เคยสร้างความประทับใจให้กับผู้ชม ในฐานะ นักแสดง เมื่อ 30 กว่าปีก่อน แต่จู่ๆ “แก้ว-ชาญวุฒิ พรหมสาขา ณ สกลนคร” ก็หันหลังให้กับงานแสดง ยึดตำแหน่ง คนเบื้องหลัง อะไรคือสาเหตุสำคัญ และวันนี้เขายังทำงานในวงการบันเทิงอยู่หรือไม่!? สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้จะพาไปค้นหาคำตอบกัน
หน้าที่รับผิดชอบในวันนี้
ผมดูแลด้านแอ๊กติ้งของนักแสดงใหม่ๆ ที่จะมาอยู่บริษัท “มีเดีย สตูดิโอ” คือเป็นผู้ชำนาญการด้านการแสดง แล้ว “พี่แหม่ม” (พิไลวรรณ บุญล้น) ก็ดึงให้ไปช่วยรายการ เมนูเมียสั่ง, ดวลเพลงดัง, ร้องเล่นเต้นยกครัว และดูละครเรื่องไฮโซสะออนที่ “เพชร” (พุฒิพงศ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร) กำกับฯ ทำงานที่นี่มาประมาณ 3-4 ปีแล้วครับ
จุดประกาย สายงานแสดง
จะว่าจบมาทางด้านนี้ก็ได้ แต่ว่าไม่ใช่สาขาเอกครับ คือคณะอักษรฯ จะมีภาควิชาการแสดง เราก็เรียนไปด้วย เล่นละครไปด้วย เลยทำอย่างอื่นไม่เป็นทำตรงนี้มาตั้งแต่ปี 2526 ใกล้จะจบมหา’ลัยแล้วก็ได้ไปทำละครเวทีที่โรงแรมมณเฑียร กับ “ครูช่าง”(ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง) และ “พี่อี๊ด”(สุประวัติ ปัทมสูต)แต่ตอนที่จะเข้าอักษร ผมไม่อยากเข้านะ อยากเรียนรัฐศาสตร์ แต่สอบไม่ติด ติดอักษรอันดับ 2 และจะไม่เรียนไม่ชอบ เพราะว่าผู้หญิงเยอะ เราจบมาจากสวนกุหลาบ ผู้ชายเยอะ แล้วเราจะไปอยู่ยังไง ตอนนั้นเขาเชื่อว่าจบอักษรมาก็ต้องเป็นครู พ่อ-แม่เราเป็นครู เราไม่อยากเป็น แม่ก็บอกว่าต้องเรียนอักษร และแม่พาไปหาเพื่อนที่สอนอยู่ที่นี่ก็คือ “ครูใหญ่-อาจารย์สดใส พันธุมโกมล” ซึ่งเป็นผู้หญิงที่พลังเยอะมาก (ยิ้ม) เสียงสนั่นห้อง ดูสนุกสนาน แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาสอนอะไร แม่บอกให้อยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวเพื่อนแม่จะดูแลเอง ก็จำใจเรียนมา ตอนแรกเอกอังกฤษโทฝรั่งเศส แต่ไม่รอด เพราะที่นั่นหัวกระทิมาก ก็เลยมาเจอวิชาหนึ่งที่เป็นวิชาบังคับ ก็เรียนดู เออ..สนุกดี ก็คือวิชาการแสดงหนีวิชาการมาปฏิบัติ พอปี 2 ก็ได้เจออาจารย์อีกท่านหนึ่ง ที่ได้จุดประกายให้ ก็คือครูช่าง และเราได้ดูรุ่นพี่เพื่อนๆทำธีสิส และไปแคสละครอยู่เรื่อยๆ เล่นละครบ้าง แต่ส่วนใหญ่เราจะเน้นกีฬากับกิจกรรม อาจารย์สดใสก็ตามให้ไปแคสละครเรื่อยๆ จะหนีก็หนีไม่พ้น คือละครมันสนุก ได้ทำอะไรในสิ่งที่ตัวเราทำในโลกนี้ไม่ได้
เริ่มเปิดใจและชอบ
จริงๆ แล้วการแสดงมันมาตั้งแต่เด็ก ตอนประถมออกทีวี.บ่อยมาก แม่จะพาไปช่อง 4 บางขุนพรหมบางทีโรงเรียนก็ส่งไป บ้านก็อยู่ในสวนสุนันทา เพราะว่าพ่อ-แม่เป็นครู เขาจะมีการแสดงทุกปี เราก็ได้ไปเล่นเป็นตัวละครต่างๆ ได้เรียนรู้งานเบื้องหลัง การทำเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า มันก็เป็นสีสันที่สนุก ซึมซับมาเรื่อยๆ แต่เราเป็นนักกีฬา เล่นฟุตบอล เล่นยิมนาสติก ว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็ก เราเป็นนักกีฬาไม่ใช่นักแสดง แต่โชคดีที่ว่าพ่อกับแม่เราเขาทำอยู่แล้ว เราก็ได้ไปเห็น ได้ไปช่วยก็คือเรามีกิจกรรมที่เกี่ยวกับการแสดงทำมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่ยังเรียนไม่จบ
ครอบครัวนักกีฬา
ผมมีพี่น้อง 4 คน แก้ว, เพชร, หยก แล้วก็ มุก ซึ่งหยกเป็นนักบอลและทำอีเวนท์ ส่วนมุกน้องสาวเป็นนักยิมนาสติกเหรียญทองซีเกมส์ เราเป็นครอบครัวนักกีฬา โดยมีผมกับเพชรที่ทำงานในวงการ มีโอกาสได้ทำงานร่วมกันบ่อย สมัยก่อนก็เล่นวิก 07 ด้วยกัน และส่วนมากคนจะคิดว่าผมเป็นน้องชายเพชร บางทีเพชรกำกับละคร เราก็เป็นสวิชชิ่งให้ หรือว่าเขากำกับละคร เราเขียนบทให้ พ่อกับแม่ก็ชอบการแสดงอยู่แล้ว การที่เราเข้ามาตรงนี้ ท่านก็ดีใจ อนุญาตให้ทำ คุณพ่อผม “วัฒนา พรหมสาขา ณ สกลนคร” ก็เป็นคนดังนะครับ ท่านเป็นกรรมการฟีฟ่า เป็นนักบอลทีมชาติ และเป็นครูเมื่อก่อนไม่มีใครไม่รู้จัก ส่วนคุณแม่เป็นครูเช่นกัน
ก้าวแรกในวงการบันเทิง
ช่วงเรียนอยู่ปี 4 ครูช่าง, ครูแอ๋ว (อรชุมายุทธวงศ์) ครูอุ๋ย(อาจารย์พรรัตน์ ดำรุง) มาทำละครให้กับช่อง 7 แล้วหาพระเอกไม่ได้ ก็เลยให้เรามาเล่น ตอนนั้นหน้าตาดี (ยิ้ม) ก็มาเล่นเป็น “หนอนแก้ว” ในเรื่อง“ดักแด้กับมะเดื่อ” เป็นละครเด็กใสๆ สนุกมาก เล่นมาสักพักก็ได้ไปทำละครเวทีที่มณเฑียร จนวันหนึ่งครูช่างก็บอกทาง “อาหรั่ง” ว่าดาราวิดีโอ ต้องการพระเอกละครตอนโต ก็เลยให้เราลองไปเล่นดูคือเรื่อง “ตราไว้ในดวงจิต” บท “ข้าวฟ่าง” ซึ่ง “น้องบอย-เนติลักษณ์” เล่นเป็นพระเอกตอนเด็ก ตอนนั้นเขาว่ากันว่าคนดูกันทั้งเมือง แต่เราไม่รู้ เพราะว่าเราทำละครเวที ก็เลยไม่ได้ดูละครทีวี. แล้วทุกคนต่างตกใจ วันที่เราเดินเข้ากอง น้องบอยก็ตกใจ เพราะว่าผมกับน้องหน้าเหมือนกันมาก “น้าอาด”(สะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์) เขาก็อึ้งว่าครูช่างเก่งหาคนได้หน้าเหมือน เราเองเกร็งมากในตอนแรก แล้วก็ละอายใจที่ว่าอาศัยเด็กดัง เพราะว่าน้องบอยเล่นดีมาก เราต้องมาเล่นต่อจากเขา
เลือกที่จะอยู่เบื้องหลัง ขณะกำลังดัง
ด้วยหุ่นเป็นคนผอมๆ ผมยาว หัวตั้งๆ เป็นเหมือนเด็กมีปัญหา เด็กขี้ยา อารมณ์รุนแรง ก็จะได้รับบทประมาณนี้ ผมมีชื่อเสียงจากบทหนอนแก้ว และข้าวฟ่างนี่แหละครับ เล่นละครสักพัก เราก็ไม่อยากเล่นต่อคือด้วยความที่เราไปเจอผู้กำกับที่ไม่ค่อยเป็น หมายถึงพวกเด็กใหม่ๆ ที่ไม่มีพื้นฐาน แต่มาเพราะว่าเส้นสาย เราก็เลยไม่อยากจะทำงานกับบุคคลเหล่านี้ เลยหันไปอยู่เบื้องหลังดีกว่า มาอยู่เจเอสแอล ทำรายการและได้สอนเด็กๆ ผมจะเกลียดมาก กับประโยคที่ว่า“ทำๆ ไปเถอะ คนดูไม่รู้หรอก” ครูใหญ่บอกว่าอย่าดูถูกคนดูนะ มันเท่ากับคุณดูถูกอาชีพตัวเอง คนที่ดูทีวี.ไม่ได้มีแค่คนที่คุณคิดว่าไม่รู้เรื่อง ถ้าเจอคนที่คิดแบบนี้ผมจะเดินหนี ก็เลยเป็นสาเหตุให้ไม่ค่อยรับงาน ถ้าจะเล่นก็ถามก่อนว่าใครกำกับ ทีมไหนทำ บริษัทไหนทำ
เดินตามรอยอาจารย์ทั้ง 7
ไม่เสียดายโอกาส คือบอกตัวเองว่าช่างมันถ้าเราไปเล่นเราก็เสียตัวตน แล้วเวลาไปหาครู มันจะทำให้เรามองหน้าครูไม่ติด เหมือนศิษย์ทรยศครู แล้วบังเอิญว่าผมได้ครูดีๆ ที่นับถืออยู่ 7 คน คือ ครูใหญ่ อาจารย์สดใส,ครูช่าง, พี่อี๊ด, อารอง เค้ามูลคดี, อาอาด, อาพูน พูนสวัสดิ์,อาโต-สุรทิน โอฬาวนิช ที่สอนด้านสวิชชิ่ง ซึ่งผมมากำกับรายการด้วย เราได้ความรู้จาก 7 อาจารย์ หลากหลายสาขา เหมือนชะตาชีวิตพาเราให้ได้ไปเจอ 7 ท่านนี้ซึ่งแต่ละคนเป็นเอกด้านต่างๆ ดังนั้นเราจะทำอะไรที่มันไม่ดี ไม่ได้นะ ไม่งั้นเขาจะด่าไปถึงครูเราได้ บอกตัวเองมาตลอดว่าพ่อ-แม่เป็นครู มีลูกศิษย์ทั่วประเทศ ถ้าเราทำไม่ดี เขาก็ด่าพ่อ-แม่เราอีก แล้วพอมี 7 อาจารย์เราก็ยิ่งต้องระวังกว่าเดิม ทำมาแล้วหลายอย่าง ทั้งกำกับละคร เกมโชว์ รายการ เขียนบท แต่จะเน้นกำกับละครมากกว่า เพราะว่าเราถนัด ก็ทำให้กับหลายค่ายเขียนบทเอง กำกับเอง เป็นสวิชชิ่ง
เติมพลังให้กับตัวเอง
ด้วยความที่เราเกิดมาจากนักแสดง บางทีเห็นละครเวทีก็อยากไปเล่น อย่างล่าสุดครูช่างทำละครเวทีก็มีโอกาสได้ไปเล่น มันเหมือนได้ไปเติมพลัง ผมมองว่านักแสดงเป็นอาชีพที่เติมพลังนะ เพราะอาชีพอื่นมันสลายพลังเราหมด อย่างละครเวทียิ่งคนดูเขาส่งพลังมาให้ ก็จะยิ่งทำให้เรามีแรงในการเล่น ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปเล่นละครเวทีอีกครั้ง นี่ก็ได้คุยกับครูช่างไว้แล้ว บทแค่ 4-5 บรรทัดก็เอา ก่อนหน้านี้ก็ได้ไปเล่นในงานวันเกิดของครูใหญ่ แล้วทุกคนที่เคยเล่นให้กับครูก็ได้มาเล่นในบทเดิม (หัวเราะ) ซึ่งทุกคนตอนนี้เป็นปรมจารย์หมดแล้ว แต่ก็ได้กลับมาเล่นบทเดิมมาเติมพลัง มารื้อฟื้นบรรยากาศเก่าๆ ได้เห็นครูใหญ่นั่งยิ้มหรือว่าปาดน้ำตาไปในบางซีน เราก็มีความสุข ผูกพันอยู่กับละครเวที กับการแสดงมาค่อนชีวิต และผมจะมีกิจกรรมที่ทำกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งชื่อว่า “คนร่วมทาง” เขาทำมายี่สิบกว่าปีแล้ว โดยการซ่อมวัดซ่อมโบสถ์ซ่อมพระ ตระเวนไปตามวัดที่พังๆ เราก็ไปซ่อมให้ โดยที่วัดไม่ต้องออกตังค์ เราไปด้วยจิตศรัทธา “พี่อี๊ด-สุเทพ” เป็นคนชวนไป แกชวนอยู่ปีหนึ่ง แต่ผมก็ไม่ยอมไป จนวันหนึ่งเรารู้สึกว่าอยากไปสัมผัสกับพี่น้องคนร่วมทางว่าเขาทำอะไรกัน คือจากวัดเก่าๆ ไม่ถึงหนึ่งเดือน กลายเป็นวัดใหม่ พระที่ชำรุดแตกก็เป็นพระองค์ใหม่ ผมทำมาประมาณ 6 ปีแล้วครับ มันเป็นความสุขอีกอย่าง และเป็นเหมือนการไปเติมพลัง เรายืนร้องไห้ในวันแรกที่ไปดูพระพังๆ แล้วเราก็มาร้องไห้น้ำตาไหลอีกครั้งในวันที่องค์พระเป็นสีทองอร่าม มันมีความสุขแบบปีติต่างกัน อย่างน้อยก่อนตาย เราได้ทำอะไรบ้าง
อีกหนึ่งความภาคภูมิใจ
ส่วนใหญ่จะเป็นงานหน้าพระที่นั่ง ผมได้ทำละคร และเล่นละครหน้าพระที่นั่งหลายเรื่องอยู่ ตื่นเต้นขนลุกเลยครับ เวลาที่แสดงเสร็จแล้ว เราจะมาตั้งแถว พระองค์ท่านเสด็จผ่าน และทรงรับสั่งว่าเราเล่นละครดีมาก แค่นี้เราก็ปลื้มใจแล้ว แค่เราได้เห็นพระองค์ท่านทรงพระสรวญหรือแย้มพระโอษฐ์ เราก็พอใจแล้ว อย่างเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมเล่นละครงิ้วให้อักษรฯ เล่นเป็นเห้งเจีย วัยห้าสิบกว่า แล้วไปกระโดดโลดเต้น(ยิ้ม)ทั้งคณะก็ลงความเห็นว่าต้องเป็นเรา วันซ้อมใหญ่ผมตีลังกาลงผิดจังหวะ เลยทำให้เจ็บเข่า เราก็ตกใจกระโดดไม่ได้แล้วทำยังไงดี จะร้องไห้ ซ้อมมาตั้งนาน ถ้าเล่นก็ทำได้แค่เดิน แต่เห้งเจียมันต้องกระโดด แล้วปาฏิหาริย์เกิด คือมีรุ่นพี่คนนึงอยู่ครุฯ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับละครเลย เขาบอกว่าเห้งเจียมาเข้าร่างเขา และให้เขามารักษาเราเราก็ตกใจคือเข่าซ้ายแย่มาก เขาเดินมาหา และให้เราหลับตา เราก็ถามคนอื่นว่าพี่เขารักษาเรายังไง คือเขาบอกเหมือนหนังจีนกำลังภายในเลยครับ ตบจุดจี้จุดไป หลังจากนั้นก็ให้เราลองเดิน เออ..ปรากฏว่าหาย(หัวเราะ) รุ่งเช้ามาแสดงสมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯเราก็ตีลังกาอะไรได้ปกติ มีท่าหนึ่งที่ต้องยืนขาเดียว เราก็เหลือบไปเห็นพระองค์ท่านกำลังยกกล้องขึ้นมาถ่าย ตอนนั้นปวดขามาก แต่กัดฟันยืนนิ่งๆจนพระองค์ท่านลดกล้องลง แล้วภาพนั้นคือหนึ่งในภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่ไปโชว์ที่หอศิลป์ ผมก็เลยถือโอกาสไปถ่ายภาพนั้นมา นี่คือสิ่งที่มากกว่าเงินที่เราได้ คือความภูมิใจครับ
ชีวิต ณ วันนี้
นอกจากงานประจำที่ทำแล้ว เสาร์-อาทิตย์ก็จะไปวัด ไปซ่อมวัดซ่อมพระกับทีมคนร่วมทาง และพาลูกไปด้วย ตอนนี้ลูกชายคนเล็กอายุ 3 ขวบ ก็เป็นเซียนทาสี คือเขาทำของเขาเอง ผมมีลูก 3 คน คนโตกับคนที่ 2 อยู่กับครูช่าง ก็บอกครูว่าในเมื่อสอนผมมาแล้ว ก็สอนลูกผมต่อเลยละกัน เขาเล่นดนตรีและละคร เป็นโฮมสคูลกินนอนอยู่ที่นั่นเลย อนาคตของลูกๆ ก็แล้วแต่เขาครับ แต่ผมมองแล้ว คนโตอาจจะอยู่เบื้องหน้า คนที่สองอาจจะอยู่เบื้องหลัง คนที่ 3 ยังไม่รู้ เพราะว่ายังเล็กมากแต่หลายคนบอกว่าสงสัยเขาจะบวช (หัวเราะ) ผมเป็นคนเลี้ยงลูกสบายๆ ไม่ได้หวังอะไรกับพวกเขาครับทุกวันนี้ก็คิดว่าขอให้มีเงินเยอะๆ เพื่อจะได้เอาไปซ่อมพระ เพราะว่าบางวัดต้องใช้ทุนเป็นล้าน เราไม่ใช่ช่างรับเหมาไม่ใช่พาณิชย์ เราจะระดมทุนกันเอง ใครอยากจะร่วมทำบุญเราไม่เอานะครับ คือคุณต้องไปเห็นเอง ถ้าคุณอยากทาสี ก็ไปซื้อสีมาทาเอง ตรงนั้นเลย และเราจะเน้นซ่อมวัดหรือพระโบราณที่ไม่เกี่ยวกับกรมศิลป์ เราจะไม่ไปขัดขวางการทำงานของกรมศิลป์ครับ ส่วนงานที่เกี่ยวกับบันเทิง มีคิดอยากจะทำละครเวที ที่ออกฉายในทีวี. ก็คุยกับพี่แหม่มไว้ว่าเราอยากทำละครเวที แล้วออกอากาศสด เหมือนไลฟ์ออนทีวี ซึ่งมันยากมาก และท้าทาย ที่พูดไปนี่ถือว่าจดลิขสิทธิ์แล้วนะครับ (ยิ้ม) อยากทำมาก
ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนดู
ทุกวันนี้ยังมีคนเรียกผมว่าข้าวฟ่างอยู่ แล้วก็มีน้อยคนที่เรียกหนอนแก้ว (ยิ้ม) เราก็ดีใจนะที่เขาจำเราได้ เขาบอกว่าหน้าไม่เปลี่ยนเลย เสียงก็ไม่เปลี่ยน ทรงผมก็ประมาณนี้ ร้านชำตรงหน้าช่อง 7 ถามเลยว่าพี่เป็นดาราใช่ไหม หนูจำได้ คือเขาแก่กว่าเรา แต่เขาเรียกเราพี่ เราก็ยินดี บางคนก็มีทักผิดว่า “พี่ดอนสอนระเบียบ” “พี่กุ้ง-ตวงสิทธิ์” แต่ถ้ามีหนวดบางคนก็เรียกว่า ครูช่าง สำหรับแฟนๆ ที่ยังจดจำผมได้ก็ขอบคุณที่เรายังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ ในฐานะนักแสดงเราก็จะดีใจว่ายังมีคนจำได้ แม้ว่าผมเล่นละครแค่ไม่กี่เรื่อง แล้วก็เลิกไป ด้วยความที่เราไม่อยากให้คนจำเราในหลายๆ บท ก็เลยพอแล้ว ไปทำอย่างอื่นที่ไม่ต้องสร้างชื่อเสียง แต่คนก็จำเราไปแล้ว ซึ่งเราก็ไม่อยากไปลบภาพเขา ทุกคนดูแล้วร้องไห้ตามเพราะว่าตอนจบข้าวฟ่างฆ่าตัวตาย มันก็เลยเป็นภาพจำของคนดู มันเศร้าจริงๆ เรื่องเขียนดี บทเขียนดี และบอยเล่นดีมาก ขีดเส้นใต้ 2 เส้นนะครับ(หัวเราะ)บอยเล่นดีมาก เราอาศัยบารมีเขาก็ว่าได้ ทุกวันนี้ผมก็จะพยายามสร้างสรรค์ผลงาน อาจจะดูดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่เราจะยึดมั่นว่าเราจะไม่ดูถูกคนดูแน่นอนครับ
จากคำพูดทิ้งท้ายของ “แก้ว-ชาญวุฒิ พรหมสาขา ณ สกลนคร” นี้ ต้องบอกว่า...สมแล้วกับความเป็น “ศิลปินคนเบื้องหลัง”
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี