สัปดาห์ที่แล้วคอลัมน์สตาร์เรโทรนำเสนอเรื่องราวของ “มาร์” หนึ่งในสามสาวสมาชิกวง “ที-สเกิ๊ต (T-Skirt)” ที่โด่งดังในช่วงยุคเกือบ 20 ปีกว่าปีที่แล้ว และฉบับนี้เราเลยขอมาต่อยอดกับเรื่องราวของน้องสาวคนสุดท้อง ของกลุ่มเกิร์ลกรุ๊ป “กิ๊ฟ” ธิติยา นพพงษากิจ แม้จะมีโอกาสออกงานเพลงเพียงระยะเวลาไม่นาน
ซึ่งก่อนหน้านี้“กิ๊ฟ” ธิติยา เริ่มเส้นทางการเข้าวงการแจ้งเกิดจากงานแสดง ตั้งแต่ยังเด็ก และถือเป็นหนึ่งในเด็กปั้นของค่ายดาราวีดีโอที่มีผลงานมากมายโดยเฉพาะละครแนวพื้นบ้านจักร ๆ วงศ์ ๆ ที่หลายคนจำได้และเป็นที่รู้จักกันมาจนถึงทุกวันนี้ และครั้งนี้ ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้าจะพาคุณผู้อ่านไปย้อนวัยและทำความรู้จักกับเธออีกครั้ง
เริ่มต้นเข้าวงการ
เริ่มเข้าวงการโดยไปประกวดหนูน้อยนานนาชาติที่แดนเดรมิตค่ะประมาณ 7 ขวบ และหลังจากนั้นได้มีโอกาสได้เข้าไปเล่นละครกับทางดาราวีดีโอค่ะ ซึ่งตอนนั้นพี่ “ลอร์ด” สยม สังวริบุตร เป็นคนแคสติ้งเลยค่ะเป็นสมัยที่พี่เขายังวัยรุ่นอยู่ และตั้งแต่นั้นเลยได้เข้ามาในวงการในฐานะนักแสดงตั้งแต่เด็กค่ะ
แจ้งเกิดจากงานละคร
หลังจากนั้นได้เข้าไปเล่นละครเรื่องแรกเป็นละครพื้นบ้านจัก ๆ วงศ์ ๆ เรื่อง “อุทัยเทวี” ซึ่งเราแสดงเป็นนางเอกตอนเด็กตอนนั้นเรายังอายุแค่ 8 ขวบ เรียกได้ว่าลำบากเลยทีเดียวเพราะยังเด็กอยู่แล้วยุคสมัยนั้นเวลาถ่ายมันต้องถ่ายจริงไมได้มีฉากบลูสกินอะไรแบบนี้ค่ะต้องขึ้นเขาปีนเขาไปตามป่าต้องวิ่งหกล้มอะไรแบบนี้ หลังจากนั้นได้มาเล่นละครเรื่อง “ตำรับรัก” ที่พี่แอน สิเรียม กับพี่บดินทร์ ดุ๊ก เป็นพระเอกนางเอก ซึ่งเรียกได้ว่ากิ๊ฟเกิดได้เพราะดาราวีดีโอ ซึ่งต้องขอขอบคุณพี่ลอรด์ที่ให้โอกาสเราได้เล่นละครค่ะ ซึ่งเราก็ได้เล่นละครของดาราวีดีโอมาตลอด ช่วงหลังก็จะมาสลับกับทางกันตนา จะมีเรื่อง “บัวแล้งน้ำ” , “ขมิ้นกับปูน” ซึ่งเราจะเล่นเป็นนางเอกตอนเด็ก หลังจากนั้นเราได้มีโอกาสมาทำงานเพลงแต่ก็ได้เล่นละครควบคู่ไปด้วยส่วนเรื่องที่เล่นร้ายจะมีเรื่อง “ห้องหุ่น” เราเล่นเป็นตัวร้ายตอนเด็กเหมือนกัน ตอนนั้นจำได้ว่าเล่นเป็นพี่ลูกศร ซึ่งก็ได้เล่นละครมาเรื่อย ๆ
ส่วนเรื่องที่แสดงเป็นนางเอกเต็มตัวเรื่องแรกเลยเป็นละครแนวจักร ๆ วงศ์ ๆ เช่นกัน เรื่อง “บัวแก้ว บัวทอง” เราเล่นกับ “เบ๊นซ์” พรชิตา ณ สงขลา ส่วนนางร้ายตอนโตจำไมได้ว่าเปิดด้วยเรื่องอะไร แต่เรื่องที่ทำให้เป็นที่รู้จักกันมากจะเป็นเรื่อง “กากับหงส์” ซึ่งตอนนั้นเป็นยุคของละครเย็น มีทั้งหมด 45 ตอน และเรื่องนี้เหมือนทำให้คนรู้จักเรามากขึ้นกับบทบาทโดยเฉพาะคำพูด “คุณป้าขา” ซึ่งดังมากในตอนนั้น เล่นกับ อา “ปุ๊” ปิยะมาศ โมนยะกุล เรื่อง “สุดสายป่าน”
เข้าสู่วงการเพลง
เป็นความฟลุ๊คค่ะพอดีวันนั้นเราไปแคสงานผมที่พระราม 9 แล้วมันเป็นช่วงจังหวะที่เราแคสเสร็จแล้วกำลังเดินทางกลับบ้าน ซึ่งต้องเดินผ่านหน้าบริษัท แล้วพี่ที่เป็นประชาสัมพันธ์ชื่อ “พี่บ๋วย” ที่ บริษัทคีตา เรคคอร์ด ในตอนนั้นเค้าเห็นเราเข้าเลยเรียกเราไปลองเทสต์ดูปรากฏว่าเราได้ เพราะตอนนั้นวง “ทีสเกิร์ต” กำลังหานักร้องคนสุดท้าย เพราะวงมี 3 คน คือมันเป็นจังหวะด้วยเพราะจริง ๆ ตอนนั้นเหมือนจะเป็น ทาทา ยัง อยู่แล้วแต่ด้วยความที่เขาโดดเด่น และอาจจะไม่เข้ากับ พี่ ๆ อีก 2 คน คือพี่มาร์ กับ พี่จอย แล้วพอพี่เขาเจอเราเขาเลยถูกชะตามันเลยทำให้เราได้เข้าไปออกอัลบั้มเป็น 3 สาว ทีสเกิ๊ต ตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งถือเป็นโอกาสและความโชคดีของเราด้วย
สมาชิกคนสุดท้องของ “ทีสเกิ๊ต”
จำได้ว่าตอนนั้นที่เข้ามาเราเป็นคนเล็กที่สุดเลย แล้วต้องเรียนหนังสือด้วยเพราะออกเทปช่วงประมาณ ม.2 ปลาย ๆ ช่วงนั้นอายุประมาณ 13 ปี ซึ่งสไตล์ของกิ๊ฟจะเป็นแบบเด็ก ๆ เพลงของกิ๊ฟที่ดังจะเป็นเพลง “ฟ้องท่านเปา” ค่ะ ตามคาแร็กเตอร์เลย ไม่ว่าจะเป็นทำนอง เนื้อร้อง กิ๊ฟก็จะเป็นน้องคนสุดท้องเป็นเด็กแบบซน ๆ ซึ่งในตอนนั้นอัลบั้มแรกก็ประสบความสำเร็จ และการที่ออกเทปทำให้เราเหมือนมีพี่สาวเพิ่มขึ้นมา 2 คน เพราะเราต้องเดินสายไปด้วยกันตอนนั้นสนุกมาก ทำให้เราได้ประสบการณ์ โตขึ้น เพราะพี่ ๆ เขาอายุมากกว่าเรา และเราก็สนิทกันมาจนทุกวันนี้เวลามีอะไรก็จะคุยกันปรึกษากันตลอด
ร้องเพลงกับการแสดงชอบงานไหนมากกว่ากัน
จริง ๆ แล้วก็ชอบทั้งหมดค่ะ อย่างงานละครเราถือว่าเราเกิดจากจุดนั้น มันเป็นงานที่เราเริ่มทำเราก็จะรู้สึกรัก ส่วนงานเพลงที่ชอบเพราะว่าเราได้รับโอกาสที่ดี ประกอบกับด้วยทีมงาน พี่มาร์ พี่จอย ซึ่งเราทำงานเหมือนอยู่กันแบบครอบครัว
ตอนที่หยุดทำอัลบั้มรู้สึกอย่างไรบ้าง
กิ๊ฟคิดว่าคงจะเป็นเหมือนกับหลาย ๆ คนที่เขาเป็นก็คงจะรู้สึกแย่ ตกใจแล้วก็เสียใจ เพราะอัลบั้มชุดแรกที่ออกมาเราประสบความสำเร็จ ส่วนชุดที่สองกำลังเพิ่งออกมาเพิ่งเริ่มโปรโมทแต่ยังไม่มากก็ยังมีแฟนเพลงที่เขายังติดตามผลงานเราก็อาจจะได้รับการตอบรับที่ยังไม่ค่อยดีมาก แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่เขารักเราแล้วคอยตามตลอด ความรู้สึกมันเหมือนทุกคนถูกทิ้งอยู่กลางแม่น้ำอะไรแบบนี้ค่ะ มันรู้สึกเคว้งไม่ว่าจะเป็นตัวศิลปินเอง และตัวทีมงานก็คงรู้สึกเหมือนกันเพราะตอนที่เราใช้ชีวิตด้วยกัน ด้วยความที่เป็นคีตา เรคคอร์ด ซึ่งอาจเป็นองค์กรที่ไม่ใหญ่โตมาก แต่ถ้ายุคนั้นก็จะเป็นประมาณที่ 2 – 3 ของค่ายเพลงซึ่งจะรองมาจากแกรมมี่ฯ และ อาร์เอส ค่ะ ซึ่งทำให่เราอยูกันแบบครอบครัว คุยกันรักกันสนุกสนาน เมื่อต้องยุบทีสเกิ๊ตเพราะบริษัทฯ ปิดตัวเราก็เสียใจเหมือนกัน
หลังจากนั้นทำอะไรต่อ
หลังจากจบจากเพลงก็ยังมีงานละคร เป็นพิธีกร ก็จะเป็นในลักษณะนั้นแล้วก็หยุดไปซึ่งเราก็จะเริ่มห่าง ๆ จากตรงนั้นแล้วมีครอบครัว แล้วหลังจากนั้นเราก็ไปเรียนต่อปริญญาโท และมาทำงานประจำค่ะ
ชีวิตครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง
ถือเป็นอีกสเต็ปนึงของชีวิต เพราะการมีครอบครัวทำให้เราต้องปรับตัว ช่วงแรก ๆ ของการใช้ชีวิตคู่ก็อาจรู้สึกอีกแบบหนึ่ง เป็นความรู้สึกของหนุ่มสาวที่แบบดี๊ด๊า แต่พอมาตอนนี้เราชีวิตร่วมกันมาเกือบ 10ปี มีลูกอายุ 8 ขวบแล้ว มันจะกลายเป็นความผูกพันความห่วงใยที่มันไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกแบบสาว ๆ ค่ะ ซึ่งกิ๊ฟเองก็ต้องพยายามปรับตัวเพราะแฟนกิ๊ฟอายุห่างกันประมาณ 16 ปี ค่อนข้างเยอะ ซึ่งบางคนอาจคิดว่าจะมีปัญหาช่องว่างระหว่างวัย แต่กิ๊ฟคิดว่าช่องว่างที่ห่างกันตรงนี้บางทีเรื่องของตัวเลข อายุอาจไม่ใช่ประเด็นนะกิ๊ฟว่า มันขึ้นอยู่กับความเข้าใจกันแบบนี้มากกว่า แต่ว่าเราเป็นคนก็ต้องมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ ต้องมีงอน บ้าง ง้อบ้าง เถียงบ้าง ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของการใช้ชีวิตคู่ และที่สำคัญเมื่อเรามีลูกก็ต้องเป็นอีกเรื่องที่เราต้องมองเมื่อเราทะเลาะกัน เราก็ต้องมองถึงลูก และย้อนกลับไปคิดถึงวันที่เรารักกันตอนแรก ซึ่งจะมีความโหยหา คิดถึงกัน แค่นี้ก็ทำให้ใช้ชีวิตคู่ได้ยาวนานแล้ว
ทำไมถึงห่างหายจากงานวงการบันเทิง
จริง ๆ ครอบครัวไม่ได้ห้ามรับงานละครนะคะ แต่ว่า เราทำงานประจำด้วยซึ่งสาเหตุที่เราเลือกทำงานประจำเพราะช่วงที่เราเรียนปริญญาตรีเราอาจให้เวลาเรียนได้ไม่เต็มที่ เราต้องทำงานแล้วพอเรามีครอบครัวปุ๊ปเลยทำให้เราอยากเรียนอะไรที่อยากจะเรียนนะ และอยากทำงานที่เราจะมีความมั่นคง ก็เลยไปเรียนต่อปริญญาโท พอเราเรียนจบเลยคิดที่จะหางานประจำทำ ซึ่งงานประจำเราก็ต้องให้ความสำคัญกับเวลาเพราะเขาจ้างเราแล้วเราก็ต้องให้เวลาเต็มที่
อัพเดทงานในปัจจุบัน เป็นอย่างไรบ้าง
ตอนนี้เป็น Marketing Communication Manager ที่ โตโยต้า กรุงเทพยนต์ แถวพระราม 9 ซึ่งพอมาทำงานประจำก็ค่อนข้างแตกต่างในรูปแบบขององค์กรบริษัท แน่นอนเรื่องของเวลาก็ต้องมีระเบียบวินัย ตรงเวลา ยิ่งถ้าเรามีพนักงานมีลูกน้องก็ยิ่งต้องเป็นแบบอย่าง ต้องมีความรับผิดชอบด้วย
อยากกลับไปวงการมั๊ย
คือดูระหว่างเพลงกับละคร กิ๊ฟเหมือนจะใช้ชีวิตใช้เวลากับงานละครมากกว่า เพราะอย่างออกเทปมันแค่ช่วงเวลาไม่กี่ปี แต่ละครเราเริ่มต้นตั้งแต่เด็ก ซึงคนจะรู้จักมากกว่า และเราดูเหมือนประสบการณ์เมโมรี่ของเราก็ยังจดจำว่าเราเคยวิ่งในป่า หกล้มฉากแรก แล้วมันเลือดออก หรือแม้แต่เล่นเรื่อง “ไกรทอง” ฉากที่เราต้องถูกจระเข้งับลงไปในน้ำเราต้องจมน้ำแล้วเขาลืมเอาเราขึ้นมาแล้วเราเกือบตาย หายใจไม่ออก สำลักน้ำ คือมันจะเป็นความทรงจำเพราะเราใช้เวลากับละครมาหลายปีเราก็อาจจะจำ ส่วนหนึ่งเราก็ชอบและรักงานแสดงถ้ามีโอกาส อะไรเหมาะสมก็คงอยากกลับไปเล่น แต่ตอนนั้อายุเราก็เริ่มมากแล้ว
สิ่งที่ได้จากวงการบันเทิง
แน่นอนว่าอย่างหนึ่งที่มี ณ วันนี้ได้ คือ โอกาส ต้องขอบคุณพี่ ลอร์ด ที่ให้โอกาสเรายังจำได้เลยว่าสมัยนั้นที่พี่เขาแคสติ้งเขาให้กิ๊ฟร้องเพลง ให้เต้น และตอนนั้นเราเลือกเพลง “กาต้มน้ำน้อย” นั่นคือประสบการณ์และความทรงจำที่ที่เราระลึกถึงเสมอว่าคน ๆ นี้ให้โอกาสเรา จนมามีทุกวันนี้ ที่ได้โอกาสต่อยอดมาเป็นนักร้อง พิธีกร และอีกหลาย ๆ อย่าง จนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่และมีคนรู้จักเยอะ
มองวงการบันเทิงตอนนี้อย่างไรบ้าง
จริงๆแล้วคิดว่าแล้วแต่มุมมอง คือว่าทุกวงการก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี เพราะฉะนั้นคนที่ดีในวงการก็มีเยอะแยะและในวงการนี้ได้ให้โอกาส ให้คนมีชื่อเสียงมีทรัพย์สินเงินทองมีอะไรได้เยอะ อยากให้คนที่เข้ามาใหม่ ๆ เอาแบบอย่างของพี่ ๆ ที่เขาทำตัวดี มีวินัย ตรงต่อเวลา ไว้เป็นแบบอย่าง
ฝากถึงแฟน ๆ
สำหรับแฟน ๆ ที่รู้จักที่ติดตามผลงานก็ต้องขอขอบคุณมาก ๆ เพราะตอนนั้นเราก็เหมือนเป็นศิลปินกลุ่มๆแรก ๆ ที่นำเทรนด์แฟชั่น ใส่กระโปรงสั้น ช่วงนั้นก็สนุกกันค่ะ และถ้าเขาติดตามเรามาจนถึงวันนี้ก็ต้องขอขอบคุณมาก ๆ ที่ยังคงระลึกถึง อยากให้ทุกคนแฮปปี้มีความสุข ขอให้ปีใหม่นี้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรง และร่ำรวย ค่ะ
พินิตา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี