ในจอ...เขาคือนักแสดงหนุ่มผู้มี “ความร้าย” เป็นโลโก้ประจำตัว แต่นอกจอ “เอ-พศิน เรืองวุฒิ” คือ แฟมิลี่แมน ผู้ทำหน้าที่ “คุณพ่อ” และ “สามี” ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ขอพาไปล้วงลึกเคล็ดลับการจัดสรรชีวิต รวมถึงตามติดเส้นทางกว่าจะมีวันนี้ของ เอ-พศิน กันค่ะ
อัพเดทหน้าที่ในปัจจุบัน
ผมยังมีงานแสดงเรื่อยๆ ครับ ที่ถ่ายทำอยู่ตอนนี้มีเรื่อง “ปีศาจหรรษา, มณีนาคา, ลวงฆ่าล่ารัก, อีเหี่ยนเดอะซีรี่ส์” เรื่องหลังนี้ตอนที่เป็นหนัง ผมเล่นเป็นพระเอก และมีภาพยนตร์เรื่อง “The Seed พันธุ์จี๊ด/กรีน/เกรียน” ของค่ายทีวี 360 องศา เป็นหนังเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมีแฟนตาซีด้วย ซึ่งก็รับบทเป็นตัวร้ายเหมือนเดิม (ยิ้ม) รวมถึงมีหนังเรื่อง “คืนจันทร์แรม, สมเด็จพระเจ้าตากสิน และละครเทิดพระเกียรติ ฟ้าหลังฝน” งานแสดงถือเป็นงานหลักเลยครับ อาชีพผมคือนักแสดงเป็นอาชีพเดียวที่ทำมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ จนถึงปัจจุบัน ไม่มีอาชีพอื่นใดเลย แต่เร็วๆ นี้ ทางภรรยาของผม “น้องแตงกวา” เขาอยากทำร้านนวดไทย เราเลือกโลเกชั่นหน้าโรงเรียนลูกเอาไว้ เพื่อที่จะได้เป็นแหล่งแฮงเอาท์กันของพ่อ-แม่ผู้ปกครอง ถือว่าเป็นธุรกิจแรกที่ทำเอง ไม่มีหุ้นครับตั้งชื่อร้านว่า “เจ้าพระยา บูทีคมาสสาจ”
บทบาทการเป็นคุณพ่อ
ตอนนี้ “น้องเลโก้” อายุ 3 ขวบกว่าแล้วครับ กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล 1 เราสองคนเลี้ยงลูกเอง ไม่มีพี่เลี้ยง ถ้าจะให้ยายให้ย่าเลี้ยงก็คงไม่ไหว เพราะว่าซนมากเขาแข็งแรงเกินไป เดี๋ยวจะมีอันตรายกับผู้ใหญ่ ขนาดเลี้ยงเองบางทีผมยังไม่ไหวเลย คือแตงกวาเขาไปขอจากเจ้าแม่กวนอิม น้องเลโก้ ก็เลยจะไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ใหญ่ จะชอบกินแต่ผัก ถั่ว พอมีเขาชีวิตผมเปลี่ยนจากที่ไม่เป็นหนี้ก็เป็นหนี้(ยิ้ม) เมื่อก่อนเราจะเก็บเงินอย่างเดียว ตอนนี้เราเริ่มกล้าลงทุน ทำประกัน ยอมที่จะเป็นหนี้กู้เงินซื้อบ้านซื้อรถตอนที่มีลูกนี่แหละครับ แต่มันก็แปลกตรงที่เราสามารถทำได้ ทั้งที่เมื่อก่อนเราจะแอนตี้มากและกู้อะไรไม่เคยผ่าน
นักแสดงเด็กในวันวาน
ผมเป็นนักแสดงเด็กตั้งแต่อายุ 4 ขวบ นี่คืออาชีพเดียวของผม ด้วยความที่คุณพ่อเป็นผู้สื่อข่าวเป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ แล้วพอดีว่ามีผู้สร้างหนังมาขอให้เราไปเล่นหนัง หลังจากนั้นก็ยาวมาเรื่อย จนอายุ 12 เล่นหนังเรื่องแรกเรื่อง “สองเรา” อีกเรื่องที่สร้างชื่อก็คือ “รักนอกตำรา” เล่นเป็นลูก เล่นเป็นพระเอกตอนเด็กบ้าง ละครเรื่อง “พระจันทร์แดง” ก็เล่นเป็น “อาตู่-นพพล” ตอนเด็ก เรื่อง “ตี๋ใหญ่” ที่ “พี่นก-ฉัตรชัย” เล่นผมก็เล่นเป็นตี๋ใหญ่ตอนเด็ก ด้วยความเป็นเด็กให้ทำอะไรก็ทำ อยากได้ของเล่น คือมีการต่อรอง เราอยากได้อะไรพ่อ-แม่ก็ไม่ขัด แต่ด้วยความเป็นเด็กในยุคนั้น เราก็ไม่สนุกรู้สึกว่าทำไมเราต้องทำงาน เราอยากจะเล่นกับเพื่อนไปโรงเรียน ไว้ผมยาวคนเดียว ต้องสอบคนเดียว ไม่สนุก พอจบ ป.6 กำลังจะขึ้น ม.1 เลยขอคุณแม่ว่าไม่ทำแล้วได้ไหมเรื่องสุดท้ายคือ “มหาเวสสันดรชาดก”
จุดเปลี่ยนของชีวิต
มีการเปลี่ยนตัวกลางอากาศในละครเรื่อง “หลอแหล”เพราะว่าผมเกเร เล่นแบบไม่อยากเล่น และคาแร็กเตอร์ไม่ตรงกับผมด้วย ไม่อยากเล่น ก็แกล้งเล่นไม่ได้ แกล้งพูดทื่อๆ เขาก็เลยเปลี่ยนตัว เราก็ออกจากวงการ นั่นคือเราเลือกของเราเอง อยากจะหยุด เพราะว่าเหนื่อย และมันไม่ได้ใช้ชีวิตแบบเด็กธรรมดา ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร คือรู้สึกดี (ยิ้ม) ได้มาใช้ชีวิตปกติเรียนจนจบม.6 แล้ววงการก็เปลี่ยน เริ่มสนุก เราก็หาทางที่จะกลับเข้ามาอีกแต่จะให้คุณพ่อพาเข้าไป เราก็รู้สึกว่าเสียฟอร์ม เลยตัดสินใจส่งรูปไปให้โมเดลลิ่งตามหนังสือ ไปประกวดบ้าง แต่ประกวดอะไรก็ตกรอบหมด เพราะว่าเป็นช่วงที่กำลังโต ยังไม่เป็นหนุ่มเต็มที่ เลยไปเป็นเอ็กตร้า จนเรียนมหา’ลัย เป็นเอ็กตร้าโฆษณาหลายงานเลย ซึ่งรายได้ดีนะ บางงานได้ 4-5 หมื่น และช่วงนั้นก็มีหนังเรื่อง “2499 อันธพาลครองเมือง” พี่ติ๊ก,พี่ต๊อก กำลังดัง ผมก็ไปแคสโฆษณา และได้เล่นคู่ทั้งสองคนด้วย แต่เป็นสมทบ โฟกัสก็จะอยู่ที่ตัวเมน ได้โฆษณากับ “ทาทา ยัง” ก็เห็นแต่รองเท้า แต่เราก็มีความสุขดีนะครับ เราไม่ได้คิดว่าเราจะกลับไปเป็นอะไร แค่หาประสบการณ์ แล้วก็เรียนไปจนจบมหา’ลัย จนวันหนึ่งไปแคสหนังเรื่อง “ฟ้าทะลายโจร” ส่งรูปไปเองก็ปรากฏว่าตรงคาแร็กเตอร์ที่เขาต้องการ ผมได้รับบท “ผู้กองกำจร” คนที่ฆ่าพระเอก ถือเป็นหนังเรื่องแรกที่ทำให้ได้กลับมา ในวัย 27 หลังจากนั้นก็เริ่มมีละครเล่นของเอ็กแซ็กท์อยู่หลายเรื่อง แล้วก็ไปช่อง 3 ช่อง 7 การที่เราไม่ได้เกิดมาจากการปั้นของนักปั้นหรือโมเดลลิ่งหรือว่าหนังสือ ทำให้เราเติบโตมาแบบนักแสดง บทที่ได้รับก็ไม่เคยเลือกว่าเราเล่นเป็นใคร เยอะหรือน้อยแค่ไหน แต่ว่าส่วนใหญ่ก็จะได้รับบทตัวร้ายและเป็นตัวสำคัญ ซึ่งมันก็บังเอิญที่เขาเลือกเรา
เริ่มรู้สึกชอบการแสดง
ผมชอบตั้งแต่เด็กแล้วครับ พอเรามามองย้อนไป มันเป็นความสนุกอีกอย่างหนึ่ง แค่ตอนเด็กเราไม่ชอบสังคมเพราะมันไม่สนุก แต่ทุกวันนี้มันคือชีวิต ผมเรียนโปรดักส์ดีไซน์มา เคยฝึกงานโรงงาน มันไม่ใช่ชีวิตผม ไม่ชอบมีเจ้านาย การแสดงก็มีเจ้านายนะ มีผู้จัดผู้กำกับแล้วก็ช่อง แต่ว่าเขาเป็นนายระยะสั้นแค่ 6 เดือนปีหนึ่ง หลังจากนั้นก็บ๊ายบายกัน หรืออยากจะเรียกผมกลับมาเล่นอีกก็เป็นนายผมอีก เราก็ยินดีรับใช้ เพราะว่าเราไม่ได้เล่นเป็นตัวเอง เรารับผิดชอบในการหลอกคนดูว่าเราเป็นคนอื่น มันสนุกดีครับ
รับบทบาทตามวัยไม่ฝืนธรรมชาติ
อาชีพด้านที่เรียนมา ก็ได้ทำบ้างครับ แต่เป็นมือปืนรับจ้าง ไม่ได้ใช้ชื่อเรา การแสดงยังคงเล่นไปเรื่อยๆ ถ้าเขาเลิกจ้าง เราก็จะหยุด แต่เขายังจ้างอยู่ แล้วผมจะมีจุดยืนตรงที่ ปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ฝืน แก่ก็คือแก่ ผมว่ารอยย่นตีนกาที่ทุกคนกลัว มันคือโหงวเฮ้ง ซึ่งมันจะเปลี่ยนไปตามวัย บางทีเราไปเปลี่ยนมัน มันก็จะทำให้คาแร็กเตอร์เราไม่ชัด บทบาทผมก็จะเล่นไปตามวัยของผม เป็นอาเป็นลุงเป็นพ่อได้ ทุกวันนี้เริ่มเป็นอาพระเอกแล้วครับ บทพ่อก็เคยรับแล้ว แต่งแก่ ติดหนวด กะเทยยังรับเลย (ยิ้ม) ปกติผมจะไม่เล่นบทนี้ รู้สึกว่าเรายังเล่นได้ไม่ดี เพราะมันยาก แต่พอทางยูม่าให้เล่นใน “ท่านชายกำมะลอ” เราก็ไม่กล้าปฏิเสธ คือเขาเชื่อว่าเราทำได้ ก็ได้ในระดับหนึ่ง อาจจะไม่ดีมาก แต่ก็ผ่านมาได้ และอีกบทที่ผมไม่มั่นใจเลย คือบทพระเอก เคยลองแล้วเรื่องหนึ่งในหนังเรื่อง “แสงสุดท้ายของอีเหี่ยน” เป็นหนังตลก ผมไม่มีความสุขในการทำงานเลย (หัวเราะ) ทั้งที่เป็นพระเอก คือเวลาที่เราเข้าฉากกับตัวร้าย เรามีความรู้สึกว่าเราอยากเล่นบทนั้น การเล่นเป็นพระเอกมันถูกบล็อกอินเนอร์ภายใน ที่จะต้องดูหล่อดูน่าสงสาร ซึ่งตรงนั้นมันไม่ใช่ผม และพอเขาเอากลับมาทำเป็นละคร โดยผู้กำกับคนเดิม ผมก็เลยได้กลับมาเล่นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เล่นเป็นตัวร้าย ได้เป็นตัวละครที่เราอยากจะเป็น ซึ่งบันเทิงมาก(ยิ้ม)
ผลงานสุดประทับใจ
ผมยกให้เรื่อง “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ” เรื่อง“คุณชายปวรรุจ” อย่างแรกเลยคือวิสัยทัศน์ของผู้จัด “พี่คิง-สมจริง” ที่เรื่องนี้เป็นการแจ้งเกิดของ “โป๊ป-มิว” และตัวที่มาประกบโป๊ปต้องเป็นเจ้าชายที่ดูสูงศักดิ์ดูดีสง่างาม ดีกว่าพระเอกทุกอย่าง แค่นิสัยไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดี และบังเอิญว่าบทนั้นมันตกอยู่ที่เรา เป็นโอกาสดีที่พี่คิงมองขาดมาก ไว้ใจให้เรามาเล่น ซึ่งพอผ่านบทนี้มา ก็ทำให้เราเริ่มได้รับบทเป็นคนรวยมากขึ้น ได้เล่นเป็นตัวร้าย ที่เป็นนักธุรกิจ ไม่งั้นก็จะเป็นนักเลงอย่างเดียว
นิยามตัวร้ายสำหรับ “เอ-พศิน”
ผมเป็นตัวร้ายที่มีชีวิตชีวา (ยิ้ม) ผมมีความสุขในการแสดงบทร้าย และก็ทำให้ทุกเรื่องมันไม่เหมือนกัน ผมพยายามจะฉีกตัวเองออกไป ให้ความร้ายแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน เปลี่ยนจังหวะการพูด เปลี่ยนโทนเสียง เปลี่ยนแอ๊กติ้ง เพราะว่าเราดูหนังเยอะ ก็พยายามซึมซับธรรมชาติของความร้ายว่าทำยังไงให้มันไม่น่าเบื่อและมีเสน่ห์ เราจะขโมยซีนตัวเอกยังไงให้ไม่น่าเกลียด มันจะมีศาสตร์ตรงนี้อยู่ ซึ่งทุกครั้งก็ได้ผล (ยิ้ม) เวลาที่เล่นเป็นตัวร้าย ผมจะคิดว่าตัวเองเป็นตัวนำ ส่วนพระ-นางตัวอิจฉาหรือใครก็แล้วแต่ จะเป็นเอ็กตร้าสำหรับผม
ช่วงพีคอีกครั้ง
ตอนที่เรื่อง “ประกาศิตกามเทพ” ออนแอร์ เป็นจุดพลิกของชีวิตผมเลยนะ เพราะว่าเล่นเป็นนักเลงเป็นบทร้าย แต่ว่ามันค่อยๆ เปลี่ยน แอบช่วยพระเอก พูดในสิ่งที่คนดูอยากจะพูดกับตัวละคร ด่าพระเอก ซึ่งพอบทแบบนี้มา มันทำให้มีกระแสชื่นชม คนดูจะรักตัวละครตัวนี้ ดูจากทวิตเตอร์ฟีตขึ้นสูงมาก จนผมต้องกลับไปเล่นทวิตเตอร์ ได้กำลังใจกลับมาได้พลัง เพราะฉะนั้นแต่ละบทมันสำคัญกับชีวิตนักแสดงมากนะครับ ผมเล่นละครมาสามร้อยกว่าเรื่อง ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันซ้ำจำเจนะ เพราะว่าธนบัตรที่เราได้รับมาเลขก็ไม่ซ้ำกันเลย (ยิ้ม) ทีมงานผู้ร่วมงานไม่ซ้ำ แล้วคาแร็กเตอร์ของเราตามวัยมันก็ไม่ซ้ำ มันไม่น่าเบื่อหรอกครับ
เรื่องราวความรัก
ที่ผ่านมาในวงการผมไม่ค่อยมีข่าวกุ๊กกิ๊กกับใคร ไม่มีเลย (หัวเราะ) ผู้หญิงสวยๆ ก็เยอะ แต่เราไม่มีตังค์ไง เราไม่สามารถใช้ชีวิตในแบบที่เขาใช้กันได้ นักแสดงหญิงเขาจะมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจากที่เราเคยเป็น เราก็รู้สึกลำบาก ถ้าเราจะคบกับใครสักคน ก็ต้องเป็นสาวชาวไร่ชาวนาที่มีจิตใจดี และหน้าตาสวยงาม ตอนนั้นจะคิดแบบนั้นครับ เลยไม่มีแฟนในวงการ ทำแต่งาน เก็บตังค์ ก็มีชอบคนนั้นคนนี้บ้าง แต่คบแล้ว สุดท้ายเงินมันเป็นปัจจัยที่จะทำให้คนเราไปด้วยกันได้ เราก็เลยไม่ไปโฟกัสเรื่องนี้
เส้นทางความรักกับ “น้องแตงกวา”
เรารู้จักกันได้ไม่นานครับ ตอนนั้นเขาอายุ 18 (ยิ้ม) เขาเป็นเด็กที่นิสัยเหมือนผู้ชาย กล้าหาญ จริงๆเขาอยากเป็นนักแสดง อยากมาทำงานในกรุงเทพฯ บ้านอยู่เพชรบูรณ์ แต่ว่าพ่อ-แม่ไม่เห็นด้วย เพราะว่าที่บ้านเป็นเกษตรกร เขาก็ห่วงลูกสาวคนเล็ก แต่ด้วยความดื้อ เขาก็เลยมาทำงาน ทำหลายอย่างมาก เพื่อจะได้มาเป็นนักแสดง และเราก็ไปเจอเขาที่คลินิกแห่งหนึ่ง เขามาขายครอสจนได้มาเจอกันอีกทีที่กองหนังเรื่องหนึ่ง เขาเป็นนักแสดงฝึกหัด ผมก็ไปเป็นแอ๊กติ้งโค้ช แต่ว่าพอจะเปิดกล้อง นายทุนดันหนี เด็กเขาก็เลยเคว้ง เพราะว่ามันเป็นความฝัน เราก็เลยคุยกัน เจอกันทุกวัน รู้สึกเป็นห่วงอยู่ กรุงเทพฯอันตราย อยู่กับเราก็อันตรายแหละ (หัวเราะ) แต่ว่าคงปลอดภัยกว่าคนอื่นปีใหม่เขาก็พาเรากลับบ้านที่เพชรบูรณ์ให้พ่อ-แม่ดูตัว ซึ่งเราก็ไม่รู้ นึกว่าเขาชวนไปเที่ยว ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวว่ารักไหม แต่ก็มีคนเดียวที่คบอยู่เราก็คิดว่าเด็กวัยนี้จะมาจริงจังกับเราเหรอ เดี๋ยวก็คงเบื่อ ตอนที่ไปเจอพ่อ-แม่เขา พ่อหน้าบึ้งเลยนะ หลังจากนั้นก็ไปไหว้พระ และไปอธิษฐานขอพรกับเจ้าแม่กวนอิม สักพักแตงกวาก็ท้อง คบกันประมาณ 2-3 เดือน เลยต้องคุยกับผู้ใหญ่อีกครั้ง เพราะว่าเขาก็ยังไม่รู้จักเราดี เขาเห็นว่าเราเป็นตัวร้าย เราก็ต้องใช้เวลาจนลูกชายคลอดออกมา พ่อ-แม่ของทั้งสองฝ่ายก็เลยเบาลง ถึงตอนนี้ครอบครัวเขาก็เหมือนเป็นครอบครัวเราแล้ว
หลักในการครองคู่
ใช้ธรรม เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่มีอะไรแน่นอน เราแค่ทำดีให้มากที่สุด เท่าที่เราทำไหว ตัวเขาเองก็เป็นธรรมชาติ อาจจะมีความเป็นเด็กบ้าง แต่ว่าเขาโตขึ้นทุกวัน จากที่ผมประเมินดูนะ ด้วยสัญชาตญาณ ตรงนี้เลยทำให้เขาเป็นแม่ที่ดี เขาไม่เคยบกพร่องเรื่องการดูแลลูกเลย เราอยู่ด้วยกันมา 4 ปีกว่าแล้วครับ ยังไม่ได้จัดงานแต่งงาน แต่ก็คิดไว้เหมือนกันว่า ถ้าไม่มีลูกอีกคน ก็อาจจะให้ลูกคนนี้โตสัก 5 ขวบ แล้วค่อยจัด แตงกวาเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องสิ้นเปลือง อยากทำธุรกิจอยากเป็นเจ้าของกิจการ จะได้ไม่พึ่งพาเราอย่างเดียว ตอนนี้ครอบครัวเราก็สมบูรณ์แบบแล้วนะครับ อาจจะขาดลูกสาว ก็คุยกันว่าอยากจะมีลูกอีกสักคน แต่ขอให้เลโก้มีภาวะความเป็นพี่ก่อน
สิ่งที่ได้จากวงการนี้
ที่มีทุกอย่างได้ก็เพราะงานเพราะอาชีพนักแสดง คนที่เข้าวงการแล้วรวยก็จะต้องเป็นพระเอก-นางเอกเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ 3 อย่างนี้ผมไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องโฟกัสที่การอยู่แบบนักแสดงรุ่นใหญ่ “อาสะอาด,อาหมู-ดิลก, อาหนิง-นิรุตติ์, พี่ต้น-จักรกฤษณ์” ผมมองว่าเราจะเดินตามรอยยังไง ซึ่งเราต้องแข็งแรงมีวินัย ความสุขของผมไม่ได้เกิดจากความรวยครับ
ความในใจฐานะนักแสดงคนหนึ่ง
ตอนนี้วงการเปลี่ยนไปเยอะ เพราะว่ามีสื่อมากมายที่เราสามารถแสดงความเป็นตัวเองได้ คนเสพสื่อบันเทิงน้อยลง เพราะทุกคนจะเริ่มเสพตัวเอง มีความสุขกับการแสดงความเป็นตัวเอง บางที follower ที่มาก หรือว่ายอดวิวที่สูง มันไปอยู่ในสิ่งที่ไม่ดีไม่เหมาะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าห่วงสำหรับเยาวชนที่จะเดินตาม และอย่างที่สองคือผมเป็นตัวร้ายเวลาแสดงบทร้ายจะมีจุดจบที่เหมาะสม บางเรื่องพระเอกฉุดนางเอกไป แต่สุดท้ายแล้วรักกัน อันนี้น่าห่วงมาก ด้วยความเป็นพระเอก-นางเอกมันอันตรายมากต่อผู้ชม อยากให้แยกให้ออกว่านี่คือละคร อย่างเวลาที่เล่นโซเชียล ผมก็จะโพสต์มุมมองที่เป็นด้านบวก ชีวิตคนเรามีทุกด้านแหละครับ แต่เราก็ต้องรู้จักเก็บงำหรือว่าปล่อยวาง แสดงออกในด้านที่ดียิ่งเราฉายแสงด้านบวกไปมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดี ฝากไว้ด้วยนะครับ
และนี่คือมุมมองชีวิตดีๆ ของดาวร้าย (ในจอ) ที่ทุกคนคุ้นเคย “เอ-พศิน เรืองวุฒิ”
กุหลาบสีเงิน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี