วันเสาร์ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / บันเทิง
Star Retro : ย้อนความสุข ‘รวมดาว’  ตามดูชีวิต ‘โอ ปุยฝ้าย’

Star Retro : ย้อนความสุข ‘รวมดาว’ ตามดูชีวิต ‘โอ ปุยฝ้าย’

วันอาทิตย์ ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2562, 06.00 น.
Tag : Star Retro โอ ปุยฝ้าย
  •  

“ ...ขอชิมอ้อยใจ..อุ้ยใครให้กัน..โถ เพียงเปลือกมัน..รสคงไม่ทันเทียมเนื้อ..หวังว่าน้องคงจุนเจือ..ในหทัยน้องยังคลุมเครือ..จงเชื่อใจมิปอก ก่อน..แต่พี่ชื่นใจแล้วคงจร..พื้นดินใจอาวรณ์ชิมอ้อยดอน จนตาย...”

เสียงเพลงคู่ “อ้อยใจ” ที่ยังคงดังขับขาน เป็นเพลงรักอมตะจนถึงวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของ “โอ ปุยฝ้าย” หรือ อัจฉรพรรณี หาญณรงค์ เด็กสาวมัธยมที่หลงใหลในดนตรีโฟล์คซอง ก่อนจับพลัดจับผลู และถูกวางตัวให้ร้องคู่กับ อ๊อด คีรีบูน ศิลปินหนุ่มเนื้อหอมในยุคนั้น ในอัลบั้ม “รวมดาว” จนกลายเป็น คู่ขวัญนักร้อง ที่ใครๆ พากันกล่าวขาน และยังคิดถึง วันนี้ “สตาร์เรโทร”ได้โอกาสพิเศษ พาย้อนวันวานผ่านความทรงจำของโอ ปุยฝ้าย ที่วันนี้มีความสุขกับการเฝ้ามองทายาททั้ง 3 และสุขสันต์ที่ได้ร่วมเวทีกับเพื่อนศิลปินอีกครั้ง


ก่อนเข้าวงการ

ถ้าย้อนไปในวัยเด็ก ค่อนข้างเรียบร้อย เพราะเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการ คุณพ่อคุณแม่รับราชการ เราเลยถูกสอนให้ค่อนข้างมีระเบียบวินัย เรียนอนุบาลกับประถมฯ ที่โรงเรียนอัมพรไพศาลอนุสรณ์ เป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างเรียบร้อย พอมามัธยมเข้าเรียนที่สตรีวิทยา เป็นหญิงล้วนที่การเรียนเข้มข้น กีฬาเข้มข้นจำได้เรียนศิลป์ฝรั่งเศส แต่เราชอบเล่นดนตรี ชอบเล่นกีตาร์ ก็มีการฟอร์มวงกันขึ้นมา เป็นวงโฟล์คซองผู้หญิงล้วน ทำกันเล่นๆ แต่ก็ลองไปแข่งดู สมัยนั้นก็จะมีจัดแข่งขันแชมป์โฟล์คซองตามที่ต่างๆ เราไม่ได้ไปในนามโรงเรียน แต่เราไปในนามของเด็กสตรีวิทฯ ที่ชอบเล่น คนอื่นเขาเล่นกีฬากัน เรียนเด่น เล่นดี มีวินัย แต่กลุ่มเราชอบเล่นกีตาร์ ร้องเพลง ประสานเสียง ก็ไปแข่ง ตอนนั้นวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จจัดแข่งโฟล์คซองแห่งประเทศไทย ปรากฏว่าเราชนะ ได้ที่หนึ่ง ตอนนั้นก็จะมี โอ, บุ๋ม (จุฑามาศ อิสสรานุกฤต), แป๊ก (อาริดาปัจฉิมาภิรมย์) ที่มาเป็นวงปุยฝ้าย แต่ว่าตอนนั้นเป็นเด็กๆ ที่รวมตัวกันเล่นดนตรีธรรมดา

โอกาสวิ่งเข้าหา

พอเราชนะแชมป์โฟล์คซอง ก็มีค่ายเทป สมัยนั้นคือมีเมโทรแผ่นเสียง ที่มาเห็นวี่แววเรา คือมันแปลก เพราะสมัยนั้นยังไม่มีวงผู้หญิงล้วน ที่เป็นโฟล์คซอง บอกให้ลองทำเทปดู ซึ่งตอนนั้นเรามีเพื่อน 5-6 คน แต่ว่าเขาคัดเหลือ 3 คน ก็ไม่แน่ใจว่าเขาคัดจากอะไร แต่พอมา ก็เอาเรามาทำเป็นวงปุยฝ้าย แต่งเพลงใหม่บ้าง รวมถึงเอาเพลงเก่ามาร้องใหม่ด้วย แล้วตอนนั้น ม.ปลายพอดี ใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัย จำได้ว่าตอนที่เริ่มทำเพลงครั้งแรกกับเมโทรฯ คือช่วงเข้าปี 1 ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เลือกสาขามัธยมศิลป์เรียนยาก เพื่อไปเป็นครูบาอาจารย์สอนมัธยม แล้วไปเลือกเอกอังกฤษฝรั่งเศสอีก ค่อนข้างเหน็ดเหนื่อยพอสมควร แต่ที่เลือกเรียนครุฯ เพราะอยากเป็นครู ใช้คำว่าครูด้วยนะ ไม่ใช้อาจารย์ เพราะครู คือ ครุ รู้สึกว่าเราเป็นครูได้ทำประโยชน์ ได้ใช้วิชาความรู้สอนคนให้มีวิชาความรู้ และเป็นคนที่สมบูรณ์ รู้จักผิดชอบชั่วดี เราคิดแบบนี้มาตลอด ว่าอยากจะเรียนหนังสือให้เยอะๆ อยากเอาวิชาความรู้สอนคน นอกจากมีความรู้แล้ว ก็ให้ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วย คุณพ่อคุณแม่ให้อิสระมากในเรื่องเรียน แต่เขาจะไม่ได้ชอบนักที่เราเล่นดนตรี ด้วยความที่ครอบครัวข้าราชการตั้งแต่รุ่นคุณตาคุณยายมา เขาก็จะไม่ค่อยชอบ ทำไมต้องมาทำอาชีพนี้ ยิ่งพอเรียนเป็นครู เขาก็ถามละเป็นนักร้องได้ยังไง จะฝึกสอนยังไง แต่ผ่านช่วงนั้นมาได้ เพราะวงการเพลงสมัยนั้นยังไม่ได้หวือหวาอะไรมาก เราก็แต่งตัวเรียบร้อย มิดชิด ไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสียค่ะ

จาก “ปุยฝ้าย” มาเป็น “รวมดาว”

ช่วงที่เป็นวงปุยฝ้าย ทางค่ายเพลงอาร์เอสเขาก็อยากทำเพลงคู่ ร้องกับนักร้องชายวงดังๆ ของเขาในตอนนั้น ถ่ายทอดเพลงเก่าๆ สุนทราภรณ์หรือเพลงของครูเพลงหลายๆ ท่าน ใช้ชื่อชุดว่า “รวมดาว” เขาก็เลยขอนักร้องหญิงจากค่ายเมโทรฯ โดยเมโทรฯส่งพวกเรา โอ, บุ๋ม, แป๊ก ไป และก็มีพี่จ๊ะโอ๋ (ทวินันท์ คงคราญ) ชุดแรกนะคะ และชุดที่ 2 ก็จะมีพี่อิ๋ว(พิมพ์โพยม เรืองโรจน์) โดยที่เขาไม่ได้บอกว่าใครร้องกับใคร พอไปถึงห้องอัดเขาก็หาว่าเรนจ์เสียงใครเข้ากับใคร พี่ที่เป็นโปรดิวเซอร์ก็บอกว่าโอนี่น่าจะลองร้องกับอ๊อด คีรีบูน ตอนนั้นอ๊อด คีรีบูนก็เริ่มมีชื่อเสียง เพลง “รอวันฉันรักเธอ” กำลังดัง แต่เราไม่ค่อยได้ติดตามผลงาน เพราะเราก็เรียนด้วย คนหน้าห้องอัดก็ถามกันไปมา ใครจะร้องกับ อ๊อด คีรีบูน? หันไปทางไหนก็มีแต่คนถามคำถามนี้ เราก็เอ๊ะ! คืออะไร พอเข้าห้องอัดไป จำได้ว่าเพลงแรกคือเพลง “อ้อยใจ” แล้วหน้าห้องอัดมีคนมามุงเป็นสิบๆ เลย คือพี่อ๊อดเขาจะร้องใส่เนื้อไว้ก่อน พอเราร้องเสร็จ ก็มีแต่คนถาม ร้องกับอ๊อดเหรอ? เราก็งงๆ ปรากฏว่าพอโปรดิวเซอร์ยกมือว่า โอเค เรานี่โล่งเหมือนวิ่งมาราธอนชนะ (หัวเราะ) ทำไมทุกคนดูตื่นเต้น แต่พอเขาบอกคนนี้ร้องกับ อ๊อด คีรีบูน ก็ถึงได้เข้าใจว่าเขาพยายามหาคนที่ร้องกับพี่อ๊อดอยู่เพราะเขาค่อนข้างเนื้อหอม เป็นคีรีบูนเสียงทองตอนแรกเข้าห้องอัดไม่เกร็งเลย สบายๆ แต่พอร้องเสร็จเกร็งเลย

ตอนนั้นเป็นเด็กกะโปโล ผมสั้น หน้าม้า ก็จะไม่ได้สนใจอะไร พี่อ๊อดเขาก็อยู่ปี 1 จุฬาฯ เหมือนกัน แต่เป็นคณะเศรษฐศาสตร์ แต่ไม่เคยเจอกัน จนอัดเสียงรอบแรกเสร็จก็ยังไม่เจอกัน สุดท้ายจนอัดไปหลายๆ เพลง ทั้ง อ้อยใจ, ดำเนินทราย แล้วก็มีร้องกับพี่แซม ซิกซ์เซ้นส์ เพลง “มนต์รักดอกคำใต้” และเพลง “รัก” กับพี่นิดนิด วงเชอร์รี่พิ้งค์ ร้องไปเรื่อยๆ พอจบชุดแล้ว เขานัดเจอกันวันนั้นแหละถึงได้เจอว่าคนนี้ อ๊อด คีรีบูน แฟนเพลงเขามารอเต็มไปหมดเลย

เสียงเชียร์จับคู่

พอจับคู่ร้องกับพี่อ๊อด ก็มีความรู้สึกลึกๆ เหมือนกันว่าแฟนเพลงเขาจะรู้สึกยังไงกับเรา เพราะเราไม่ได้มาแย่งเขานะ คือโอเคเราเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ไม่ได้มีเรื่องชู้สาวอะไรเลย แต่ด้วยความที่เขาเป็นซูเปอร์สตาร์ตรงนั้น แต่เราไปร้องคู่กับเขา แฟนๆ ก็คงคนนี้มาจากไหน ยัยหน้าม้านี่ใคร (หัวเราะ) แต่รู้สึกดีที่แฟนๆ ในตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นการทำงาน เพราะจะมีบ้างที่เชียร์ให้ชอบกันเพราะตอนนี้พี่บุ๋มพี่พู (ชมพู ฟรุตตี้) เขาเจอกัน ก็มีชอบๆ กันแต่โอกับพี่อ๊อดไม่มีจุดนั้นเลย เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อน ไม่มีสปาร์คอะไรเลย พี่อ๊อดเขาเป็นคนดีนะคะ เราก็ไม่มีอะไร แต่อาจจะเป็นไปได้ว่าช่วงนั้นต่างคนต่างมีแฟนของตัวเองอยู่ มีคนคุยกันอยู่ เพราะฉะนั้นเขาคือเพื่อนที่ดี จิตใจดี นิสัยดีสำหรับเรา

ชีวิตผันแปร เมื่อเรียนจบ

ช่วงฝึกสอน 4 เดือนเราก็ไม่ได้จับไมค์เลย ชุดหนึ่งของปุยฝ้ายก็เลยไม่ได้ร่วมงานกับเขา พอกลับมาก็มีชุด นพเก้า ได้ร้องเพลง แต่ปางก่อน ก็กลับมาดังอีกที เพราะคนชอบกันมาก นอกจากอ้อยใจ ใต้ร่มมลุลี เพราะจะมีรวมดาวหลายอัน จนเพลงเริ่มถึงจุดอิ่มตัว เราเองก็เรียนจบปริญญาตรี เลยคิดว่าอยากไปเรียนต่อโทที่เมืองนอก แต่เกิดจุดหักเหหลังเข้าไปอบรม SIP(Student Internship Program) ของธนาคารกรุงเทพ เป็นโครงการที่ดูเกรดเฉลี่ยกับกิจกรรม เราก็เข้าไปอบรมประมาณ 5-6 เดือน ก็เลยได้งานที่แบงก์กรุงเทพ จากที่จะไปเมืองนอกก็เลยโอเค ลองทำงานดูก่อน สักปีสองปี ปรากฏว่าเข้าไปทำงานก็มีเพื่อนแนะนำให้รู้จักกับแฟน ซึ่งเป็นสามี ณ ปัจจุบัน

เส้นทางรัก

ตอนที่รู้จักกัน ไม่ได้คิดเลยว่าเขาเป็นเจ้าของธุรกิจ มองว่าเขาเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย เป็นคนดี และให้เกียรติคน มองว่าทุกคนมีเกียรติมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ซึ่งถึงแม้เขาจะเติบโตที่อเมริกา แต่เขามีความเป็นไทย รักความเป็นไทยมาก แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนใจกว้าง ไม่ถือยศถือศักดิ์ แล้วดีที่สุดคือเขาไม่รู้ว่าเราเป็นนักร้อง เขาอาจจะฟังเพลงบ้าง แต่เขาไม่รู้ว่าคนไหนคือ โอ ปุยฝ้าย สุดท้ายจีบกันแล้ว ถูกใจ เริ่มคุยกันแล้ว เขาถึงมาถาม คุณเป็น โอ ปุยฝ้ายเหรอ แต่เราก็บอกเขาว่าชื่อเสียงเป็นสิ่งภายนอก ซึ่งเราคุยกันแล้วคลิกกัน ตรงที่เราเป็นคนชอบคนดี และเชื่อว่ามนุษย์เรา ถ้ารู้จักคำ 4 คำ ผิด ชอบ ชั่ว ดี ชีวิตเราก็จะเดินหน้าไปได้อย่างมีความสุข พอเรามี 4 คำนี้เราก็จะรู้ว่าเราควรประพฤติตนแบบไหน ทำให้เราไปด้วยกันได้ เจอกันประมาณปีหนึ่งก็แต่งงานกัน เลยไม่ได้ไปเรียนต่อแล้ว เพราะตอนนั้นอายุ 22-23 พอแต่งเสร็จปุ๊บก็มีน้องเลย ก็เลี้ยงลูก และก็ช่วยธุรกิจสามี เขาทำปศุสัตว์ด้านสุกร เราเรียนครุศาสตร์มา เขาก็สอนให้เรารู้จักคน พัฒนาคน เพราะฉะนั้นเราจะดูแลทรัพยากรบุคคลได้ ซึ่งทรัพยากรมนุษย์เป็นตัวขับเคลื่อนองค์กร เราไม่ได้บอกว่าเราเก่ง แต่เราพอจะช่วยในส่วนนี้ได้ เราอาจจะไม่เก่งในเรื่องของการผลิตปศุสัตว์ แต่เราเรียนรู้ได้ ตั้งแต่นั้นก็หยุดเรื่องร้องเพลงไปเลยค่ะ

3 ทายาทที่ภาคภูมิใจ

มีลูกชายคนโตตอนปี 2532 แล้ว ปี’34 ก็มามีลูกชายอีกคน พอปี’38 ลูกสาวมาละ ปิดอู่เลย เราก็ดูแลลูกและก็ตั้งใจทำงานควบคู่กันไป โดยที่เรามีบ้าน อยู่กรุงเทพฯ และส่วนของฟาร์มก็จะอยู่ต่างจังหวัดค่ะ แต่เราไม่ได้เชือดนะคะ เราทำเรื่องของสายพันธ์ุแล้วส่งลูกค้า ของเราจะเป็นปู่ย่าพันธ์ุ ทวดพันธ์ุค่ะ (หัวเราะ) แล้วตอนนั้นทั้งบริษัทไม่ว่าจะสัตวบาล สัตวแพทย์ เป็นผู้ชายหมดเลย เพราะธุรกิจนี้ส่วนมากจะต้องเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิง ก็จะต้องเป็นผู้หญิงห้าวๆ หน่อย เราก็เลยได้รู้ตัวเองว่าเราแมนพอสมควรนะเนี่ย (หัวเราะ) เพราะเราเป็นคนไม่จุกจิก สองเป็นคนดุ (หัวเราะ) ก็เลยทำงานตรงนั้นได้สบาย จนตอนนี้ลูกๆ เรียนจบกันหมดแล้วค่ะ คนโตย่าง 30 จบทั้งตรีและโท ที่นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ แล้วไปต่อปริญญาโทอีกใบ ด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยเวียนนา ประเทศออสเตรีย เพราะเขาเก่งภาษาเยอรมัน ทีแรกเขาจะต่อเอก เอาดร.มาให้พ่อแม่เลย แต่ลูกชายบอกกลับมาทำงานก่อนดีกว่า เราจะได้รู้ว่าควรเรียนกฎหมายเฉพาะทางไหน เขาก็เลยสมัครเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นร้อยตำรวจตรี (มีครอบครัวหรือยังคะ?) ยากค่ะ เด็กสมัยนี้ ส่วนคนที่สองเป็นคุณหมอ จบแพทยศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เขาไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจ และก็ได้ทุนไปต่อแพทย์เฉพาะทาง ด้านศัลยศาสตร์ยูโรวิทยาที่โรงพยาบาลวชิระ เป็นหมอศัลย์ด้านไต ด้านกระเพาะปัสสาวะพวกนี้ค่ะ อีก 2 ปี ก็น่าจะจบกลับมาเป็นอาจารย์ที่โรงพยาบาลตำรวจ ตอนนี้ยศร้อยเอกแล้วค่ะ เพราะรับราชการก่อนพี่ชาย พี่ชายมัวแต่ไปต่อโท (หัวเราะ) มาถึงลูกสาวคนเล็ก จบรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้เกียรตินิยมเกือบจะอันดับหนึ่ง พอจบก็ยื่นไปที่ LSE(London School of Economics and Political Science) ที่อังกฤษ ก็ติด ไปเรียนปีเดียว จบโทกลับมาพร้อมเกียรตินิยม คนเล็กเป็นม้ามืดมากค่ะเพราะเล็กๆ ไม่น่าจะเรียนเก่ง ให้ไปโรงเรียนร้องไม่อยากไปแต่ตอนนี้คือมาช่วยดูแลกิจการที่บ้าน พี่ๆ ก็เลยฝากความหวังไว้ที่น้องสาว (หัวเราะ) ปั๊มเงินให้พี่ (หัวเราะ) ส่วนพวกเขารับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ เราถือว่าเราทำอะไรก็ตาม เราไม่ได้อยู่ดูแลลูกไปตลอด วันหนึ่งก็ต้องจากไป เราก็ต้องดูแลให้เขาเข้มแข็ง ช่วยตัวเองได้ทุกวันนี้ลูกสาวไปค้างฟาร์ม พ่อไปด้วยค่ะ (หัวเราะ)แม่สบาย เฝ้าบ้าน ตอนลูกสาวไปเรียนที่อังกฤษ คุณพ่อก็ไปดูแล ไปเช่าอพาร์ทเม้นต์ที่อังกฤษอยู่ด้วย 1 ปีเต็มๆ เพราะที่บ้านคุณพ่อจะติดลูกสาว ส่วนลูกชายไม่กลับบ้าน 3 เดือน พ่อบอกไม่เป็นไร จะเอาตังค์ไหม เดี๋ยวป๊าโอนให้ (หัวเราะร่วน)

เทคนิคคุณแม่

อยากจะบอกว่า ลูกๆ เก่ง ยังไม่สำคัญเท่าเป็นคนดีนะคะ เพราะจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเก่งเสมอไป ที่ไหนก็ได้ เพียงแต่ว่าเราเอาวิชาความรู้มาใช้ประโยชน์ได้มากแค่ไหน อันนั้นสำคัญกว่าค่ะ แล้วลูกๆ เขาเลือกของเขาเองว่าอยากเรียนอะไร ทำอะไร แต่ 3 คนไม่มีใครสนใจบันเทิงเลย คนโตนี่ร้องเพลงหลงตลอด เพลงชาติยังหลง จะมีคนกลางกับคนเล็กที่ร้องเพลงได้ แต่ขี้อาย

ชีวิตประจำวัน ณ วันนี้

เริ่มเบาแล้วค่ะ ลูกๆ มีหน้าที่การงานของตัวเอง และเขาก็ช่วยดูแลเป็นที่ปรึกษาให้กิจการของครอบครัวด้วย มีคุณหมอช่วยดูแลสุขภาพพ่อแม่ และพนักงานในบริษัท ปีนี้ปล่อยได้เยอะเลยค่ะ แต่ก็คอยช่วยๆ ดูบ้าง เพราะองค์กรเราอยู่กันแบบครอบครัว ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก เรามีกันไม่กี่ร้อยคน แต่ต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เวลาครอบครัวเจ็บไข้ได้ป่วย ยูมีสิทธิ์ลาหยุด ไปดูแลครอบครัวให้เต็มที่ เสร็จแล้วค่อยกลับมาทำงาน แล้วเราเลี้ยงกันจนตายจากกัน

สุขภาพ

ออกกำลังกายตลอดค่ะ อาทิตย์หนึ่งก็หลายวัน มีคาดิโอ้บ้าง แต่ว่าไม่ค่อยได้ควบคุมอาหารเท่าไหร่นัก โชคดีว่าไม่มีโรคประจำตัวอะไร ตอนนี้อีก 5 ปี ก็รับเงินคนชราแล้วค่ะ (หัวเราะ) เราก็เข้าใจว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป รูปร่างก็คงจะให้เหมือนเมื่อ 40 ปีที่แล้วไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้เดินเข้าหลังคอนเสิร์ต มีแต่คนยกมือไหว้ตลอดทาง ความรู้สึกเหมือนเราเป็นที่เคารพบูชามากเลย (หัวเราะ) แต่เราดีใจนะที่ยังมีชีวิตอยู่ จนมาถึงวันนี้ วันที่ได้รวมตัวกับเพื่อนๆ อีกครั้ง

สนุกทุกครั้งที่ได้พบปะเพื่อนศิลปิน

ตอนนี้กำลังเตรียมตัวจะขึ้นคอนเสิร์ต “รวมดาว 18 กะรัต เดอะคอนเสิร์ต” วันที่ 27 เมษายนนี้ ที่ไบเทค บางนา (ฮอลล์ 106) ใครยังไม่มีบัตร รีบซื้อกันนะคะที่ 7-Eleven หรือ www.allticket.com เพราะต้องเรียกว่าเป็นคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์จริงๆ ในอดีตไม่มีทางเลยที่ 2 ฝั่งค่าย (รวมดาว/อาร์เอสฯ และ 18 กะรัต/นิธิทัศน์) จะได้ร่วมเวทีกัน เพราะเป็นเรื่องของธุรกิจ ตอนนั้นเราก็เข้าใจ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปพอพี่น้องศิลปินได้มาเจอกันในคอนเสิร์ตนี้ บอกเลยว่าเราสนุกสนานกันมากค่ะ แถมยังได้มิตรแท้เพิ่มขึ้นด้วย เพราะแต่ก่อนกับทาง 18 กะรัต จะแทบไม่ได้รู้จักกันเลย คิดว่าพี่อี๊ด (สุเทพ ประยูรพิทักษ์) จะต้องดุ แต่พอมาเจอ พี่อี๊ดน่ารักกับน้องๆ ทุกคนมาก หรืออย่าง สุนิตย์ นภาศรี ตอนนี้ตัวติดกันแล้วค่ะ พอได้มาเจอกัน จะมีความสุข จะเริ่มรอแล้ว มีคิวเจอกันอีกทีเมื่อไหร่นะ คนวัยขนาดนี้ การที่ได้เจอเพื่อนฝูงมันคือความสุข แล้วการกลับมาทำคอนเสิร์ต มีสิ่งหนึ่งที่รู้สึก คือเวลาของมนุษย์เราเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ วันนี้เราเดินมากันเกินครึ่งชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้นวันเวลาที่เหลืออยู่ เราควรจะต้องทำทุกวันให้เป็นวันที่สวยงาม และมีความสุข พอน้องๆ ชวนมาร่วมขึ้นคอนเสิร์ตก็โอเคเลย คือจริงๆ รู้นะว่าจะต้องเหนื่อย แต่วันเวลาแบบนี้มันไม่มีแล้วนะ ไม่รู้จะมีอีกทีเมื่อไหร่ และอีกสิ่งหนึ่งคือแฟนเพลงเก่าๆ ที่เขายังรักและคิดถึงเรา ไม่รู้พวกเราจะมีเวลาเท่าไหร่ ที่จะทำผลงานคืนกลับให้แฟนเพลงที่เขายังรักเรา เพราะฉะนั้นถึงเวลานี้แล้ว ต้องทำให้ดี และเป็นที่จดจำ เราไม่ได้คิดเงินทอง แต่เราคิดถึงความสุขที่ได้รับกลับมาในหัวใจ ทั้งเราและแฟนเพลงที่จะได้มีช่วงเวลาย้อนความทรงจำดีๆ ด้วยกันค่ะ

และนี่คือชีวิตที่เติมเต็มทุกวันด้วยรอยยิ้ม และความสุขของ โอ-อัจฉรพรรณี หาญณรงค์

___________________________________

กุหลาบสีเงิน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

'ภคมน ลิซ่า' สอน 'ณัฐวุฒิ' เก็บอาการหน่อย! บอกควรยืนข้างนายกฯ ไม่ใช่พ่อของนายกฯ

ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่! 'พานาโซนิค'เตรียมเลย์ออฟพนักงาน10,000ตำแหน่งทั่วโลก

เพื่อไทย ส่ง 'อนุสรณ์' ลุยช่วย 'อัศนี' เบอร์ 3 นายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่

วิชัยเวชฯ จับมือโรงเรียนบ้านด่านโง ร่วมใจปลูกป่า เนื่องในวันต้นไม้ประจำปีของชาติ

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved