วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2568
1 ส.ค.61 ที่ศาลอาญา นาย ชลธร คงยิ่งยง หรือ กัปตัน-ชลธร อายุ 20 ปี นักแสดงวัยรุ่นชื่อดัง มอบอำนาจให้ทนายความเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส. ศวภัทร สุนทรนันท หรือมิ้ง อายุ 23 ปีเน็ตไอดอลคนดังในโลกโซเชียล เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา 326,328
โดยนักแสดงหนุ่มระบุฟ้องสรุปความว่า โจทก์มีอาชีพเป็นนักแสดงในวงการบันเทิง รู้จักกันทั่วไปในวงการว่า "กัปตันชลธร"ส่วนจำเลย มีอาชีพรับจ้างโฆษณาผลิตภัณฑ์สินค้าผ่านสื่อออนไลน์ แอพพลิเคชั่น อินสตาแกรม มีชื่อเล่นว่า "มิ้ง" ทั้งนี้ โจทก์และจำเลยคบหาฉันท์ชู้สาวประมาณ 1 ปี ตั้งแต่ พ.ค.2560 แต่ไม่ได้เปิดเผยให้สังคมทั่วไปรับรู้
ต่อมาวันที่ 9 มิ.ย.2561 เวลากลางคืน จำเลยเจตนาใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ด้วยการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเผยแพร่โฆษณา ให้ปรากฏผ่านสื่อออนไลน์ มีรายละเอียดดังนี้
นักข่าวถามว่า “รู้ผลว่าท้องเมื่อไหร่” จำเลยตอบว่า “27 พ.ค.ก็รู้พร้อมเขาตอนนั้นก็อึ้งตกใจด้วยกันทั้งคู่ตอน เขารู้เขาก็ไม่โอเคเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่แค่เขาหรอกมิ้งเองก็ไม่โอเคตกใจเบลอทำอะไรกันไม่ถูก เรามาคิดกันว่าจะเอายังไงกันดีเพราะตามกฎหมายแล้วมิ้งกับกัปตันบรรลุนิติภาวะแล้วมิ้งปรึกษาอาที่เป็นทนายความ ตามกฎหมายมิ้งกับเขามีสิทธิ์ตัดสินใจร่วมกัน ซึ่งฝั่งพ่อแม่เขาหรือพ่อแม่มิ้งต้องให้เราตัดสินใจร่วมกันและทางค่ายเขาก็ไม่เกี่ยวแล้ว มันต้องเป็นการตัดสินใจร่วมกันของมิ้งกับกัปตันว่าจะเอายังไงต่อ แล้วพ่อแม่เขาก็พูดกับพ่อแม่มิ้งว่าถ้าตรวจสอบแล้วว่าท้องกับลูกเขาจริงระหว่างที่ท้องก็ให้ดูแลตัวเองไปไม่ต้องติดต่อกับกัปตันอีก แต่ถ้าคลอดมาแล้วตรวจดีเอ็นเอว่าเป็นลูกกัปตันจริงก็ไม่ได้หมายความว่าจะรับผิดชอบนะ ทุกครั้งที่เขาพูดคือแบบนี้
นักข่าวถามว่า “แสดงว่ากัปตันก็พร้อมใช่ไหม แต่เป็นทางค่ายและพ่อแม่เขาที่ไม่อยากให้มายุ่งกับเรื่องท้องของเรา” จำเลยตอบว่า “ใช่ค่ะเขาไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจของกัปตันจนมิ้งไม่เข้าใจว่าเป็นอะไรกัน มิ้งเป็นผู้หญิงพ่อแม่มิ้งยังให้ตัดสินใจด้วยตัวเองเลยว่าจะเอายังไงแต่ว่าฝ่ายเขาไม่เลย...มิ้งไม่ได้ให้ใครมามีสิทธิ์ตัดสินใจขนาดนี้ เพราะว่าตัวมิ้งเองก็ 23 แล้วและกัปตันก็บรรลุนิติภาวะ 20 แล้ว มิ้งกับกัปตันควรจะมีสิทธิ์คุยกันก่อนว่าจะเอายังไง ในเมื่อเรามีชีวิตหนึ่งในท้อง แต่ทางฝ่ายเขาบังคับให้มิ้งต้องตรวจโรงพยาบาลนี้เท่านั้นต้องทำตามที่เขาบอกทุกอย่างมิ้งก็เลยโมโหไม่เข้าใจว่าทำไมมิ้งต้องทำตามที่เขาสั่งทุกอย่าง ในเมื่อที่มิ้งขอไปแค่อย่างเดียวคือขอเจอกัปตันคุยกันส่วนตัวโดยไม่มีผู้ใหญ่มานั่งบีบเขา ทำไมไม่มีใครให้มิ้งได้ พี่ก็รู้ว่าถ้าเรานั่งคุยโดยมีผู้ใหญ่มานั่งบีบ มันมีเรื่องที่ไม่กล้าพูด”
นักข่าวถามว่า “แปลว่าเมื่อคืนหลังจากกลับตอนให้สัมภาษณ์มิ้งก็ยังไม่ได้คุยกับเขา” จำเลยตอบว่า “ค่ะ แม่เขายึดโทรศัพท์ไปขนาดพ่อมิ้งบอกว่าลูกผู้ชายเป็นคนทำก็ต้องออกมาสิ แต่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ทั้งที่กัปตันเป็นคนพูดเองต่อหน้าพ่อแม่เขา ผู้จัดการค่ายเขา 2 คน แล้วก็แม่มิ้ง แม่มิ้งถามเขาว่า แน่ใจไหมว่าลูกในท้องมิ้งคือลูกเขา กัปตันพูดเลยว่ากัปตันมั่นใจ แต่มาจนวันนี้มิ้งก็ยังไม่ได้คุยกับกัปตัน...แค่ขอคุยกับลูกเขาเป็นการส่วนตัวแค่นี้มันยากเหรอ กลัวอะไรคิดว่ามิ้งจะไปขู่กัปตันเหรอหรือยังไงจะบอกว่าไม่มีอะไรให้ขู่แล้วแล้วนะ มิ้งว่ามันต้องเป็นการตัดสินใจร่วมกันของเราสองคน”
นักข่าวถามว่า “ตอนนี้มิ้งท้องกี่เดือน” จำเลยตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้ซาวน์แต่ถ้านับแบบที่หมอนับก็ประมาณ 1 เดือนครึ่งค่ะ” นักข่าวถามว่า “วางแผนไว้อย่างไรเลี้ยงลูกคนเดียวหรือต้องให้เขาช่วยเลี้ยง” จำเลยตอบว่า “ตอบไม่ได้ยังไม่ได้คุยกับกัปตัน แต่ถ้าเขายังพูดไม่จริงอีกมิ้งก็ไม่ยอมเขาก็คงเริ่มรู้แล้วว่ามิ้งไม่ยอมแล้ว ตอนแรกไม่ยอมมากจะให้ทำอะไรมิ้งก็ยอมได้ จะให้ไปไหนไปทำอะไร ไม่ให้พูดอะไร ไม่ให้สัมภาษณ์ ไม่ให้ลงไอจีได้หมด แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว มิ้งมีอีกหนึ่งชีวิตเข้ามาในท้องมิ้ง มันต้องปรึกษากันว่าจะเอายังไงแม่มิ้งบอกว่าจริงๆ ค่ายเขาไม่ต้องเข้ามายุ่งก็ได้ถ้าค่ายคือคนนอก ที่มิ้งเคยบอกว่าได้วันนี้มิ้งยอมไม่ได้แล้ว ต้องออกมา เพราะฝั่งครอบครัวและค่ายเขาไม่ทำตามสิ่งที่มิ้งขอ เขาจะเอาแต่ข้อเสนอของเขาอย่างเดียว ซึ่งมิ้งทนไม่ไหวแล้ว ทำไมต้องทำตามทั้งที่มิ้งบอกแล้วว่ายอมไปตรวจ ซาวด์เลยให้เห็น”
นักข่าวถามว่า “วางแผนไว้ไหม ถ้าท้ายที่สุดต้องเป็นซิงเกิลมัมพร้อมไหม” จำเลยตอบว่า “มิ้งคิดว่าต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะว่ามิ้งรู้สึกว่าทางฝั่งเขาพูดว่ารับผิดชอบ คำว่ารับผิดชอบของเขาคือการส่งเงินตามกฎหมายที่ต้องส่งเงินช่วยเลี้ยงลูก แต่ถ้าสุดท้ายมิ้งต้องเลี้ยงลูกคนเดียวอันนี้มิ้งว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วมิ้งว่าทางพ่อแม่กัปตันไม่มีทางให้กลับมาคบกันอยู่แล้ว หรือให้มาอยู่ด้วยกันแน่นอน”
นักข่าวถามว่า “แล้วทางค่ายเขาจะให้ตรวจดีเอ็นเอไหม” จำเลยตอบว่า “เขาจะให้ตรวจอัลตร้าซาวด์และตรวจเลือดซึ่งมิ้งพร้อมอยู่แล้วพร้อมไปตรวจมากแต่มิ้งต้องได้สิ่งที่มิ้งต้องการ เพราะมิ้งทำตามความต้องการของเขามามากพอแล้ว มิ้งต้องได้เจอกัปตันและคุยกันส่วนตัว 2 คน ... เชื่อไหมแม่กัปตันพูดกับแม่มิ้งว่า บอกลูกสาวแม่ให้ระวังไว้หน่อยก็ดี ฝั่งครอบครัวเขามีโรคพันธุกรรมเยอะ ดาวน์ซินโดรมก็มี มิ้งก็อ้าวพูดแบบนี้คืออะไรเป็นห่วงหรือยังไง มิ้งก็ไม่อยากมองเขาในแง่ร้าย”
นักข่าวถามว่า “แล้วทำไมตัดสินใจปล่อยภาพจนเป็นข่าว” จำเลยตอบว่า “ที่มิ้งตัดสินใจเปิดสาธารณะไอจีกับเขาด้วยกัน เพราะมันหาทางติดต่อเขาไม่ได้แล้วจริง ๆ มิ้งคิดว่าถ้ามิ้งเปิดขึ้นมาเขาต้องติดต่อเราบ้างแหละนะ มิ้งต้องเลือกทางแบบนี้แล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ติดต่อมาเขาเลือกที่จะหนีปัญหา มิ้งรู้แหละว่าแฟนมิ้งเป็นคนหนีปัญหา แต่มิ้งจะบอกว่าปัญหานี้มันหนีไม่ได้ แต่มิ้งขอยืนยันคำเดิมมิ้งต้องการสิ่งเดิมคือ คุยกับกัปตันสองคนถ้าเขายังยืนยันไม่ให้เจอมิ้งจะไปตรวจเองไม่ไปโรงพยาบาลที่เขาสั่งให้ไปตรวจ มิ้งจะไปฝากครรภ์ของมิ้งเอง”
นักข่าวถามว่า “ถ้าได้คุยกับเขาสองคนมิ้งจะคุยอะไร”จำเลยตอบว่า “คงคุยว่ากัปตันคิดยังไงให้เขาคิดเองด้วยความเป็นผู้ใหญ่ของเขาถ้ามันมีโอกาสนั้นอยากให้มาช่วยกันคิดจะเอายังไงต่อดีให้เราเซฟด้วยกันทั้งคู่แบบที่ไม่ต้องโดนด่ากันทั้งสองฝ่ายแบบนี้ มิ้งจะพยายามถามเขาเอาความเป็นผู้ใหญ่ของเขาออกมา เขาต้องมีความเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องมีความรับผิดชอบแล้ว มิ้งรู้ว่าเขาพูดได้ แบบที่ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่มาพูดแทน”
รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายจากเว็บไซต์ออนไลน์ต่างๆ ซึ่งจากข้อความดังกล่าวโดยเฉพาะในประโยคที่ว่า “27 พ.ค.ก็รู้พร้อมเขาตอนนั้นก็อึ้งตกใจด้วยกันทั้งคู่เขารู้เขาก็ไม่โอเคเท่าไหร่” “เขาไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจของกัปตันจนไม่เข้าใจว่าเป็นอะไรกันมิ้งเป็นผู้หญิงพ่อแม่มิ้งยังให้ตัดสินใจด้วยตัวเองเลยว่าจะอย่างไรแต่ว่าฟังเขาไม่เลย” “มิ้งมีอีกหนึ่งชีวิตเข้ามาในท้องมิ้ง" “เขาต้องมีความเป็นผู้ใหญ่แล้วต้องมีความรับผิดชอบแล้ว”

ทั้งนี้เมื่ออ่านข้อความทั้ง 5 รวมกับข้อความในบทสัมภาษณ์ทั้งหมดทำให้บุคคลประชาชนทั่วไปที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์เข้าใจไปว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี มีความสัมพันธ์กับจำเลยจนตั้งครรภ์แล้วไม่รับผิดชอบดูแลจำเลย และโจทก์ไม่มีวุฒิภาวะ เป็นผลทำให้จำเลยถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังประชาชนที่เคยให้ความนิยมในตัวโจทก์เสื่อมความนิยมลงไป ต้องถูกต้นสังกัดระงับไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมการแสดงต่าง ๆ ที่ออกสู่สาธารณชนรวมถึงบริษัทต่าง ๆ ที่เคยจะว่าจ้างโจทก์ก็ระงับไป
การกระทำของจำเลยมีเจตนาทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ใส่ความโจทก์โดยการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์อันเป็นผล อันเป็นผลกระทบต่ออาชีพการงานและความเจริญก้าวหน้าของโจทก์
เหตุเกิดที่บริษัท วัชรพล จำกัด แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. และตลอดทั่วราชอาณาจักรไทยเพราะเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ได้เผยแพร่ข่าวออกไปทั่วราชอาณาจักร
ขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยมาแก้ต่างคดี และพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิด รวมทั้งให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.เดลินิวส์ ไทยรัฐ มติชน ติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณาทั้งหมด
ศาลอาญารับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.2341/2561 และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์วันที่ 8 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมากัปตันและครอบครัวได้ส่งจดหมายชี้แจงถึงสื่อมวลชน ความว่า “ตามที่กัปตันและครอบครัวพร้อมด้วยต้นสังกัด ได้ทำจดหมายชี้แจงสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 24 ก.ค.61 และต่อมาได้มีความเห็นให้นำเรื่องเข้าสู้กระบวนการทางกฎหมาย เพื่อให้ความเป็นจริงได้ปรากฏต่อสังคม ความคืบหน้าล่าสุด ทีมทนายความของกัปตันและครอบครัว ได้ยื่นฟ้องคดีทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง 1. คดีอาญาต่อศาลอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา 2. คดีแพ่งต่อศาลแพ่ง ในฐานความผิดละเมิดการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย โดยไม่ได้เรียกค่าเสียหาย โดยคดีจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาล ในการสืบหาความจริงต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี