ด้วยรูปหน้าที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ สูงสง่าเป็นที่คุ้นตา พาให้ใครๆ ต่างก็หลังรัก “อุ๋ม- อาภาศิริ นิติพน” ทั้งจากงานเดินแบบ ถ่ายละคร รวมถึงอีกหนึ่งบทบาทที่หลายคนไม่รู้ อย่างการเป็นครูสอนเดินแบบให้กับผู้เข้าประกวดเวที “ไทยซูเปอร์โมเดล” สัปดาห์นี้ Star Retro ได้โอกาสพิเศษ พูดคุยและทำความรู้จักตัวตนของ “อุ๋ม” อย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้เราได้เห็นวิถีการทำงานของมืออาชีพ ที่พร้อมจะเรียนรู้และเริ่มต้นกับงานใหม่ๆ อยู่เสมอ
ย้อนวันวานในวัยเด็ก
อุ๋มมีพี่ชาย 2 คนค่ะ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นเด็กแนวบอยๆ พี่ชายแต่งตัวยังไง อีก 2 วัน อุ๋มก็แต่งตัวออกมาอย่างนั้นเลย เสื้อเชิ้ตเราก็เอามาใส่ พี่ชายคนโตห่างจากเรา 4 ปี ส่วนพี่อ่ำ (อัมรินทร์ นิติพน) ห่างกัน 2 ปี เขาก็จะบอยๆ ของเขา จนแม่ต้องเอาลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงมาอยู่ด้วย เพื่อให้เราเป็นผู้หญิง บางทีเขาก็จะเอากระสอบทรายมาห้อยที่บ้าน แล้วเขาก็เล่นเตะต่อยกัน เราก็ไปเตะกับเขา แล้วพี่ชายก็อุ้มเราไปกอดกระสอบทรายแล้วก็เหวี่ยงไป-มา เขาทำอะไร เราก็ไปทำตามเพราะฉะนั้นเราก็จะไม่ค่อยหญิงเท่าไหร่ คำว่านางแบบ ยิ่งห่างไกลจากเราเลย
เดินเข้าสู่เส้นทางบันเทิง
ตอนนั้นเราอยู่ ม.6 มีงานใหญ่มากเป็นการประกวด Trend Setter ค้นหานางแบบนายแบบใหม่ 10 คน เราก็จับพลัดจับผลูส่งโปรไฟล์เข้าไป แล้วเขาก็เรียกเราเข้ามาดู ก็ได้เจอกับพี่กู้ดดี้ (มัลลิกา สยามวาลา) ซึ่งพี่เขาก็ดูแลเรา สอนเราทุกอย่าง พอติด 1 ใน 10 ก็ต้องไปถ่ายแบบอิมเมจ เสร็จก็มีแฟชั่นโชว์ ถือว่าเป็นโชคดีของเรามาก เพราะเราไม่ต้องไปประกวดที่ไหน เราเข้ามาตรงจุดศูนย์กลางพอดี แล้วตั้งแต่วันนั้น ก็เดินแบบ ถ่ายแบบเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
ฝึกฝนจนชำนาญ
ตอนนั้นจำได้ว่าพอเลิกเรียนก็เดินใส่ชุดนักเรียนไปทองหล่อ เพื่อไปเรียนกับพี่กู้ดดี้ แอบเอารองเท้าแม่ไปใส่ ยังจำได้อยู่เลย(หัวเราะ) เราเลยรู้สึกว่าเราเป็นศิษย์มีครูนะ เพราะการถ่ายแบบ เดินแบบเขาไม่ใช่แบบเดินเรื่อยเปื่อย คิดจะหมุนก็หมุน มันก็มีทักษะการหมุน 45 องศา หรือ 90 องศา มีหลักการถ่ายเทน้ำหนักการทรงตัว การเล่นผ้า ออแกไนเซอร์ที่เก่งที่สุดคือพี่กุ๊กกี้-ทินกร อัศวรักษ์ แกจะเก่งมาก แล้วเวลาแกสอน แกจะเดินให้ดู อินเนอร์ Attitude เวลาเดิน แกทำให้ดู แล้วเราก็จำ ดูเขาแล้วก็จำ หมุนแบบนี้ เล่นผ้าแบบนี้นะ ก็เลยจำมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ
ถ่ายทอดความเป็นมืออาชีพ
ที่ตัดสินใจมาเป็นครู เพราะอยากตอบแทนวงการที่เราโตมา รู้สึกว่าทุกวันนี้ที่มีทุกอย่างได้ เพราะวงการนี้ให้เรา ซึ่งเราไม่อยากให้ใครมาดูถูกอาชีพเรา มันไม่ใช่อาชีพที่ง่าย เดินๆ แล้วจบ เราต้องสอนเด็กเดิน รวมถึงสายตาต่างๆ ทุกอย่างต้องมาจากการเรียนรู้ ฝึกฝน ไม่มีใครมั่นใจแล้วเดินได้เลย เราต้องพัฒนา เราก็จะบอกเด็กนักเรียนว่าให้ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เราสอนผู้เข้าประกวด Thai Supermodel Contest มาแต่ละปี ก็จะไม่เหมือนกัน ตอนนี้ก็ทำมาจนเข้าปีที่ 8 แล้วค่ะ ซึ่งการสอนเป็นอะไรที่เหนื่อยมากนะ แต่ละคนจะไม่เคยอยู่บนส้นสูงเลย เราต้องสอนเขาภายใน 12 ชม. ให้เขาเก่งทุกอย่าง เท่าที่จะสอนได้ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต เราอย่าเชิด เราต้องวางตัวให้ดีให้เกียรติทุกคน อย่าคิดว่าเราสูงส่ง เราต้องอย่าถือรองเท้าไหว้ มันไม่น่ารัก ถ้าเมื่อไหร่เริ่มหลงตัวเองเก็บกระเป๋ากลับที่เก่าได้เลย เราสามารถสอนเขาได้ในตอนที่เขาเป็นลูกศิษย์เรา แรกๆ ก็เขินนะ ที่เขาเรียกครูเพราะเวลาเป็นครูเราก็จะดุ และจะไม่ได้สอนแค่ 3 ชม. คนไหนไม่ได้ เราก็จะไม่ปล่อยนะ ต้องทำให้ได้ เราต้องสู้ให้ได้ ต้องเคี่ยวเข็น ต้องทุ่มเท พอวันหนึ่งเขาทำได้ดีขึ้นจากที่คนอื่นบอกไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาทำได้ เราโคตรภูมิใจเลยค่ะ
เสน่ห์ของการเป็นนางแบบ
อาชีพนางแบบเป็นงานที่เราได้เจออะไรใหม่ๆ ได้ดูแฟชั่นใหม่ล่าสุด เราต้องได้สัมผัสก่อนใคร คอลเลคชั่นใหม่ๆ ออกมา ยังไงก็ต้องผ่านเราก่อน (ยิ้ม) ได้ไปต่างประเทศ ได้ไปที่ต่างๆ สมัยก่อนได้เดินทางบ่อยค่ะ เดือนหนึ่งนี่ได้ไป 8 ประเทศเลยนะ ฉะนั้นแฟชั่นโชว์จึงเป็นอะไรที่แปลกใหม่ตลอดเวลา มีความท้าทาย สนุก ตื่นเต้นตลอดเวลา เพราะเราจะใช้เวลา 2-3 นาทีในการเดินสมมุติวันหนึ่งต้องซ้อมตั้งแต่ 9 โมง แต่เราเดิน 3 ทุ่ม ฉะนั้นช่วงที่เราเดินเข้า-ออกน่ะภายใน 3 นาทีเราต้องมีสติ ต้องเป๊ะ และทำให้เพอร์เฟกท์ที่สุด เพราะเทคไม่ได้เหมือนละคร อุ๋มจะพูดเสมอว่าเราไม่ต้องโดดเด่นที่สุด แต่เราทำหน้าที่เราให้ดีที่สุด แค่นั้นก็พอแล้ว
จากแคตวอล์ก สู่จอภาพยนตร์
เป็นนางแบบจนกระทั่งอายุ 25 ก็ได้ไปท้าทายงานใหม่กับบท “อังศุมาลิน” ในภาพยนตร์เรื่อง “คู่กรรม” เขาบอกแกรมมี่อยากให้ไปลองแคส ตอนแรกเราก็บอกทำไม่ได้หรอก เราเป็นนางแบบ ไม่เอา ไม่รู้จัก ปฏิเสธไปแต่สุดท้ายก็เข้าไป แล้วก็ได้ไปลองอ่านบท ลองเล่นบทร้องไห้ เออ…แปลกดี แล้วเขาก็ค่อยๆ ให้เราเล่าว่า จำโมเม้นท์ที่เรามีความสุขมากที่สุดได้ไหม ตอนไหน ตอนเศร้าสุด ตอนเสียใจสุด ให้นึกแล้วเล่า คือนึกตอนนั้นแล้วทำให้ดูเลย นี่คือการแคสทักษะการแสดง ซึ่งเราไม่มีเลย เราก็มีแต่ความเชื่อ แล้วนึกตอนนั้น ทำตอนนั้นเลยมีอยู่อันหนึ่งเขาให้นึกถึงเรื่องที่ตื่นเต้นที่สุด เราก็นึกถึงตอนไปถ่ายแบบที่กรีช เพราะเราต้องไปเดินอยู่ในช่องแคบเล็กๆ ซึ่งมีรถไฟอยู่ข้างบน เราก็ต้องใส่ส้นสูง เดินเกาะราวไป แล้วหันถ่ายรูปไป พอถ่ายเสร็จปุ๊บเดินกลับมาเรานี่ขาสั่นดิกๆ เลย (หัวเราะ) มีความหวาดเสียวอยู่เหมือนกันแล้วหลังจากนั้นก็เป็นตอนร้องไห้ เออ..เราก็ทำได้ แล้วก็ผ่านไป พี่หง่าว (ยุทธนา มุกดาสนิท) ก็เรียกเข้าไปคุย บอกยินดีต้อนรับ “อังศุมาลิน” เราก็แบบดีใจ จับมือ โอ้ว..ขอบคุณค่ะ และก็ไม่ได้บอกใครเลยว่าได้เล่นบทนี้ เริ่มมีอาการเครียด เกิดความกังวลขึ้น เพราะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ นี่เป็นแกรมมี่ฟิล์มเรื่องแรก แล้วต้องเล่นกับพี่เบิร์ด(ธงไชย แมคอินไตย์) ด้วย การแสดงไม่รู้จัก ไม่เคยเล่นเลย แต่ก็เอา!..กัดฟันสู้ หยุดรับงานเดินแบบไป เพื่อเรียนรู้เรื่องการแสดง
ทุ่มเทอย่างจริงใจ
ก่อนจะถ่าย เราต้องไปอยู่วัดไร่ขิง ไปพายเรือ เพื่อจะเรียนรู้ความเป็น “อังศุมาลิน” เราต้องทำให้เรารู้สึกว่าเราเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่จนชิน ฉะนั้นต้องสลัดความเป็นนางแบบออกให้หมด ไม่ว่าจะการเดิน การนั่ง การยืน ซึ่งเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ ถ่ายตั้งแต่เช้ายันดึก มีอยู่วันหนึ่งด้วยความที่เหนื่อยมากๆ ประมาณตี 2 ไปนอนบนแพหน้าบ้านนอนดูดาว น้ำตาไหล มือสั่น เหนื่อยสุดๆ เหมือนเรายังไม่ชินวงจรชีวิตแบบนี้เลย ทำไมเหนื่อยแบบนี้ แล้วก็ได้คุยกับพี่เบิร์ด ซึ่งพี่เบิร์ดบอก ตอนนี้เราเหนื่อยหน่อย แต่เราจะมีความสุขมาก ตอนที่ผลงานเราออกมา แล้วคนดูอินเราจะมีความสุข แล้วภาพก็ตัดไปตอนรอบเพรส เราก็นั่งอยู่ข้างบนชั้นสองของโรงหนัง เราเห็นคนเช็ดน้ำตา ฉากจบอังศุมาลินร้องไห้ ทุกคนอินตาม วินาทีนั้นแหละเราเข้าใจเลยว่า อ๋อ…ที่พี่เบิร์ดพูดมันเป็นแบบนี้นี่เอง เวลาคนที่เขาดูแล้วเขาอิน เรามีความสุข มันคุ้มมากที่เราเหนื่อยจริงๆ หายเหนื่อยเลย แม้ว่าจะโดนกระแสต่างๆ มีหมดแหละบวก ลบ คำติ คำชม เล่นแข็ง เล่นดี นานาจิตตัง พอจบหนังเรื่องนี้ เราก็คิดว่านี่แหละคือมาสเตอร์พีซของเรา แล้วก็กลับไปเป็นนางแบบเหมือนเดิม
ขึ้นแท่นนางเอกละครเรื่องแรก
ละครเรื่อง “มือปืน” ของช่อง 3 เล่นคู่กับพี่นก (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) แล้วก็มี อำพล ลำพูน-น้องหญิง(ชฎาธิรัฏฐ์ เลิศทวีสิน) ตอนนั้นถ่ายกล้องเดียวเหมือนหนัง เล่นแล้วก็จบตรงนั้น (หัวเราะ) คือเหนื่อยมาก เพราะเราก็รับงานเดินแบบด้วยช่วงนั้น จำได้วันที่ไปถ่ายวันนั้นดึกมาก แล้วพออีกวันหนึ่งตอน 10 โมงเช้า ต้องไปเดินแฟชั่นโชว์ต่อปรากฏว่าเลือดกำเดาไหลเลย เพราะละครที่ไม่คิดว่าดึก ก็กลายเป็นดึก เรื่องนี้ก็ต้องยกให้เป็นมาสเตอร์พีซด้านละครไป แล้วหลังจากนั้นก็หยุดไปเลย (หัวเราะร่วน) และกลับมาเล่นอีกทีเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เล่นของพี่ตุ๊ก-จันทร์จิราจูแจ้ง เรื่อง “ก๊วนกามเทพ” เป็นแนวคอเมดี้ เพื่อนก็บอกว่าอุ๋มทำได้ อุ๋มตลก พอไปเล่นปุ๊บมันไม่ตลกนะ (หัวเราะ) แล้วเราก็เล่นละครสามกล้องไม่เป็น พอเสร็จเรื่องนี้ก็หยุดไปอีก กลับไปเดินแบบต่อดีกว่า แล้วปีนั้นก็แต่งงานด้วย ละครก็หยุดไป
เกณฑ์ในการเลือกรับบท
อ่านบทแล้วเห็นภาพตัวเอง อ่านแล้วสนุก ก็จะเล่นแต่ถ้าอ่านแล้วฝืน นึกภาพไม่ออก ภาพไม่ขึ้น ก็จะขอปฏิเสธ และจะค่อยๆ รับทีละเรื่อง ไม่ได้เซียน ไม่ได้มีความรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถทางด้านนี้ ทำงานทุกครั้งที่รับละครก็จะเครียด ทำการบ้านเยอะกว่าปกติ เพราะกลัวจำบทไม่ได้ (ยิ้ม) เราจะมีบทแบบที่เขียนๆ ไว้ เพื่อเราจะได้พูดเว้นวรรค มีรีมาร์คไว้ว่าตรงไหนถ่ายแล้ว เราต้องดูนะ เหมือนเป็นการทำการบ้าน ข้อดีคือทำให้เราไม่ประมาทค่ะ
ยังต้องเรียนรู้และฝึกฝน
การแสดงอุ๋มต้องฝึกอีกเยอะเลย มุมกล้องอุ๋มยังไม่รู้ว่ากล้องไหนรับแคบรับกว้าง เราก็ไม่ได้มีความรู้ แบบบางคนเขาก็จะรู้มาแล้ว เราก็จะเล่นของเราไปเราไม่รู้ว่าหน้าซ้ายหน้าขวาเราสวยหรือขึ้นกล้องหรอก เราก็เอาตัวเองให้รอด อย่าไปคิดเยอะ บางทีมาคิดเรื่องหน้าซ้ายหน้าขวา มันทำให้ไม่ได้คิดถึงตัวละคร ซึ่งอุ๋มก็จะสอนเด็กนักเรียนนะว่า ถ้าอยากสวย อย่ามาเป็นนางแบบตอนนี้ก็อยากจะเพิ่ม อย่ามาเป็นนักแสดงด้วย ถ้าอยากสวยไปประกวดนางงาม เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติด
เสน่ห์ที่ทำให้ตกหลุมรักวงการบันเทิง
สิ่งที่สัมผัสได้ไม่นานมานี้นะคะในพาร์ทของนางแบบ ถ้าดีไซเนอร์เข้าเชื่อถือในตัวเรา เชื่อในความสามารถเรา เรายังพรีเซ็นต์ ยังขายเสื้อผ้าเขาได้อยู่เราก็ยังดูแลตัวเองดี รูปร่างก็เท่ากับตอนที่เข้ามาใหม่ๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่มันไม่เหมาะ เราก็จะพิจารณาตัวเอง ส่วนด้านการแสดง สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าจะออกแล้ว ไปไม่ได้เลย ก็คือคำพูดคน ตอนเล่น “เลือดข้นคนจาง” คนดูชื่นชมและชื่นชอบในผลงานเรา มันทำให้ภาพการเป็นนักแสดงของเราชัดขึ้นมากๆ ขอบคุณมากๆ กับกำลังใจตอนนั้นที่ให้กันมาเยอะแยะมากมาย เพราะตอนที่เราเล่นก็ไม่ได้ตัดสินใจนานอะไร เขาให้ทำก็ทำเลย เล่นเลย บอกว่าให้โทรมก็โทรมเลย ผอมก็ผอมเลย น่าเกลียดก็น่าเกลียดไปเลย แก่ก็แก่ น้ำมูกไหลก็ไหลไปเลย หน้าไม่แต่ง ทุกคนเห็นหน้าสดเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก ตอนแรกก็คิดนะ ฉันเป็นนางแบบ ฉันไม่เคยหน้าสดไปไหนเลย อย่างน้อยก็ต้องมีคิ้วออกจากบ้าน คนไม่ค่อยเห็นหน้าสดฉันหรอก ยาก พอต้องมาเล่นเป็น “นิภา” ก็ต้องโล้นหมดเลย ซึ่งทำให้เราไปไหนมาไหนโดยที่ไม่แต่งหน้าได้แล้ว เพราะทุกคนเห็นหน้าธาตุแท้ของเราแล้ว (หัวเราะ)
อนาคตข้างหน้า
ก็ไปเรื่อยๆ ค่ะ ทำแต่ละอย่างให้มีคุณภาพเรารู้สึกว่าเรามีความรับผิดชอบกับคำพูดของคนที่ติดตามเราบางอันที่เขาเขียนมาเล่นๆ แต่เรารับรู้ เราสัมผัส แบบเราต้องทำน่ะ อย่างเช่น เห็นชื่อพี่ในเรื่องไหน แล้วต้องดู เพราะรู้ว่ามันน่าจะดี เราเลยรู้สึกว่ายังมีคนรอดูเราอยู่นะ ยังมีคนที่คาดหวังกับงานที่เราทำอยู่นะ มันเหมือนเขาเชื่อมั่นว่าถ้าเราทำแล้วมันจะออกมาน่าสนใจ เราเลยรู้สึกว่าอะไรพวกนี้จะเป็นกำลังใจให้เราสามารถทำงานออกมาในแต่ละซีนแต่ละฉากให้ดีที่สุด ด้วยความตั้งใจ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจ้าง เท่าที่เขาคิดถึงและไว้ใจให้เราทำ
ชีวิตครอบครัว
ถึงตอนนี้ก็แต่งงานมา 10 ปีพอดีค่ะ คบกันมา 10 ปี รวมแล้วก็รู้จักกันมา 20 ปี ตอนนี้ยังไม่มีลูก อยู่กันแบบนี้แหละ อยู่กับคุณพ่อ-คุณแม่ ใช้เวลาที่มีส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัว ถ้าว่างก็จะไปหาพ่อกับแม่ วันไหนเลิกงานเร็วก็จะพาพ่อไปนวด ไปทานข้าว ถ้าว่างอีกก็จะไปหาแม่ ทานข้าวกับแม่วันเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์ก็อยู่กับสามี ดูหนังวันธรรมดาก็จะทำงานสลับกัน ก่อนนอนก็โทร.หา ฮัลโหลแล้วก็หลับ ตื่นเช้าทำงาน และที่สำคัญกำลังใจจากครอบครัวคือสิ่งสำคัญ เวลาเราท้อก็จะมี พ่อ แม่ สามี คอยอยู่ข้างๆ อย่างเช่น กลับบ้านไปวันไหน เรารู้สึกว่าเราทำได้ไม่ดี ก็บ่นให้เขาฟัง เขาก็แบบ อุ๋มก็เป็นอย่างนี้ ชอบบ่น มันก็ดีทุกที อุ๋มทำได้เชื่อพี่ อุ๋มทำได้ มันเป็นคำพูดเล็กๆ แต่เป็นกำลังใจดีมากๆ เลยนะ
ภารกิจในวันว่างๆ
ถ้ามีเวลาว่างก็เข้ายิม วันอังคารกับวันพฤหัสฯ 2 วัน ส่วนอาหารการกิน ก็กินง่ายๆ ค่ะบางคนเขาจะควบคุมอาหาร เรานี่ไม่เลย ซัดข้าวหมูแดง หมูกรอบ ทุกอย่าง แต่เราเป็นคนเคี้ยวเยอะ 35 ครั้ง ไม่อย่างนั้นมันกลืนไม่ลง บางครั้งละเอียดเกินไปก็กลืนไม่ลงต้องใช้น้ำช่วย อันนั้นก็เป็นข้อแรกที่ทำให้ไม่อ้วน แล้วก็ไม่กินขนมจุกจิก ต้องบาลานซ์แต่ละมื้อให้ดีๆ มื้อนี้กินเยอะ มื้อนี้กินน้อย เดี๋ยวแคลอรี่ก็เฉลี่ยๆ กันค่ะ (ยิ้ม)
คำแนะนำจากรุ่นพี่
เทคนิคคนเรามันก็ไม่เหมือนกัน วิจารณญาณก็แตกต่างกัน แต่สิ่งที่คิดว่าควรจะมีในสังคมไทยก็คือ อ่อนน้อมถ่อมตน มีมารยาท มีสัมมาคารวะ และก็มีความรับผิดชอบ ถ้าเรามีความรับผิดชอบ ต่องานต่อตัวเองต่อสังคม อะไรที่เราช่วยสังคมได้ก็ทำ มีพ่อแม่ก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด ทำงานของเราให้มีคุณภาพ เรียบเรียงความสำคัญในชีวิต อย่างเช่นของอุ๋มทุ่มให้พ่อแม่ เพราะเราพิจารณาแล้วว่าเราจะมีเวลามากแค่ไหน เพราะฉะนั้นใช้ชีวิตให้มีความสุข ให้มีคุณค่า เพราะเราไร้สาระมาเยอะละไปให้ความสำคัญกับคนนอก พอเราตัดคนนอก คนใกล้ตัวคือสำคัญ พ่ออุ๋มสอนว่าไม่มีใครรักเราเท่าตัวเราเองหรอกเราต้องรักตัวเองให้มากๆ นึกถึงตัวเองแต่ไม่ได้หมายความว่าเห็นแก่ตัวนะ เราต้องดูแลตัวเองให้ดี แล้วค่อยไปดูแลคนรอบข้าง ครอบครัว พ่อแม่ สามี สังคมภายนอก
ผลงานแน่นเอี้ยดฝากให้ติดตาม
ที่ออนแอร์อยู่ตอนนี้ คือ “เมียน้อย” ทางช่อง GMM25 กับ “วัยแสบสาแหรกขาด2” ทางช่อง 3 และที่ถ่ายทำก็จะมี “นางมาร” ทางช่อง GMM25, “พยากรณ์ซ่อนรัก” ทางช่อง 3, “ใบไม้ที่ปลิดปลิว”ช่อง ONE แล้วก็น่าจะมีภาพยนตร์ด้วย ต้องรอติดตามค่ะ
นี่คือเสน่ห์ของเส้นทางสายมายา ที่นำพาชีวิตเธอมาเรียนรู้ทั้งงานและการใช้ชีวิตอย่างมืออาชีพ เรียกว่าจากความเหนื่อยกลายเป็นความสุข ที่คุ้มค่าอย่างน่าภาคภูมิใจ ของ อุ๋ม-อาภาศิริ นิติพน
กุหลาบสีเงิน