็ดี การมองโลกเชิงมิติสัมพันธ์ก็ดี เกิดขึ้นมาจากการฟังล้วนๆ คือเด็กได้ยินเสียงพ่อแม่ตั้งแต่อยู่ในท้องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเด็กได้รับการฟังเพลงแจ๊ส ซึ่งผมว่าแจ๊สเป็นสไตล์เพลงที่เพราะมากนะ ถ้าเด็กเขาได้ฟัง เขาน่าจะสามารถควบคุมอารมณ์ของเขาเองได้ตั้งแต่เด็ก เขาจะไม่พลุ่งพล่าน เขาจะมีระเบียบวินัย เขาจะนั่งเรียนอย่างสงบเลย ไม่ยุกยิก อันนี้ก็ได้รับการศึกษามาแล้วนะว่าถ้าเด็กได้รับการฟังเพลงแจ๊ส สมองเขาก็จะพร้อมในการเรียนรู้ทุกอย่าง และมีวุฒิภาวะทางด้านอารมณ์ การตัดสินใจ จะไม่ตัดสินใจผิดๆ เพราะเขามีความมั่นใจในตัวเอง เพลงจะช่วยได้ ผมก็เลยรับหน้าที่ดูค่ายแจ๊ส ของเลิฟอีส ทำให้กลายเป็นพื้นฐานของการฟังเพลงของเด็กเล็ก จุดมุ่งหมายก็ไม่ใช่ทางธุรกิจ เป็นการสร้าง Jazz Community พ่อแม่ลูกมานั่งฟังแจ๊สกัน จัดเป็น Festivalขยายการฟังเพลงแจ๊ส แล้วคุณจะรู้ว่าการฟังเพลงแจ๊สทำให้เบิกบาน ซึ่งการที่จะทำให้ Jazz Community เติบโตได้ก็ต้องสอนให้เขารู้จักแจ๊สก่อน ทำงานเหมือนไลฟ์อีสเลยครับ
ชีวิตส่วนตัว
ผมแต่งงานมา 12 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีลูกครับ ซึ่งผมก็แล้วแต่คุณเพลิน (ภรรยา) คือเราทำงานกันหนักมาก ช่วงที่ผ่านมา เดินทางไปอเมริกา กลับมาเมืองไทยเยอะมาก แต่คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าผมทำงานหนักมากเราทุ่มเทกายและใจเพื่องานส่วนรวมจริงๆ อยู่ที่อเมริกาก็ดึงคนไทยมารวมตัวกัน ทำสำเร็จได้ที่ซานฟรานซิสโก ดีมากเลย สนุกมาก ไปๆ มาๆ อยู่มา 10 ปี คือจริงๆ ผมควรจะมีลูกไปตั้งนานแล้วล่ะ ดูลูกพี่บอยสิจะ 20 แล้ว ผมยังไม่มีเลย คือก่อนหน้านี้เราตั้งใจเลยว่าจะยังไม่มีทายาท เพราะถ้ามีนี่ อดทำงานแน่(หัวเราะ) แต่ ณ วันนี้ก็โอเค ทุกอย่างดำเนินไปได้ดีละครับ เพลินก็อยากจะมีลูกละซึ่งเขาบอกว่าอยากจะมีปีหน้า ผมก็ตามใจเขาครับ
แพลนโปรเจกท์ต่อไป
ผมคิดเล่นๆ กับพี่บอยนะว่า น่าจะมีท่องเที่ยวแบบรักสุขภาพ ไปญี่ปุ่นกัน กินไม่อั้นเลยนะ เต็มที่เลยแต่ไปกับนักโภชนาการด้วย กินเสร็จไปเบิร์นแคลอรี่กันแบ่งเป็นทีมหนึ่งไปปีนเขา เก็บวัชพืช ทีมหนึ่งไปเก็บขยะ เราดีไซน์ Tourism แบบนั้น ให้คนได้ไปช่วยสังคมด้วย เที่ยวด้วย เบิร์นแคลอรี่ด้วย กินด้วย คิดดู มันจะไม่ Successได้ยังไง ใครๆ ก็อยากสนุก ไปเป็นครอบครัวเป็นแคมปิ้งพวกนี้แหละจะเป็นโปรดักช์ย่อยที่ต้องคิดกัน เพราะแต่ละโปรดักช์ อย่าง Staying in love มูลค่ามันมหาศาลถ้าพูดในเรื่องของความต้องการทาง Business มันเติบโตได้เอง Staying in love ที่เป็นคู่รัก Staying in loveที่เป็นพ่อแม่ลูก Staying in love คนทำงาน Staying inlove คนในโรงเรียน Staying in love ในอะไรเต็มไปหมดคือรูปแบบโปรแกรมของบริษัทก็จะไม่ตายตัวว่าเป็นแค่โชว์ ทริปทัวร์ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันคือ flexible(เฟลคซิเบิล) มาก แต่ผลประโยชน์จริงๆ คือกลับไปอยู่ที่ทุกคน ไม่ได้อยู่ในกระเป๋าตังค์ผม ซึ่งเรื่องกำไรผมไม่ได้สนใจเลย แต่ต้องไม่ขาดทุน และมีกำไรมา launch (เดินหน้า) ต่อนั่นคือปัจจัยสำคัญที่ผมเชื่อมั่นว่า เราขอแค่ไม่ขาดทุน แล้วมันก็จะเกิดเป็นประโยชน์ต่อโลกมนุษย์อย่างไม่รู้จบครับ
ยิ่งนั่งคุย ยิ่งตกหลุมรักผู้ชายอบอุ่นคนนี้มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพราะความหล่อ ความสุภาพ หรือน้ำเสียงของเขา แต่เพราะ นภ พรชำนิ ไม่เคยหยุดที่จะผลิตผลงานสร้างสรรค์ออกสู่สังคม ทุกโปรเจกท์ของเขาในอนาคต เชื่อว่าสังคมไทยจะถูกยกระดับ พัฒนาคน และแน่นอน..ปีหน้าเราคงได้พบกับ “นภ จูเนียร์” กันค่ะ
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี