คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับนักแสดงสาว กิ๊ฟ-อัญชิสา เลี่ยวไพโรจน์ ที่เริ่มบทบาทในวงการบันเทิง ด้วยการเป็นนางเอกละครจักรๆ วงศ์ๆ สุดฮอตในอดีตอย่าง “นางพญาไพร” ทำให้เธอแจ้งเกิดในวงการบันเทิงอย่างเต็มตัวและมีผลงานเบื้องหน้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่พักหลังมานี้ ดูเหมือนจะห่างหายไป ชีวิตวันนี้ของเธอเป็นอย่างไร “สตาร์เรโทร” สัปดาห์นี้ จะพาไปอัพเดทชีวิตของเธอกันค่ะ
ชีวิต ณ ปัจจุบัน
กิ๊ฟยังรับเล่นละครปกติค่ะ ยังมีละครติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ อาจจะด้วยวัยและอะไรหลายๆ อย่าง เราก็อาจจะต้องดูบทมากขึ้น งานเราจึงไม่ได้ออกมาต่อเนื่อง เลยอาจจะดูเหมือนหายๆ ไปบ้าง คนก็จะสงสัย เอ๊ะ..หายไปไหนหรือเปล่า คือไม่ใช่ว่าไม่อยากรับนะคะ แต่ว่าคิวไม่ได้ ก็เลยไม่ได้รับค่ะ แต่ว่าจริงๆ แล้วเราก็ยังรับเล่นละครอยู่ พิธีกรก็ยังมีบ้าง ซึ่งละครที่เล่นไว้ยังไม่ออนแอร์ก็มีอยู่ค่ะ
จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิง
ก่อนหน้านี้ มีโมเดลลิ่งติดต่อมาให้ไปประกวดนั่นนี่ แต่ว่าเราไม่ชอบ ไม่อยากทำงานในวงการนี้ แต่อยู่ดีๆ ไปเจอพี่หม่อม ก็รู้สึกว่าโอเคเลยไม่ได้ปฏิเสธ ไปถ่ายรูปทำโปรไฟล์ แล้วพี่เขาก็ส่งรูปเราไปประกวดมิสมอเตอร์โชว์แต่ปรากฏว่าไม่ทัน พี่เขาก็เลยบอกว่ามาเวทีหนุ่มสาวแฮ็คส์แล้วกัน เราก็โอเค เขาก็ส่งไปประกวด จนกระทั่งเราได้ประกวดและชนะได้รางวัลที่ 3 พอทำกิจกรรมกับแฮ็คส์เสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง กิ๊ฟก็ไม่ได้เจอพี่เขาอีกเลย พี่เขาหายไปเลยค่ะ เขาคงรู้ว่ามีพี่ที่แฮ็คส์ดูแล เขาก็เลยไม่มายุ่งเลย ไม่เคยมาทวงบุญคุณ ตอนนี้กิ๊ฟเลยไม่รู้ว่าพี่เขายังสบายดีไหมหรือยังไงค่ะ
เข้าวงการเต็มตัว
กิ๊ฟเข้าวงการตอนที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ประมาณอายุราวๆ 18-19 ปี ถ้าต้องเทียบกับตอนนี้คือถือว่าช้า เพราะเด็กสมัยนี้เข้าวงการเร็ว และตอนนั้นเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับเรา การจัดสรรเวลายากมาก กิ๊ฟไม่ได้มีคนดูแลหรือผู้จัดการ จะไปไหนก็ไปกับแม่ มีแม่คอยดูแล แต่ด้วยความที่ใหม่ รู้สึกว่าควบคุมอะไรไม่ค่อยได้ จำได้ว่าตอนนั้นหลังจากได้รางวัลประกวดหนุ่มสาวแฮ็คส์ก็มาเล่นละคร เป็นแนวจักรๆ วงศ์ๆ ของดีด้า เรื่องแรกเลยปี พ.ศ. 2542 เรื่อง “นางพญาไพร”เป็นเด็กแก่นอยู่แต่ในป่า เหนื่อยมาก เราก็เหมือนจัดการชีวิตไม่ค่อยได้ ละครถ่ายไปออนไปด้วย ยิ่งเหนื่อยหนักเข้าไปอีก ไม่ได้หยุดหรือกลับบ้านเลย แต่คนดูเรื่องนี้เยอะมากค่ะทำให้เรากลายเป็นที่รู้จักทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
ผลงานสร้างชื่อเสียง
คิดว่าน่าจะเป็นเรื่อง “นางพญาไพร” นี่แหละค่ะ แต่กิ๊ฟไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีช่วงพีคนะคะ กิ๊ฟรู้สึกว่ามันมาเรื่อยๆ หมายถึงว่ามีงานเรื่อยๆ พอจบ “นางพญาไพร” ก็จะมีละครธรรมดาต่อมาเรื่อยๆ อีก แล้วก็มาเป็นภาพยนตร์ตามสเต็ปค่ะ มีหลากหลายงานเข้ามา ไม่ได้มีช่วงไหนที่พีคเป็นพิเศษ ซึ่งสมัยก่อนถ้าคนที่ไม่ซื้อหนังสือหรือแมกกาซีน ก็จะไม่เห็นเรา ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เปิดมือถือมาเจอเลย เห็นหมด มันมีความรวดเร็วกว่ายุคก่อนๆ เยอะค่ะ
เกือบเสียการเรียน
ตอนนั้นเรียนปริญญาตรี นิเทศศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพค่ะ แรกๆ ก็มีปัญหานะเพราะยังจัดสรรเวลาไม่ได้ เรียกว่าแทบไม่ได้ไปเรียนเลยก็ว่าได้ ก็ต้องให้เพื่อนคอยช่วยเหลือ นี่ถ้าไม่ได้เพื่อนคงแย่ค่ะ (หัวเราะ) เพราะปี 1 ปี 2 เรียนค่อนข้างหนัก จะมีวิชาพื้นฐานที่ไม่เกี่ยวกับนิเทศฯ เราไม่ถนัด เลยจะยากหน่อย แล้วเราก็ต้องปรับตัวมาจากมัธยมด้วย ก็ปรับตัวค่อนข้างเยอะ และใช้ชีวิตยากเหมือนกันค่ะ ช่วงนั้นเกือบจะไม่จบ เกรดต่ำมาก แต่พอขึ้นประมาณปี 3ก็เริ่มปรับตัวได้ เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งจบ พร้อมกับการทำงาน เล่นละครมาเรื่อยๆ
ตั้งหลักได้ พร้อมเรียนต่อ
ตอนนั้นได้มาเล่นหนังเรื่อง “มนต์รักร้อยล้าน” เจอพี่หนึ่ง (วรเชษฐ์ นิ่มสุวรรณ) พี่เขาก็แนะนำว่าที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม มีเปิดคณะใหม่ คณะบริหารการจัดการ เขาก็ถามว่าสนใจไหม อยากเรียนหรือเปล่า บวกกับตอนนั้นเราก็อยากเรียนต่อปริญญาโท แต่ไม่รู้จะไปทางไหนดี พอพี่หนึ่งแนะนำเราก็เลยโอเคลองดู เรียนประมาณสองปีก็จบค่ะ กิ๊ฟว่าบางทีมันเป็นช่วงจังหวะชีวิตนะคะ อย่างช่วงที่เรียนแรกๆ 7 วันไม่มีงานเลย เราก็ได้อยู่บ้าน 7 วันไม่ไปไหนเลย ซึ่งไม่เคยทำได้ ต้องไปไหนมาไหนตลอด แต่ครั้งนี้เรารู้สึกว่า ลองตั้งใจเรียนแบบจริงๆ จังๆ เพราะที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย แล้วเราเรียนบริหารทุกอย่างใหม่ บัญชีนี่เราก็เลี่ยงมาตั้งแต่มัธยม แต่พอต้องมาเริ่มใหม่ปุ๊บ โอเค ก็ต้องตั้งใจ ทำการบ้านอยู่ที่บ้านแบบ 7 วันเต็มๆ แล้วผลที่ได้รับคือ ดีมากๆ คะแนนดีจนครูเองก็ตกใจว่าเรียนได้ขนาดนี้เลยเหรอ (หัวเราะ) นี่ก็จะเป็นช่วงแรกๆ ค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็จะเริ่มมีงานเข้ามา เราก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจนจบส่วนแพลนเรียนปริญญาเอกมีไหม อยากจะเรียนนะคะ แต่ก็ต้องหาตัวเองให้เจอก่อนว่าเราจะต่อไปทางไหนดี (ยิ้ม) เปลี่ยนสายเลยไหม หรือยังไง แต่ถ้ามีโอกาสและเจอสิ่งที่อยากเรียนก็จะไปต่อค่ะ
เปิดมุมมองใหม่ๆ กับชีวิต
การที่กิ๊ฟได้มีโอกาสไปวิปัสสนา ครั้งแรกเลย คือกิ๊ฟถ่ายละครอยู่ที่กองแม่ก้อย (ทาริกา ธิดาทิตย์) คุณแม่ก็สายนี้อยู่แล้ว แม่ก็อยากให้ทีมงานนักแสดงไปนั่ง ตอนแรกเราคิดเองว่า…คือเราเล่นละครให้คนดูรู้สึกเกลียดชัง มันอาจจะไม่ค่อยดีหรือเปล่า เลยให้ไปนั่ง แต่จริงๆ คุณแม่บอกว่าเหมือนอยากให้เราไปอยู่กับตัวเอง ไปทำบุญ ก็ลองไปดู พอไปครั้งหนึ่งก็รู้สึกว่าเออดี เราชอบ สบายใจ ไม่ต้องคิดหรือห่วงอะไร แล้วหลังจากนั้นมาก็ไปเรื่อยๆ ค่ะ ทำให้อารมณ์เราดีขึ้น ปรับทัศนคติมุมมองเราใหม่ ในทางที่ดีขึ้นค่ะ
รู้จักตัวเองมากขึ้น
ก่อนหน้านี้เป็นคนมองโลกในแง่ลบนะคะ แต่พอด้วยอายุ โตขึ้น มุมมองความคิดก็เลยจะเปลี่ยน บวกกับมีโอกาสได้ไปนั่งวิปัสสนา ก็ช่วยในเรื่องของความคิด อารมณ์ ช่วยให้มุมมองความคิดการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไปตามสิ่งที่เราเจอ ถือว่ารับมือได้ระดับหนึ่ง แต่บางทีก็มีอารมณ์เศร้า ร้องไห้ก็มีนะ แต่ก็จะไม่ให้ตัวเองจมอยู่กับสิ่งนั้นนานๆ เรียนรู้ที่จะรับมือกับมัน ไม่ทำให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน และทำให้ตัวเองทุกข์ด้วยความคิดของตัวเอง ก็จะพยายามพาตัวเองออกไปจากตรงนั้นค่ะ
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
เมื่อก่อนเคยคิดว่าทำไมเราต้องมาทำงานเยอะกว่าเรียนหนังสือ แต่พอมันผ่านช่วงเวลามาแล้ว เราก็รู้สึกว่า เออ..นั่นเหมือนเป็นกำไรชีวิตเราเลยนะ เป็นโอกาสที่ดีในชีวิตของเรา แต่ตอนเด็กตอนนั้นเราไม่คิดไง คิดแค่ว่า ฉันเหนื่อยมากเลย ไม่อยากทำ ก็จะมีความงอแง แต่พอมาถึงกองถ่ายเราก็ทำงานนะไม่ได้มีอะไร การที่เราผ่านจุดนั้นมาได้ถือว่าเราเอาตัวรอดได้ในระดับหนึ่ง หรืออย่างช่วงที่เราดาวน์ไม่มีงาน อาจจะเป็นช่วงที่แบบเราได้หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น อยู่กับตัวเองมากขึ้น มีความสุขกับปัจจุบัน ทำตัวเองให้ดีไม่ใช่ปล่อยตัว งานเข้ามาเมื่อไหร่ก็พร้อมทำ
ชีวิตประจำวัน
ตอนนี้อยู่กับคุณพ่อ-คุณแม่ ยังไม่ได้มีครอบครัวเป็นของตัวเองค่ะ วันว่างๆ ก็จะไปออกกำลังกายบ้าง ดูหนัง อยู่บ้าน คือกิ๊ฟจะชอบอยู่เป็นส่วนตัว เพราะเวลาเราออกไปข้างนอก เราต้องเจอคน ต้องเอ็นเตอร์เทน เราก็ทำเต็มที่ แต่พอกลับมาบ้าน เลยอยากที่จะอยู่แบบนิ่งๆ เงียบๆ คนเดียว ให้เวลากับตัวเองมากขึ้น หลุดจากแสงสีเสียงบ้างอะไรแบบนี้ค่ะ
วางแผนอนาคตในวงการบันเทิง
ยังอยากทำตรงนี้ไปเรื่อยๆ ค่ะ กิ๊ฟรักงานตรงนี้ แล้วก็ชอบ สนุกที่จะได้ไปถ่ายละคร เจอคนตามกองถ่าย กิ๊ฟว่ามีความสุขนะ คือถ้าเป็นไปได้ก็อยากทำไปเรื่อยๆ ส่วนเบื้องหลังเช่น โค้ชแอ๊กติ้ง กิ๊ฟไม่ถนัดและสอนคนไม่ค่อยเป็น ก็เลยไม่ดีกว่า งานผู้จัดฯ ก็คิดว่าต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากกว่านี้ค่ะ อยากที่จะลองทำเหมือนกัน แต่ ณ เวลานี้อาจจะยังไม่ใช่ แล้วก็ด้วยประสบการณ์และอะไรหลายๆ อย่าง อยากปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตไป ถ้ามีโอกาสก็อาจจะลองจากรายการเล็กๆ ก่อนแล้วค่อยๆ ขยับขยายไป
ธุรกิจส่วนตัว
กำลังทำเกี่ยวกับธุรกิจความสวยความงามค่ะ ทำกับเพื่อนนอกวงการบันเทิง ตอนนี้เริ่มวางแผนหาข้อมูลต่างๆ มีการวิจัยเพื่อทำให้มันออกมาแบบถูกต้องและมีประโยชน์จริงๆ ตอนนี้อยู่ใน
ขั้นตอนการทำการวิจัย ทดลองค่ะ
แพลนแต่งงานมีครอบครัว
เรื่อยๆ ค่ะ ไม่ได้อะไร ยังไม่รีบแต่ก็มีพี่ที่คุยด้วย คุยกันมา 6 ปีแล้ว คือความรักที่ผ่านมาช่วงวัยรุ่นเราก็มีความรักแบบหนึ่ง พอโตมาก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เราก็จะคิดได้ไปเรื่อยๆ แต่ ณ จุดๆ นั้นที่ผ่านมา เราไม่รู้หรอกว่าอันนั้นคือดี อันนี้คือใช่ พอมันผ่านไปแล้ว เราได้กลับมาคิด เอ่อ..มันก็ไม่ได้ถูกอย่างที่เราคิดเสมอไปนะ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ไงเราต้องเจอกับตัวเองก่อน เคยคบทั้งคนในวงการ และคนนอกวงการ แต่ตอนนี้คิดว่าคนนอกวงการดีกว่าค่ะ (หัวเราะ) คือเรื่องงานเราก็ไม่ได้ก้าวก่ายกันอยู่แล้ว พี่เขาก็ไม่ก้าวก่ายกับงานเรา ส่วนเราก็ไม่ได้แบบทำงานจนไม่มีเวลาเลย ถามว่าตอนนี้น่าจะถึงวัยที่ควรมีครอบครัวแล้วไหมก็น่าจะนะคะ หลายๆ คนอาจจะคิดว่าควรจะมีครอบครัวได้แล้ว แต่กิ๊ฟก็ไม่ได้รีบ หรือเร่งรัด กิ๊ฟว่าโดยส่วนใหญ่คนที่แต่งงานอยากจะมีลูก ขยายครอบครัว แต่กิ๊ฟอาจจะรู้สึกว่าไม่ได้อยากมีลูก เพราะมีโอกาสได้เจอลูกเพื่อน ก็จะรู้สึกว่าไม่มีดีกว่า (หัวเราะร่วน) แต่จริงๆ กิ๊ฟเองก็เป็นคนชอบเด็กนะคะ เล่นได้ เลี้ยงได้ แต่ถ้าเรามีลูกสักคนเราจะมีความห่วงหลายๆ อย่าง และอยากจะเลี้ยงเขาให้ดีที่สุด รวมถึงเรื่องของการเงิน ค่าเลี้ยงดูเขา เดี๋ยวนี้เลี้ยงเด็กคนหนึ่งค่อนข้างที่จะมีค่าใช้จ่ายเยอะเราไม่อยากห่วง ไม่อยากเป็นทุกข์ หลายคนก็บอกว่าให้มีเถอะ เหนื่อยแต่ก็มีความสุขนะ แต่กิ๊ฟก็จะแบบว่า ฉันมีความสุขในทางอื่นก็ได้ (หัวเราะ) ส่วนพี่ที่เราคบอยู่ด้วยเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะมีเหมือนกัน เฉยๆ แต่ถ้าวันหนึ่งพี่เขาอยากจะมี ก็คงต้องคุยกันอีกทีแพลนแต่งงานเลยยังไม่มีเร็วๆ นี้แน่นอนค่ะ เพราะงานพี่เขาก็ค่อนข้างเยอะและเครียด บวกกับครอบครัวกิ๊ฟเองก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร เพราะน้องชายกำลังจะแต่งงานแล้ว กิ๊ฟเองก็ไม่ได้กดดันอะไรว่าจะต้องแต่งนะ น้องแต่งแล้ว เรื่อยๆ เป็นไปตามธรรมชาติค่ะ
เรียนรู้อะไรจากวงการบันเทิง
อยากจะขอบคุณวงการบันเทิงและอาชีพนักแสดงที่ทำให้เรามีรายได้ มีชื่อเสียง นี่คือสิ่งพื้นฐานเลยล่ะ และนอกเหนือจากนี้คือมันหล่อหลอมให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น สำหรับกิ๊ฟนะคะ แล้วก็เรื่องนิสัยทุกอย่างเลยล่ะ มันค่อยๆ ทำให้เรากลายเป็นเราในทุกวันนี้ หลายคนอาจจะมองว่าการเข้ามามันง่าย แต่การที่จะอยู่นานๆ นี่มันยาก แต่กิ๊ฟเองก็อยู่มาประมาณ 19 ปี แล้ว กิ๊ฟก็ไม่รู้อยู่มาได้ยังไง (หัวเราะ) แต่อย่างหนึ่งที่กิ๊ฟเชื่อคือเราต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบส่วนหนึ่ง ไปกองถ่ายไม่ได้มีปัญหากับใคร ตรงต่อเวลา รับผิดชอบในบทบาทของเรา ทำการบ้านไปกอง สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้เราโตขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าเราอยู่ได้มันก็แบบน่าจะโอเคนะ ผู้ใหญ่ก็คงเห็นอะไรในระดับหนึ่ง ก็ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้ อย่างที่บอกมันหล่อหลอมให้เราเข้มแข็งขึ้น แล้วก็มีความรับผิดชอบค่ะ
และอีกสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้จากสาวคนนี้ คือความเสมอต้นเสมอปลายค่ะ เกือบ 20 ปีที่แล้วเธอเป็นอย่างทุกวันนี้เธอก็ยังส่งต่อความน่ารักสดใสให้กับคนรอบข้างได้อย่างดีเยี่ยมเหมือนเดิม
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี