ละครออนแอร์ติดๆ จนสาว คะน้า-ริญญารัตน์ วัชรโรจน์สิริ แทบจะต้องปิดตายทริปเดินตลาด หลังวาดลวดลาย นางร้าย ได้ชวนหมั่น ทั้งในละคร “ปิศาจหรรษา” (จันทร์ - ศุกร์ เวลา 18.50 น.) และ “ไฟหิมะ” (ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.15 น.) ทางช่อง 7 HD แต่ถึงจะร้ายในจอ แต่นอกจอขึ้นชื่อเรื่องความเฟรนด์ลี่กับแฟนละครเป็นที่สุด ส่วนจะมีมุมไหนให้สะดุดรัก ตามมาตีสนิทสาว “คะน้า” กันได้เลย
งานอดิเรกที่รัก
ตอนนี้สิ่งที่สนใจมากๆ เลยคือการถ่ายรูปค่ะ เริ่มมาประมาณปีกว่าแล้ว กับภาพแนวสตรีทไลฟ์ ขาว ดำ แล้วกล้องที่ใช้ก็จะเป็น กล้องฟิล์ม ไลก้า และดิจิตอลด้วย รู้สึกว่ารูปภาพให้อะไรกับเรามากกว่าแค่ได้เห็น คือถ่ายทอดอารมณ์ และหยุดเวลา ณ โมเม้นท์นั้นไว้ เป็นเหมือนความทรงจำของเรา พอเรากลับไปดูรูปอีกครั้ง เราจะรู้เลยว่าตอนที่เราถ่ายรูปนั้นรู้สึกอะไร มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง (ลงทุนไปเท่าไหร่คะ กับค่าอุปกรณ์?) ขออุบไว้ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคุณแม่ดุ (หัวเราะ) ตอนนี้ที่ใช้มี Leica MP240 และ Canon EOS M6 ส่วนอีกตัวเป็นกล้องฟิล์มแบบใช้แล้วทิ้ง
เคล็บลับดูแลสุขภาพ
หลักๆ คือนอนให้เพียงพอค่ะ เพราะว่าหนูเป็นคนชอบนอน(หัวเราะ) แล้วก็กินน้ำให้เยอะๆ คือพอวันหยุดจะไม่ค่อยได้เที่ยวไหน จะนอนอยู่บ้าน มีเวลาก็ออกกำลังกายบ้างนิดหน่อย และในปีนี้ก็ตั้งเป้าและตั้งใจว่าจะออกกำลังกายให้จริงจังขึ้น เพราะอยากให้สุขภาพตัวเองดีทุกๆ ด้าน และมีสัดส่วนรูปร่างที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม ส่วนหน้าตาไม่ได้มีอะไรพิเศษ ทาครีมบำรุง ล้างหน้าให้สะอาด หนูจะเป็นคนที่เช็ดเครื่องสำอางจนสำลีแผ่นสุดท้ายเป็นสีขาว คือจะเช็ดหลายรอบมากๆ แล้วก็เลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีกับหน้าเรา เพราะแต่ละคนผิวจะไม่เหมือนกัน ของแพงก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป ฉะนั้นกลับบ้านปุ๊บจะดึกดื่นแค่ไหน ต้องเช็ดเครื่องสำอาง ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งค่ะ
ธุรกิจส่วนตัว
ตอนนี้เปิดคลินิกเสริมความงามกับเพื่อนค่ะ จริงๆ ชอบอยู่แล้วเกี่ยวกับเรื่องความสวยความงาม เลยมาเปิดธุรกิจนี้ ในอนาคตก็มีอีกหลายอย่างที่อยากจะทำค่ะ เพราะหนูเป็นคนที่ชอบทำธุรกิจ งานแสดงทำเพราะ Passion ชอบการแสดง เพราะเวลาที่เราแสดงละคร เป็นหนึ่งโมเม้นท์ที่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นตัวเอง เราหลุดจากความเครียด เราไม่ต้องคิดว่าเราเป็นตัวเอง เวลาเราเล่นละครเราเป็นตัวละคร ไปอยู่กองถ่ายเจอคนนั้นคนนี้เป็นลูปที่ไม่ใช่ชีวิตเรา แต่ว่าพอเราทำธุรกิจ เราจะเป็นคนที่ชอบ Marketing มีความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นงานที่ทำให้ได้เงินจริงๆ สำหรับตัวเราคือ ธุรกิจ แล้วก็เหมือนเป็น Passive Income ถึงแม้ว่าเรานอน เที่ยว เราก็ยังได้เงิน ก็เลยรู้สึกว่า ธุรกิจ คือ เงิน แต่หนูเรียนจบด้านรัฐศาสตร์มานะคะ (ยิ้ม) ไม่ได้เกี่ยวกันเลย ส่วนตัวเรามองว่า Marketing คือจิตวิทยา ถ้าเราเข้าใจความต้องการของมนุษย์จริงๆ เราจะเข้าใจว่าเราควรทำยังไง เราอ่านหนังสือเพิ่มเติมได้ แล้วการตลาดตอนนี้คือ ออนไลน์ ล้วนๆ ถ้าเรารู้ว่าเราควรยิงแอดโฆษณายังไง ทำไลน์แอดยังไง ไอจี เฟสบุ๊ค ยังไง ที่เหลือก็ไปศึกษาคู่แข่งของเรา ศึกษา Target ถือเป็นความสนุกอย่างหนึ่งค่ะ
มุมมองการแสดง
อยากพัฒนาฝีมือตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้อีก ที่สำคัญเลยคืออยากได้บทบาทที่หลากหลายขึ้น อย่างที่บอกว่าวันนี้เราทำได้เพราะ Passion 100% ไม่ใช่ทำแค่เงิน หนูเคยคิดนะคะว่าอยากจะไปเล่นละครเวที เขียนบทละครเวทีโรงเล็กประมาณนั้น เพราะว่าการเล่นละครเวทีโรงเล็ก ทำให้เราได้เล่น Realistic แอ็คติ้งแบบชัดๆ ตอนนี้หนูมีไปเรียนแอ็คติ้งเพิ่มเติมตลอด บางครั้งการที่เราได้บทเดิมๆ เหมือนทำให้เราไม่ได้พัฒนานะ แต่เราไม่ได้ดูถูกการแสดงนะ ครูหนิง ครูเบล ครูเงาะ ที่เป็นคุณครูของหนู ก็บอกตลอดว่าต่อให้บทแบนแค่ไหน เราก็เล่นให้กลมได้ แต่ถ้าเราเจอบทที่ท้าทายขึ้น ก็เหมือนบันไดที่เราจะได้ไต่ขึ้นสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ซึ่งหนูไม่เกี่ยงนะว่าจะเล่นเป็นอะไร คนดี นางเอก นางร้าย คนบ้า ได้หมด ขอให้มาเถอะ แบบไหนก็พร้อมจะแสดง เราคิดว่าเราทำได้นะ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเก่ง แต่เราชอบที่จะพยายาม เลยอยากขอโอกาสจากผู้ใหญ่ อยากให้เชื่อมั่นในตัวเรา เพราะหนูเองเข้ามาตรงนี้ได้ต้องขอบคุณพี่ตู่ค่ะ ตอนนั้นเราเล่นหนังสั้นโฆษณาของหอการค้าไทย เขาเห็น เขาก็เรียกทุกคนรวมถึงเราด้วยให้เข้ามาแคสติ้ง ปรากฏว่าเราได้งาน ทุกวันนี้จึงนับถือเขาเป็นคุณแม่
เวลาสนุกกับแก๊งเพื่อน
หนูเป็นคนที่เพื่อนน้อย แต่เป็นคนที่เปิดเผยนะ ถ้าเจอกันก็ยิ้มแย้มคุยง่าย แต่ว่าไม่ได้สนิทกับคนง่าย ดังนั้นก็จะมีเพื่อนสนิทน้อย ประมาณ 3-4 คน และเพื่อนในวงการบันเทิงก็น้อย ซึ่งไปกองถ่ายก็คุยกับทุกคนได้ปกตินะคะ เพียงแต่ไม่ได้มีแฮงค์เอ้าท์ เพราะจะเป็นคนติดบ้านมาก อยู่กับแม่กับน้อง พอเจอคนใหม่ๆ ก็ไม่ได้พยายามสนิทกับเขา เพียงแค่ทักทายกัน ส่วนเพื่อนสนิทจริงๆ จะเป็นเพื่อนสมัยมัธยม มหาวิทยาลัย จะเป็นสไตล์สาวโสดเหมือนกัน มีงอน แกล้งกันปกติค่ะ
ชีวิตครอบครัว
เรามีกันสามคนค่ะ แม่ หนู และน้อง คุณพ่อแยกไปมีครอบครัวใหม่ หนูเลยเหมือนเป็นหัวหน้าครอบครัว กลายเป็นว่าเราจะต้องสตรอง ต้องเก่ง แล้วที่สำคัญครอบครัวเราก็ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ คือถ้าพูดเรื่องครอบครัว เรื่องแม่ จะร้องไห้ตลอดเลย เป็นเรื่อง Sensitive เมื่อก่อนเรียกว่าไม่มีกินเลยนะคะ มีประสบการณ์หนึ่งที่จำฝังใจ ตอนนั้นเราไม่มีกับข้าวกิน มีแค่ข้าวกับแตงกวา แม่ต้องไปขอไข่ข้างบ้านมาผัดกับแตงกวา แล้วก็ต้องกินให้ได้ทั้งวัน แล้วก็อีกเหตุการณ์คือเรานั่งรถเมล์ผิดสาย แล้วไม่มีเงินนั่งรถกลับบ้าน ก็ต้องขอเงินคนที่ป้ายรถเมล์ คำว่าไม่มีเงิน คือเราไม่มีจริงๆ เมื่อก่อนครอบครัวลำบากมากค่ะ สู้กับแม่มาตลอดตั้งแต่เด็ก คือเราทำตั้งแต่เอาเสื้อมือสองไปขายที่ตลาดนัด แบกขนมไปขายที่โรงเรียน ทำทุกอย่างเพื่อเก็บตังค์ จนกระทั่งมาวันนี้เราสามารถเลี้ยงท่านได้ ก็อยากทำให้ดีขึ้นๆ ไปอีกค่ะ
ทำความรู้จักกันแทบจะทุกซอกทุกมุมแล้ว จะไม่ถามเรื่องความรักเลย คงเป็นไปไม่ได้ “คะน้า” จึงเปรยว่า “หนูเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจังกับความรัก ดังนั้นจะใช้หัวใจและใช้อารมณ์ในเรื่องของความรักมากๆ ทำให้รู้สึกว่าถ้าไม่พร้อม ก็จะไม่กล้ารักใคร เพราะกลัวจะเสียใจ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา เคยทำร้ายเราเอง หลังจากนี้เลยคิดว่ามุมมองความรักคือ ค่อยๆ ดู และดูไปยาวๆ ดีกว่า เราตัดสินใจช้าๆ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าคนนี้จะเป็นคนที่ดีชัวร์ๆ สำหรับเรา ดีกว่าให้มันมาทำร้ายความรู้สึกเรา จากที่ใช้หัวใจ ก็หันมาใช้สมองมากขึ้นค่ะ”
ออกแนวสาวแกร่งแบบนี้ เห็นทีหนุ่มๆ คงต้องกมุขมับ กับการสรรหาวิธีพิชิตใจสาว “คะน้า” เจ้าค่ะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี