ผ่านมาหลากหลายบทบาทในวงการบันเทิง และถูกยกให้เป็นสุดยอดตัวแม่ของความเซ็กซี่ในนาม 3 บอมบ์ สำหรับ “อ๋อย-สินาภรณ์ พิไลลักษณ์” แต่แท้จริงแล้วเบื้องหลังความเซ็กซี่นั้น มีที่มาที่ไปที่น้อยคนจะรู้และเข้าใจ วันนี้เรามีความจริงที่เธอพร้อมจะเปิดเผยให้ทุกคนได้รับฟัง
บทบาทหน้าที่ในวันนี้
ปัจจุบันเป็นลูกน้อง “พี่ต๋อย” (ไตรภพ ลิมปพัทธ์) เป็นพีอาร์ค่ะ ทำมาสิบกว่าปีแล้วที่ “บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอดท์ จำกัด” มีรายการทูเดย์โชว์ และครัวคุณต๋อยที่ได้มาทำงานกับพี่ต๋อย ก็ด้วยความที่เราสนิทกับ “พี่แหม่ม” (เทพยุดา ศรียาภัย) พี่ต๋อยอยากจะได้พีอาร์ ซึ่งตรงนี้มันเกี่ยวกับสายสัมพันธ์มากกว่า โชคดีที่เราสนิทกับพี่แหม่ม เขาไว้ใจเรา ก็เลยดึงมา ตอนนั้นอ๋อยก็ผันตัวเองมาทำงานเบื้องหลัง ไม่ค่อยออกตัว มาอยู่กับพี่ต๋อยก็ไม่ค่อยออกสื่อ คนก็ไม่ค่อยรู้ จะรู้แค่ว่าอ๋อยยังอยู่นะ แต่เขาก็จะไม่ตามไม่อะไร เพราะเราบอกสต๊อป (หัวเราะ) ห้ามบอกเลยนะว่าเราอยู่ไหน เพื่อนฝูงชวนให้ไปเล่นละคร เราก็ไม่เอาแก่แล้ว ไม่อยากจะท่องบท เบื่อที่จะมาแสดง อาจจะด้วยอายุ คนอื่นเขาแฮปปี้กัน เพราะว่าเป็นงานที่เขารัก เราก็รักนะ แต่ว่าให้เล่นเราไม่เล่นแล้ว เพราะเราเป็นคนที่ไม่ค่อยรักสวยรักงาม ชอบแต่งตัวบ้าๆ บอๆ สมัยเป็นสาว เราอาจจะผ่านอะไรมาเยอะ แต่งเซ็กซี่ แต่ว่าทุกวันนี้เหรอ ใส่แบบแทบจะปิดคอหอย ตัวจริงไม่ได้เซ็กซี่เลย เรียกว่าซกมกก็ได้ (หัวเราะ) ก็เลยแอนตี้ แล้วเราก็ไม่อยากให้เขามารอเรา ปิดตายตัวเองในเรื่องการแสดงไปเลย เวลาที่เรารวมกลุ่มถ่ายรูปกันกับเพื่อนๆ แล้วมีคนจำได้ เราก็จะไปแอบข้างหลัง อารมณ์เหมือนหลบเจ้าหนี้เลยค่ะ
เจ้านายและเพื่อนที่ดี
อยู่กับพี่ต๋อยมาสิบกว่าปี ได้อะไรเยอะมากเลยค่ะ ได้ความรักความอบอุ่นของคนที่บอร์น พี่ต๋อยไม่เคยมาจู้จี้จุกจิกเลย สมัยที่อยู่ไอทีวี แล้วเกิดจอดำ 6 เดือน พี่ต๋อยเลี้ยงดูพนักงานทุกคน โดยที่ไม่เคยบ่นสักแอะนึง ถึงเดือนก็เงินเข้าจนเราอาย งานก็ไม่ได้ทำ เกรงใจมาก พี่ต๋อยไม่เคยมาพูดให้ลูกน้องหมางใจ เสียใจเลย บางทีเราก็แว๊บไปนู่นไปนี่ก็ไม่เคยว่า แต่เราก็ต้องมีสามัญสำนึก (หัวเราะ) ว่าเราเจอคนที่ดีแล้ว เราควรจะทำยังไง ก็จะไม่ไปไหนแล้วค่ะไล่ก็ไม่ไป ส่วนพี่แหม่มเขาเลิศหรูที่สุดแล้ว เราสนิทกันเพราะว่าเดินแบบมาด้วยกัน พอเขามีแฟน เราก็รู้จักแฟนเขา“คุณก่อเกียรติ ลิมปพัทธ์” ซึ่งตอนนี้ก็มาเป็นนายเราพี่แหม่มก็กลายมาเป็นเมียนาย ถ้าเราเป็นแค่เพื่อน เราก็จะมีกัดกันบ้าง แต่พอเป็นเมียนายก็ไม่กล้ากัด (หัวเราะ) เพราะว่าควบหลายตำแหน่ง
ย้อนที่มา ก้าวสู่แวดวงนางแบบ
จากเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง เข้ามาทำงานในวงการเป็นนางแบบ คือเพื่อนเรา “กาญจนา นิ่มนวล” เขาก็ดังนะ ก็ลากกันไปประกวด 10 ยอดนางแบบที่โชคชัย ปี 2524 ปีนั้นรู้สึกว่า “แหม่ม-อลิษา” จะได้ตำแหน่ง แล้วเราก็เดินแบบมาเรื่อยมี “พี่ตุ๋ย-นวลปราง” ด้วยนะ เขาดังมาก เราเป็นเด็กที่เข้ามาใหม่ ก็จะคอยแอบดูพี่เขา ปลื้มเขามาตั้งแต่ตอนนั้น คือเราเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ เป็นเด็กสายน้ำผึ้งนะจ๊ะ (ยิ้ม) มาอยู่กับอา เขาส่งให้เรียนหนังสือแต่เราอยากหาเงินเอง ไม่อยากกวนผู้ใหญ่ ไปเดินแบบก็ไปแบบชุดนักเรียนนี่แหละ แล้วเขาก็ให้เราใส่แต่ชุดว่ายน้ำ ก็สงสัยนะ ชุดอื่นเราก็ใส่สวยนะ แต่พอมีชื่อเสียงจากการเดินแบบชุดว่ายน้ำ หลังจากนั้นก็ได้เดินแบบชุดบูติกชุดหรูๆกับเขาบ้างเหมือนกัน แต่จะเกิดจากชุดหรูๆ ไม่น่าเป็นไปได้ เกิดจากชุดวาบหวิวก่อน เราไม่มีสิทธิ์เลือกว่าเราไม่เดินชุดว่ายน้ำ ไม่งั้นก็จะอด เรามีสิทธิ์เลือกแค่ว่าโป๊ได้แค่นี้ ถ้าเราปฏิเสธก็จะโดนหาว่าเรื่องมาก ไม่เกิดแน่นอน พอเราเริ่มรู้เรื่องในวงการแล้ว เราก็เข้าใจว่าเพราะเราเป็นแบบนี้ เขาถึงเลือกเรามาเป็นนางแบบประมาณนี้ คือหนึ่งเราไม่ใช่นางเอกสวยมากๆ ขายาว เพราะเราเตี้ย ขาไม่ได้ยาว ก็อยากจะเป็นนางเอกเหมือนกันนะแต่ไม่มีใครจ้าง (หัวเราะ)
ก้าวสู่จอเงิน
เรามาสายนางแบบชุดว่ายน้ำ จะว่าหุ่นดีไหม คือผิวขาวมากกว่าค่ะ แล้วด้วยอกเอวสะโพกเวลาถ่ายรูปเราก็จะโชคดี เพราะว่าเราถ่ายรูปขึ้น “อาน้อย-กมลวาทิน” เขาก็ติดต่อให้ไปเล่นหนัง ที่ได้เล่นหนัง อ๋อยก็มองว่าเป็นเพราะตัวเองถ่ายรูปขึ้นมากกว่า เขาดูจากหนังสือพิมพ์ เพราะมันจะมีลงทุกอาทิตย์ว่านางแบบเซตนี้เป็นยังไง ไปเดินที่ไหน เขาก็จะตาม เราก็สงสัยนะว่าตามเรามาทำไม จนกระทั่งเขาเอารูปมาให้ดู และเขาก็บอกว่าเป็นเพราะเราถ่ายรูปขึ้น ก็เลยจะติดต่อให้ไปเล่นหนัง นั่นก็เลยเป็นที่มาของการได้เล่นหนังเรื่อง “ปล้นลอยฟ้า” ของ “อาหลอง” แล้วก็มาเรื่อง “จงอางผงาด” ที่จะเด่นมากๆ เพราะว่าเรายืนแก้ผ้าเกาะขา “พี่บ๊อบ-ทูน” โปสเตอร์หนังจะติดอยู่ที่หน้าเฉลิมไทย (หัวเราะ) บางคนก็ว่าเราไปแก้ผ้าทำไม แต่จริงๆ แล้วมันเป็นภาพวาด ที่เขาวาดมาเพื่อโปรโมท แล้วในหนังเราก็ไม่ได้มีฉากที่ต้องถอดเสื้อผ้าเลย อย่างเก่งก็กางเกงขาสั้นแล้วก็เสื้อยืด แต่มันกลายเป็นว่าเราเปิดตัวด้วยบทเซ็กซี่ ขาสั้นสายเดี่ยว ถือว่าโป๊แล้วนะ ชุดนอนแม้จะบางแต่อันเดอร์แวย์ข้างในเราใส่หมด เราต้องเซฟตัวเราเองหมด
ต้องพิสูจน์ตัวเอง
สมัยก่อนคนยังไม่ยอมรับ ถือว่าเป็นการเต้นกินรำกิน ไม่เหมือนสมัยนี้นะ แล้วการที่เราเป็นเซ็กซี่สตาร์เขาก็จะมองไม่ดี เขายี้เรา แต่มันเป็นเรื่องไม่จริง เราก็ปล่อยไป เราจะไปตอบทุกคำถามเป็นไปไม่ได้ แต่ถามว่าเรามาตรงนี้เราก็อยากเป็นนางเอก แต่เราดูแล้วว่า เราเซ็กซี่เป็นแบบนี้ เขาก็เลยให้เรารับบทแบบนี้ ประมาณนี้เราก็เลือกไม่ได้ เข้ามาวงการนี้แล้วต้องทำให้ดีที่สุด แล้ววงการนี้ทำให้มีเงินมีทองใช้ ดูแลครอบครัว จริงๆ ที่บ้านไม่ยอมรับนะ สมัยก่อนบ้านนอกเขาไม่ยอมรับ จะหาว่าเราไปเต้นกินรำกินหาเงิน แต่เราไม่ได้เสียใจน้อยใจนะ คือสังคมบ้านนอกเขาไม่รู้จริง เขาก็พูด ทาปากทาเล็บหน่อยก็ไม่ได้ ญาติเรายังด่าเราเอง แล้วเราจะไปมายด์ทำไมกับคนอื่น ก็ทำมาหากินต่อสู้ของเราไป จนทุกวันนี้กาลเวลามันก็บอกให้ทุกคนรู้ได้ว่าเราอยู่ตรงนี้ เรามีเงินมีทองมีบ้าน แล้วเราก็ดูแลพ่อ-แม่เราได้ เขาก็เงียบไปเอง
ผลงานแจ้งเกิด
น่าจะเป็น 3 บอมบ์ ค่ะ ที่มาที่ไปของการมาเป็น 3 บอมบ์ คือว่าเราเป็นคนที่พอจะร้องเพลงได้ แล้วสมัยก่อนมันก็ไม่ใช่ว่าร้องเก่งนะ 3 โทน ดังมากตอนนั้น เราก็บอกว่าถ้าเราจะทำเราก็จะทำเหมือนเขา คือคนนั้นร้องท่อนคนนี้ร้องท่อนก็พอจะรอด ถ้าเผื่อคนเดียวทั้งเพลงคงไม่รอด(หัวเราะ) ก็เกาะกันไป เลยเกิดมาเป็น 3 บอมบ์ แล้วการที่เราจะไปแต่งตัวแบบมิดชิดเราก็คงจะขายไม่ได้ ก็ต้องใส่กางเกงขาสั้นแล้วก็ใส่ท็อปบู๊ตสูง มันก็จะโชว์ขาหน่อย แล้วคนคาดหวังว่าเราจะโป๊มากกว่านั้น คนก็เรียกร้องไม่รู้ว่าเขาผิดหวังกันไหมนะ แต่เราได้เงิน (ยิ้ม) อยากดู “พี่น้อย-ฉวีวรรณ” ก็ดูไป อยากดูรองนางสาวไทยก็ดู “พิมพิไล ไชยโย” มันก็ 3 แบบ แต่เราโชคดีที่ได้พิมพิไลเข้ามา เขาเป็นรองนางสาวไทยที่สวยด้วยมารวมกันคนก็งงว่ามาทำอะไรกัน ก็ออกเทปกันชุดเดียวแต่ว่า ก็ประสบความสำเร็จมาก ส่วนหนังเราก็เล่นเรื่อยๆ เล่นเยอะเหมือนกันค่ะบทบาทของเราคือจะเป็นนางร้ายเป็นดาวยั่วประมาณนั้น กับคำว่า 3 บอมบ์ภาพลักษณ์อาจจะมองดูไม่ดีในสายตาบางคน แต่ว่าเรามีกินทุกวันนี้ก็เพราะวงการนี้เพราะภาพ 3 บอมบ์ ถามว่าเราอยากจะโป๊ไหมเราก็ไม่อยาก แต่เขาก็อยากจะดูจังเลย (หัวเราะ)
บทบาทการเป็นผู้สร้างหนัง
มันเหมือนเป็นดวงเราค่ะ เราก็มีพรรคมีพวก เราก็หานายทุนให้เขาได้ พอหาให้ได้เขาก็ถีบหัวเราส่งเราก็งงว่าอะไร ซึ่งเราก็ไม่ได้อยากทำนะ เราโมโหเราก็เลยทำจากที่เราไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าเราเป็นดาราเล่นหนังเราก็เลยทำตามความเข้าใจของเรา ก็เจ๊งไม่เป็นท่า เจ๊งทั้ง 3 เรื่องเลยค่ะ แต่เด็กเกิดทุกคน หนังเจ๊งไม่เป็นไรช่างมัน คนก็คิดว่าเราได้เงินจากตรงนี้เพราะว่าเด็กเขาดัง แต่ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้สักบาท ไม่มีใครมาถามเราสักคำว่าหมดไปเท่าไหร่ แทบจะแทรกแผ่นดินหนี (หัวเราะ) แล้วก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาก็เพราะว่ามีเพื่อนนี่แหละค่ะลากมาทำงาน ซึ่งตอนนั้นยอมรับเลยว่าเข็ดมากไม่อยากออกไปไหนไม่อยากเจอใครและไม่คิดที่จะปั้นใครอีกแล้ว ก็เลยเฟสตัวเองออกมาเรื่อยๆ
เหมือนคนอกหัก
ก็เป็นไปได้คือเราเบื่อสังคม จนขนาดว่าเคยคิดที่จะออกจากวงการ มันก็เหมือนว่าทำไมเราออกไม่ได้ ก็คงจะเป็นเพราะว่าเรามีเพื่อนดี เราเจอคนดี เราไปเจอคนไม่ดีมันก็น้อยนิดกว่าคนดีๆ เราก็เลยกลับมาซึ่งเราก็มาเจอแต่คนที่ดีๆ แต่ถ้าจะให้เราผลักดันคนอื่นหรือปลุกปั้นคนอื่นเราไม่เอาแล้ว เข็ดเพราะว่ามันมีแต่ไม่ดีข่าวก็โจมตีเราไปเห็นใจเด็กก่อน แล้วเรียกมายันกันเราก็ไม่ยันสู้เขาไม่ได้ เราแก่แล้วจะไปสู้อะไรเด็กได้ล่ะ คนก็จะมองว่าเราโกหกเหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็ก เราก็เลยถอยออกมาดีกว่า ท้อมากกับข่าวเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้คิดสั้นหรือว่าทำร้ายตัวเองนะคะเพียงแต่ถ้าตรงที่เราอยู่คนไม่ดีเยอะเราก็ถอยออกมาดีกว่ามาหาคนที่เขาดีกับเราและเราก็เจอแต่กลุ่มเพื่อนดีๆ
ความรักและมิตรภาพ
ก็เคยมีแฟนนะคะ เขาเป็นคนนอกวงการ เราก็รักกันดี แต่ครอบครัวเขาไม่ได้รักเราเพราะมองว่าเราเต้นกินรำกิน ก็เลยจำเป็นที่ต้องเลิกกัน ไม่คิดที่จะคบคนในวงการ ไม่มีคนในวงการมาจีบเลยหรืออาจจะเป็นเพราะว่ากลัวกันเองมั้งในรุ่นเรานะ แต่รุ่นใหม่เขาจะเป็นแฟนกันเอง ทุกวันนี้ชีวิตก็แฮปปี้ดีนะ ตอนเป็นสาวเราเลือกเยอะด้วย ตอนนี้แก่แล้วก็เลยไม่รู้จะเลือกยังไง (หัวเราะ) ไม่มีให้เลือกแล้วค่ะ ก็อยู่คนเดียวดูหลานเลี้ยงหลาน และอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิท “พี่แหม่ม-เทพยุดา” “พี่แหม่ม-เนาวรัตน์” “พี่ตุ้ม-รสริน” แต่กับพี่ 2 แหม่มจะไปไหนด้วยกันบ่อยที่สุด อายุอานามก็ใกล้กันแต่เราให้เกียรติที่พี่เขาเข้าวงการมาก่อน
ใช้ชีวิตแบบสมถะราบเรียบ
ที่ผ่านมาอ๋อยก็กลับมาเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรีก็มีหมอซึ่งเป็นผู้มีพระคุณเขาจ้างให้ไปเรียนนิติศาสตร์ คือเขาถึงขั้นต้องจ้างเพราะคิดว่าเราจะเรียนไม่จบ แต่สุดท้ายเราก็เรียนจบค่ะ วิชาที่ให้เรียนมันยากนะเพราะว่าเป็นกฎหมายเขาก็คิดว่ายังไงเราก็เรียนไม่จบแน่นอนที่ไหนได้เราก็เรียนจบ สินาภรณ์ จบนิติศาสตร์ รามคำแหง ภายใน 6 ปีนะคะ อ๋อยเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบติดดิน ไม่หรูหราฟู่ฟ่า บางคนจะบอกว่าดารานางแบบจมไม่ลงชอบใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า แต่เราไม่ใช่คนแบบนั้น เราระวังตัวเองมาตลอดหรือว่าเราอาจจะโชคดีหน่อยที่เราไม่ได้ตกแบบสุดๆ พอตกหน่อยก็มีอะไรมารองรับเราเหมือนเราทำงานกับพี่ต๋อย พี่ต๋อยก็เลี้ยงดูเรามาสิบกว่าปี เหมือนเรามีเพื่อนดีมีนายดี ถ้าไม่ได้มาเป็นนักแสดงนางแบบอ๋อยก็คงจะอยู่บ้านนอกทำไร่ทำสวนใช้ชีวิตสมถะ พอเรามีเพื่อนในวงการเขาก็เลยดึงเราไปทำงานด้วย แต่ที่เรียนมาก็ยังไม่ได้ทำอะไรนะไปสอบตั๋วทนายอยู่ยังไม่ได้สักที ก็ไม่แน่นะอายุ 60เราก็น่าจะสอบได้และผันตัวเองไปอยู่อีกที่หนึ่งก็ได้แต่พี่แหม่มไม่ยอมให้ไปไหนนี่สิ (หัวเราะ) ทุกวันนี้เวลาที่เพื่อนๆ เขามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับกฎหมายก็จะมาถามเราเราก็เป็นที่ปรึกษาให้เพื่อนได้ ตอนนี้เป็นทแนะค่ะยังไม่ใช่ทนาย
ดีกรีความเซ็กซี่ในปัจจุบัน
ดูเอาเองเลยค่ะว่ายังมีอยู่ไหม ปิดซะขนาดนี้ คือที่เราเซ็กซี่เพราะว่าเราอยากได้เงินแต่ว่าตัวตนจริงๆแล้วไม่ใช่เลยค่ะ ชอบแต่ตัวอะไรแบบไทยๆ ภาพที่ทุกคนเห็นหน้าจอในอดีตกับปัจจุบันนี้เรียกว่าคนละอย่างเลย ก็กลัวเขาจะผิดหวังไงคะเลยไม่อยากออกสื่อ(หัวเราะ) แล้วจะบอกว่าทุกวันนี้ไปไหนมาไหนยังมีคนจำได้นะ บางทีเราแต่งตัวหน้าตาซกมกเขาก็มาทักว่าพี่เป็นดาราหรือเปล่า เราแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี กลัวเขาจะพูดกลับมาว่าอู๊ย! ทำไมซกมกจังเลยทำไมตกอับจังเลย กลัวคำนี้คือฉันไปก่อนดีกว่า ซึ่งขอบอกผ่านตรงนี้เลยนะคะว่า อ๋อยยังอยู่ดีสบายมีความสุขใช้ชีวิตแบบสบายชิลมาก แต่ที่แต่งตัวแบบนี้ก็เพราะว่าเป็นความชอบส่วนตัว เราเป็นคนที่ไม่ได้สนใจในเรื่องความสวยความงามไม่เหมือนพี่แหม่มที่เขาจะสวยปิ๊งตลอดก่อนออกจากบ้านเขาก็จะชอบจับให้เราแต่งตัวแต่งหน้า
ผู้นำเสียงหัวเราะ
เป้าหมายในชีวิตตอนนี้คิดว่าแฮปปี้แล้วนะ ก็คงจะไม่ทำอะไรแล้ว เราเตรียมเคานท์ดาวน์แล้วว่าอีก 5 ปีเราก็ 65 ทำไมเร็วจังเลย เพิ่งรู้ว่าไม่มีเวลาให้ใครแล้วขอให้เวลากับตัวเอง (หัวเราะ) ไม่มีอะไรที่จะทำที่จะห่วงแล้วค่ะ แค่เอาตัวเองให้รอดก็พอ ไม่กล้ามองใครด้วยและคงไม่มีใครกล้ามาจีบมารักเราจริงในวัยขนาดนี้เขาไปเลี้ยงดูเด็กน่าจะดีกว่า อ๋อยเป็นคนที่ไม่ค่อยเครียดหรอกค่ะ ขนาดว่าทำหนังเจ๊งไป 3 เรื่องก็ยังหัวเราะยิ้มได้อยู่ดี แต่ก็จะยิ้มจะหัวเราะเฉพาะในกลุ่มนะ กับคนข้างนอกเราก็จะไม่คุยไม่อะไร คือถ้าไม่สนิทเราไม่กล้าเปิดใจคุยในกลุ่มเพื่อนเขาก็จะชอบให้เราขุดเรื่องขำๆ ในอดีตขึ้นมาคุยอยู่นั่นแหละ อดีตเราอ่ะเยอะ แต่เราชอบเอามาทำให้เป็นเรื่องตลกมันก็เลยสนุก ไม่รู้จะเครียดไปทำไมเดี๋ยวโรคภัยถามหา
เป็นการสนทนาที่วงเล็บเสียงหัวเราะไว้มากที่สุด แม้เรื่องราวชีวิตที่บอกเล่าจะเป็นเรื่องที่หนักแต่อดีตนักแสดงนางแบบเซ็กซี่สตาร์ตัวแม่ในตำนาน“อ๋อย-สินาภรณ์ พิไลลักษณ์” ก็ยังคงยิ้มรับ กับทุกเรื่องราวในชีวิต
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี