คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับ อั๋น-วัชระ แวววุฒินันท์ โปรดิวเซอร์คนเก่งมากความสามารถ กับหลากหลายบทบาทหน้าที่ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังกว่า 40 ปีที่เป็นแกนหลักให้กับ เจเอสแอล โกลบอล มีเดีย ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์รายใหญ่ของประเทศ สร้างสรรค์ผลงานยอดฮิตมากมาย ทำให้เขาได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง ทดลองทำงานใหม่ๆ อย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะการทำละครเวทีที่เขาหลงใหลเอามากๆ อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาหลงเสน่ห์และประทับใจในงานด้าน วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกันค่ะ
จุดเริ่มต้น
ผมเรียนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตอนเรียน ผมก็จะสนุกสนานกับการทำกิจกรรมมาก เราทำเกือบทุกอย่าง ค่ายอาสา วิชาการต่างๆ ทำหมด และที่ส่งผลเลย คือเราชอบทำละครเวที ตอนนั้นจำได้ว่าอยู่ประมาณปี 4 แล้ว JSL เปิดมาได้ประมาณสัก 2 ปี ทางเจ้าของบริษัทก็อยากจะได้คนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำงานในการคิด การทำบทต่างๆ พี่ตู้ (จรัสพงษ์ สุรัสวดี) เจ้านายตอนนั้น ก็ชวนมาทำเราก็แบบตื่นเต้น ที่ได้เข้ามาทำ เพราะเมื่อก่อนสื่อทีวี.เป็นสื่อหลักที่แข็งแรงมาก การที่เราได้มีโอกาสเข้ามาทำงานเป็นส่วนหนึ่งในรายการทีวี ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ แม้ว่าจะทำเป็นจ๊อบๆ ไม่ได้ประจำ เพราะยังเรียนอยู่ ตอนนั้นก็ทำเป็นครีเอทีฟ เช่น ทำช่วงโชว์ที่คั่นอยู่ในรายการยาว 4-5 นาที แล้วแต่เราจะครีเอทให้มีความแปลกและพิเศษตามภาษาของเรา ก็เริ่มทำและเรียนรู้มาเรื่อยๆ โดยเริ่มจากงานครีเอทีฟ เขียนบท ทำให้ได้รู้ว่ารายการทีวี.เขาทำยังไง
ความสนุกสนานที่เกิดขึ้นกับการทำงาน
ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่ทำให้เราชัดเจนในตัวเอง ว่าเราสามารถเบนเข็มตัวเองจากสายที่เรียนอย่างสถาปัตย์ ที่ต้องนั่งเขียนแบบ กลายมาเป็นจับปากกาเขียนบทดีกว่า (หัวเราะ) และรายการแรกเลยที่ทำคือรายการเกมโชว์ชื่อ “พลิกล็อก” เป็นเกมโชว์ที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข โดยให้ทายการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขว่า “มากกว่า” หรือ “น้อยกว่า” มีพี่ต๋อย-ไตรภพ เป็นพิธีกร
เราก็ได้เรียนรู้การทำทีวี.ตั้งแต่นั้นมา
คลุกคลีวงการทีวี.จริงจัง
การทำทีวี.เป็นเรื่องที่เราสนใจแต่แรกอยู่แล้ว พอได้มาทำจริง ลงมือคลุกคลี ก็ทำให้เราต่อติดได้อย่างรวดเร็ว และได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ต้องขอบคุณทางพี่ต้น (ลาวัลย์ กันชาติ) และพี่หน่อย (จำนรรค์ ศิริตัน) ท่านเป็นเจ้านายที่เปิดโอกาสมาก คือทำอะไร ไม่จำเป็นต้องสำเร็จเสมอ หรือได้ผลอย่างที่เราคิดเสมอ แต่ท่านเปิดโอกาสให้เราได้ลองและทำตลอด ถ้าเกิดผิดพลาดไม่ได้ตามเป้าหมาย ก็จะเป็นเหมือนการเรียนรู้ แล้วเอาไปพัฒนางานต่อ นั่นแหละที่ทำให้เรากล้าที่จะคิด แล้วมั่นใจที่จะทำและถ้ายิ่งสำเร็จก็จะยิ่งทำให้เรามีความสุข หรือถ้าทำแล้วสำเร็จน้อยลงมาหน่อย ก็เอาข้อผิดพลาดเป็นบทเรียนไปพัฒนาต่อ เป็นความสุขที่ทำมาเรื่อยๆ และด้วยงานวงการบันเทิงไม่ได้อยู่กับที่ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะเป็นรายการเดิม แต่การบันทึกเทปแต่ละครั้งก็จะไม่เหมือนกัน มีอะไรใหม่ๆ เสมอ เราต้องแอ๊กทีฟตลอดเวลา มีความตื่นตัว พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้ตลอดเวลา
ตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลง
สมัยก่อนการแข่งขันไม่ได้สูงมากขนาดนี้ ถ้ารายการใดรายการหนึ่งได้รับความนิยมติดลมบน คนนิยมชมชอบแล้วนั้น ก็จะอยู่ได้นานเป็นหลายๆ ปี อาจจะด้วยในเรื่องของทางเลือกด้วย สมัยก่อนทีวีก็มีไม่กี่ช่อง ทางเลือกในการเสพสื่อน้อย ไม่มีทางเลือกอื่นด้วย ทุกคนเปิดทีวี.ก็ได้ดูกันทั้งบ้าน ฉะนั้นสมัยนี้ถ้าทำรายการออกไปปุ๊บมันต้องโดนเลย ถ้าไม่ใช่ก็ต้องปิดไป เพราะฉะนั้นการทำงานก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ยังมีความสนุก มีการทดลอง มีการอนุญาตให้ผิดพลาดได้ เพราะมีตั้ง 22 ช่อง ยังไม่รวม มือถือ โซเชียล มีเดียใดๆ เข้ามาแข่งอีก โอ้โห..เปลี่ยนแปลงเยอะ ก็ต้องตั้งรับและคิดงานใหม่ๆ อยู่เสมอ
ผลงานภาคภูมิใจ
ผลงานที่เรียกว่าก่อกำเนิดโดยเรา และเป็นผลงานที่สำเร็จสร้างชื่อเสียงให้บริษัท ทุกวันนี้คนพูดถึงก็คือ “ยุทธการขยับเหงือก” เป็นแนวรื่นเริงสนุกสนานเฮฮา กำเนิดแก๊งเสนาขึ้นมา ก็อยู่นานถึง 8 ปี และยังเป็นรายการต้นแบบให้รายการยุคหลังๆ ด้วย ซึ่งยังมีคนทักนะว่า เออ…ทำไมไม่มีรายการ หรือทำแบบรายการนี้อีกเหรอ แล้วคนที่เป็นเสนาในยุทธการฯ ก็ไปได้ดีกันเยอะแยะไม่ว่าจะเป็นดารา พิธีกร อยู่เบื้องหลัง ก็เป็นรายการหนึ่งที่ผมภูมิใจ และอีกรายการหนึ่งคือ “คอนเสิร์ต คอนเทสต์” รายการแข่งร้องเพลงที่ออกอากาศทุกสัปดาห์รายการแรกของเมืองไทย คือแต่ก่อนการแข่งขันร้องเพลงไม่เยอะแบบปัจจุบัน อันนี้ก็เกิดจากพี่หน่อย (จำนรรค์ ศิริตัน)แกบอกว่า “เฮ้ย…คนเขาชอบร้องเพลงแล้วทำไมเราไม่ทำรายการที่เป็นร้องเพลงเป็นรายสัปดาห์เลย แล้วก็เปิดโอกาสให้คนได้มาแข่งขัน เพราะคนโหยหาเวทีอยู่แล้ว” ก็เลยเกิดรายการนี้ขึ้นมา เป็นรายการที่ดังมากๆ และเป็นต้นแบบของรายการเพลงต่างๆ ประกอบกับช่วงนั้นงานเพลงก็บูมด้วย ศิลปินแต่ละค่ายก็ให้ความร่วมมือมาออกรายการ คนที่มาแข่งขันก็ได้โชว์ความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นเด็กมหาวิทยาลัย พยาบาล ทุกอาชีพ ทุกคนมีโอกาสมาแข่งขัน ก็เป็นความแปลกใหม่ของรายการในสมัยนั้น และทำให้เป็นอีกรายการที่ประสบความสำเร็จและภูมิใจ
ความผิดพลาดคือบทเรียน
มีเยอะมากนะ (หัวเราะ) อยากจะแก้ไขจุดนั้นทำจุดนี้ใหม่ ซึ่งเราทำรายการมาเยอะ แต่ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกอัน เฟลเลยก็มี ทำได้ไม่นานก็ไปซะแล้ว อย่างรายการเกมโชว์บางรายการ เราคิดว่าน่าจะถูกใจคนดูแต่ปรากฏว่าอยู่ได้แค่ปีเดียวก็ต้องเลิกทำ อันนี้ก็ต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติของการทำงานที่จะต้องมีทั้ง สำเร็จมาก สำเร็จน้อย และ เฟลเสียใจ เพียงแต่ว่าเราอย่าเอาความที่เราล้มเหลวทำให้เราหดหู่ เราต้องสร้างเป็นพลังให้กับตัวเองและคิดวิเคราะห์หาสาเหตุว่าล้มเหลวเพราะอะไร อันไหนที่เกิดจากเราเอง อันนั้นเราก็ต้องมาแก้ไข แต่บางอย่างอาจจะเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ไม่ใช่จังหวะของตลาด รายการอาจจะดีแต่ไม่ได้ตอบรับจากคนดูในช่วงนั้น ก็ต้องมองภาพรวมแล้วเอามาแก้ไขปรับปรุงกันไป
ชิมลางงานท้าทายแปลกใหม่
อย่างที่บอก ผมโตมาจากการทำละครเวที ฉะนั้นการทำโชว์บนเวทีเป็นเสน่ห์ที่พวกเราชอบมาก พอมาทำที่ JSL ก็มีการได้แตะอยู่เนืองๆ อย่างที่เห็นชัดเลยคือพอมาอยู่ที่ JSL แล้วเกิดมีรายการหนึ่งที่เหมือนเป็นตำนานนั่นคือ รายการ “วิก 07” หรือ “วิก 07 โชว์” ก่อกำเนิดโดยทางพี่แหม่ม (พิไลวรรณ บุญล้น) เห็นว่า ทำไมเราไม่เอาละครเวทีมาอยู่ในทีวี. ก็เลยเป็นความแปลกใหม่ ถ้าเปรียบง่ายๆ ก็คือเหมือนเอาลิเกมาแสดงสดบนเวที เราก็ช่วยทำงานเป็นเบื้องหลังอยู่ตรงนั้นด้วย ตอบสนองความชอบเราอยู่เนืองๆ แล้วก็มีโอกาสมาทำโชว์บนเวทีให้รายการอย่าง “ยุทธการขยับเหงือก” มีโชว์ของตัวเอง ชื่อ “หัวหกก้นขวิด” ซึ่งทำมาถึงสี่ครั้ง นี่แหละก็ตอบสนองเราว่าได้ทำงานแสดงโชว์บนเวทีสนุกสนานมีความสุขทั้งผู้เล่นและผู้ชม สปอนเซอร์ รายได้ตอบรับดี ก็เป็นจังหวะและเวลาที่เป็นความฝันของเรา ได้ทำงานที่รักที่ชอบจนกระทั่งตอนหลังบริษัทเปิดสายงานอีเว้นท์ เราก็มีส่วนไปช่วย ก็การเติมเต็มความชอบของเราอีกทาง
ต่อยอดสู้อีกหนึ่งผลงานสุดภาคภูมิใจ
ต่อมาทาง เจเอสแอลฯ ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับ มูลนิธิสุนทราภรณ์ฯ มานาน มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ช่วงปีพ.ศ.2553 เป็นปีพิเศษครบ 100 ปี ชาตกาลครูเอื้อ สุนทรสนาน เจ้าของมูลนิธิฯ ก็ถือว่าเป็นวาระสำคัญ จึงมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตหรือกิจกรรมใดๆ เราก็เลยคิดว่า เอ๊ะ...น่าจะมีอะไรพิเศษ เพราะเพลงสุนทราภรณ์น่าจะแตกยอดไปได้ แล้วจุดประสงค์ของมูลนิธิฯ ที่น่าชื่นชมคือ ไม่อยากให้เพลงสุนทราภรณ์ที่เป็นอมตะ ซึ่งเป็นสมบัติของชาติต้องสูญหายไป หรือเสื่อมสลายหายไปกับคนรุ่นเก่าๆ เขาอยากให้มีการสืบทอดต่อไปยังคนรุ่นใหม่ๆ แล้วกลยุทธ์อันหนึ่งที่น่าจะถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นใหม่ได้ก็คือ การทำเป็นละครเวทีซึ่งก็ต้องให้เกียรติทางคุณบอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ที่ทำให้ละครเวทีบูมขึ้นมาในเมืองไทย ทำให้ปัจจุบันละครเวทีมีความใกล้ชิดไม่ห่างเหินเหมือนแต่ก่อน ฉะนั้นพอไอเดียทำละครเวทีเกิดขึ้น เรานี่แบบดีใจ ยกมือทันที คือเราชอบเพลงสุนทราภรณ์อยู่แล้ว มีความรักในแนวเพลงนี้ พ่อแม่เราก็ชอบ จึงได้เริ่มวางแพลนกัน ซึ่งตั้งใจทำให้เป็นแนวรื่นรมย์ ไม่ใช่มาฟังเพลงซาบซึ้งใจกับเรื่องราวเฉยๆก็จะมีความสนุก เลยเกิดเป็นปรากฏการณ์ใหม่ คนที่เคยแค่ฟังเพลงสุนทราภรณ์ในแบบแค่คอนเสิร์ต แต่พอมาเป็นละครเพลงก็จะได้ทั้งดูการแสดงและฟังเพลงที่ตัวเองรักและคุ้นหู ร้อยเรียงไปกับเรื่องราว เป็นความประทับใจยิ่งขึ้นแล้วก็มีเสียงหัวเราะ สนุกสนาน มีมุขขำขัน เพื่อจะได้ใหคนรุ่นใหม่ๆ ตามมาดู ขยายกลุ่มคนให้รู้จักเพลงสุนทราภรณ์มากขึ้น และในตอนแรกที่เปิดจองตั๋วปรากฏว่าตั๋วเต็ม ซึ่งครั้งแรกคิดว่าจะทำรอบเดียวในการฉลอง 100 ปี หลังจากนั้นกระแสเรียกร้องบอกว่าสนุก ให้ทำต่อ ก็เลยทำและเป็นโจทย์ใหม่ในแต่ละปีว่าเราจะทำในธีมของอะไร
เข้าสู่ปีที่ 7 กับสุนทราภรณ์เดอะมิวสิคัล
อันนี้คือความวิเศษของเพลงสุนทราภรณ์ จริงๆ แล้วเพลงสุนทราภรณ์มีทั้งหมด 2 พันกว่าเพลง แต่ที่ฮิตติดหูจริงๆ อาจจะสักประมาณ 500 เพลง แล้วเพลงสุนทราภรณ์เป็นเพลงที่เหมาะกับการทำละครเวทีมาก เพราะเป็นเพลงที่มีเรื่องราว แค่เพลงจีบก็จะมีการจีบในหลายๆ แบบ จีบผิดหวัง สมหวัง กุ๊กกิ๊ก สารพัด หรืออกหักก็มีหลายแบบ ไหนจะเพลงเทศกาลต่างๆ การเดินทางสถานที่ เพลงสถาบัน ฯลฯ ฉะนั้นเป็นสิ่งที่เอื้อต่อการนำมาใช้ทำละครเวทีอยู่แล้ว ส่วนการคิดเรื่องก็มีการคิดอยู่สองแบบคือ หนึ่ง สร้างโครงเรื่องมาก่อนว่าจะเล่าเรื่องราวให้เกิดขึ้นยังไง พระเอกนางเอกจะเป็นยังไง มีอะไรเป็นคอนฟิคและสุดท้ายจบยังไง ก็หาเพลงที่เหมาะสมมาเสริมเติมเข้าไป หรือบางทีก็เลือกจากเพลงฮิตคนฟังคนดูชอบเราก็ดูจากเนื้อหาเพลงนั้นเป็นยังไง เรื่องราวพอจะบิดให้เข้ากับเนื้อหาเพลงไหนได้บ้าง
ความพิเศษของบ้านเรือนเคียงกัน สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล
ในปีนี้เป็นเรื่องของบ้านสองบ้าน ที่มีปฏิสัมพันธ์กันมีความรักความผูกพันกัน สะท้อนให้เห็นสังคมของคนที่อยู่อาศัยโดยรอบๆ ที่เปรียบเป็นสังคมของคนที่บ้านเรือนเคียงกันก็ต้องมีความขัดแย้ง ความไม่ลงตัวกันบ้าง จนเกิดเป็นเรื่องราวที่โกลาหล อลหม่านแบบสนุกสนานบานตะไทแบบละครทีวี.ไทย ที่แซ่บๆ สนุกสนานและร่วมสมัย ส่วนการเลือกนักแสดงก็ต้องหาคนที่เหมาะสมกับคาแร็กเตอร์ของแต่ละคน ซึ่งก็มีนักแสดงหลายคนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนและปิ๊งกันไว้ก่อน ก็เชิญมาแคส อาทิ ปอ-อรรณพ ทองบริสุทธิ์ / แป้ง-พรภัสร์ชนก มิตรชัย / ต้น-ธนษิต จตุรภุช / ซานิ-นิภาภรณ์ ฐิติธนการ / ตี๋-วิวิศน์ บวรกีรติขจรและ เนสท์-นิศาชล สิ่วไธสง ร่วมกับทัพนักแสดงอีกมากมาย จะเริ่มการแสดงในวันที่ 2-31 มีนาคม 2562 เปิดให้ชมกัน 10 รอบการแสดง ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ตลอดเดือนมีนาคมนี้ ที่โรงละคร เอ็มเธียเตอร์ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ถ้าใครสนใจสามารถจองบัตรได้แล้วที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา
ทุ่มเทสุดพลัง
ละครเวทีถือเป็นงานที่เหนื่อยและหนักมาก เพราะเป็นงานที่ใช้เวลา ไม่เหมือนทำรายการทีวี.ที่ถ่ายวันหนึ่งได้สองเทป แต่ละครเวทีจะซ้อมหนักมาก เตรียมงานกันตั้งแต่การคิดเรื่อง การทำพลอต จนกระทั่งถึวันสุดท้ายที่จบละครเวทีลงก็รวมเวลาประมาณ 9 เดือน และช่วงนี้ก็จะหนักนิดหนึ่ง ซ้อมทุกวันแก้ปัญหาต่างๆ และคอยเสริมเพิ่มเติมให้สมบูรณ์แบบที่สุด ส่วนงานประจำเราก็มี เพราะผมไม่ได้ทำงานแค่เชิงโปรดักชั่นงานด้านบริหารก็ทำด้วย และดูแลรับผิดชอบหลายๆ ส่วนที่ไม่ใช่งานทีวี. ก็เลยจะโกลาหลหน่อยหนึ่ง (หัวเราะ) แต่โชคดีที่ได้ทีมงานที่ค่อนข้างจะแข็งแรง เข้ามาช่วยกันทำงาน ยังสู้และทำไหวอยู่นะตอนนี้ เพราะเราสนุกกับมัน อย่างที่บอกไปนี่คืองานที่เรารัก
ความสำเร็จกว่า 40 ปีที่ JSL
ผมมองสองแบบ การอยู่ที่ไหนได้นานๆ ส่วนหนึ่งเขาต้องมีความสุขก่อน ผมก็เช่นกัน ต้องยกเครดิตให้เจ้านายที่เปิดโอกาสมากๆ พอเราทำอะไรนานๆ ซ้ำๆ ก็จะเบื่อๆ แต่พอได้เจออะไรใหม่ๆ ก็จะเป็นความท้าทาย มีการเรียนรู้สนุกขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งด้วยอุตสาหกรรมเราเอื้ออำนวยด้วย ทำอะไรก็มีสิ่งใหม่ๆ บวกกับเจ้านายก็เปิดโอกาสอีก เพราะฉะนั้นผมก็เลยมีความสุขที่เจ้านายเปิดโอกาสให้ทำนู่นทำนี่เสมอ เช่น อยากทำละครเวทีเหรอ ก็เอาสิ ทำเลย แต่อย่าให้มันขาดทุนนะ (หัวเราะร่วน) ก็เป็นแบบนี้ เราอยู่ที่นี่เลยมีความสุขกับการทำงาน มีความสุขกับเจ้านายมีความสุขกับเพื่อนร่วมงาน ทุกที่มีปัญหาหมด ทุกที่มีข้อดีข้อด้อยหมด เพียงแต่ว่าที่นี่เรามองเห็นแต่ข้อดี เราเห็นความสุขมากกว่าความทุกข์ เราเห็นความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลว ก็อยู่กันมาได้ แล้วพออายุมากขึ้นเรื่อยๆก็แบบ ขี้เกียจเปลี่ยนที่แล้วล่ะ (หัวเราะ) อยู่ที่นี่แหละถามว่าเคยอยากมีบริษัทของตัวเองไหม ก็เคยนะ แต่มันอาจจะไม่มีความสุขเท่านี้ เพราะถ้าเป็นบริษัทเราเอง มันเป็นความรับผิดชอบเราเต็มๆ จะว่าไปผมเป็นคนที่สุขนิยมนะ คือเราอาจจะไม่ได้อยากจะมีความสำเร็จในแบบที่เราเป็นเจ้าของ เราแค่อยากมีความสุขกับความสำเร็จ กับการที่เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก ในบรรยากาศที่เราแฮปปี้
แพลนในอนาคตที่อยากทำ
ผมโตมากับงานเขียนหนังสือ เพราะเป็นคนที่ชอบอ่านและเขียนตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ชอบแต่งนิทาน พอโตหน่อยก็เขียนเรื่องสั้นไปประกวด แล้วเมื่อมีโอกาสก็มักจะแสดงฝีมือทางด้านนี้ จนมีผลงานที่ได้รับรางวัลด้วยอย่างตอนที่เรียนสถาปัตย์ ก็ใช้วิชาการเขียน เป็นการเขียนบทละคร แล้วก็มีเขียนหนังสือเป็นเรื่องสั้น แล้วมีช่วงหนึ่งผมทำงานมีเขียนหนังสือไป 5-7 เล่ม จนกระทั่ง
เข้าสู่วงการทีวี.การแข่งขันมากขึ้นเราก็มุ่งทางทีวี. งานเขียนต้องใช้สมาธิสูง ก็เลยไม่ได้ทำ แต่ช่วงนี้กลับมาเขียนบ้างแล้ว เป็นคอลัมนิสต์ ฉะนั้นในอนาคตก็มีความคิดว่าอยากจะกลับไปเขียนหนังสือ เพราะเรามีภาพในหัวเต็มไปหมด อีกหน่อยเกษียณออกไปก็อาจจะไปเขียนหนังสือแนวที่ถนัดคือ แนวรื่นรมย์ อย่างที่เขียนมาก็คือ กว่าจะถึง(ท่า)พระจันทร์, บานไม่รู้โรย ฯลฯ ให้ทุกคนอ่านแล้วมีความสุขหรืออาจจะเป็นแนวที่จริงจัง ความรู้ ให้ข้อมูลเชิงลึก ประวัติศาสตร์ โรแมนติก ก็อาจจะมีเพราะอยากจะขยายไปสู่อย่างอื่นด้วย
ชีวิตครอบครัว
ผมถือว่าแต่งงานช้านะ เพราะแต่งงานเมื่ออายุ 36 ปี แต่โชคดีพอแต่งงานเสร็จก็มีลูกเลย ทำให้เรามีกำลังที่จะโตมาพร้อมกับลูกได้ คือเราต้องเลี้ยงดูลูก (หัวเราะ) ตอนนี้ลูกก็อายุ 20 ปีแล้ว อยู่ในวัยที่เขาสามารถดูแลตัวเองได้ ซึ่งถ้าเขาจบปริญญาตรีก็พอดีเราเกษียณ แค่นี้ก็โอเคแล้ว ถามว่ามีแววมาทางคุณพ่อไหมบอกเลยว่ามาก ตอนนี้เรียนโปรดักชั่น เรียนฟิล์ม อยู่ที่ต่างประเทศ ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปบังคับเขานะ แต่เขาเลือกเองเพราะเขาเห็นและโตมากับสิ่งเหล่านี้ ผมก็ให้เขาเลือกตามสบายเลยเพราะทุกอย่างคือชีวิตเขา เราไม่กดดัน
การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
โชคดีที่เราไม่ได้เป็นคนที่เจ็บป่วยบ่อยๆ เพราะเราเป็นคนที่ Alert ตลอดเวลา มีการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ตลอดเวลาเหมือนได้ออกกำลังกาย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ระบาด ผมก็เป็นนะ ภรรยาก็เป็นด้วย เลยรู้สึกว่า โอ้โห…การเจ็บป่วยนี่ทรมานมาก งานการเละเลย เราก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้ละ ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น เช่น ต้องนอนให้เพียงพอ ซึ่งอาจจะขัดกับอาชีพอย่างเรา แต่ก็ต้องดูแล ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาหารสำคัญ อะไรที่เป็นโทษก็ลดลงมา ใส่ใจตัวเองให้มากขึ้น เพื่อจะได้อยู่ทำงานที่เรารักไปนานๆ
ไม่ใช่แค่ ทำงานที่รัก แต่ อั๋น-วัชระ แวววุฒินันท์รักในงานที่ทำ จึงทำให้ความสุขอยู่รายล้อมรอบตัวเขา และยังส่งผ่านถึงผู้คนรอบข้างอีกด้วย
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี