ชีวิตคนเราเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนเมื่อมีขึ้นย่อมมีลง เมื่อมีจุดสูงสุดย่อมมีจุดต่ำสุด แต่ทุกสิ่งล้วนขึ้นกับการดำเนินชีวิตที่ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว ดังเช่นชีวิตของศิลปินลูกทุ่ง “แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์” เจ้าของเพลงดัง “แห่ขันหมาก” และอีกหลากหลายบทเพลง เพียงเมื่อเพลงเปิดตามคลื่นวิทยุจากนักร้องร้องเพลงประกวดก็เปลี่ยนเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงภายในข้ามคืน ด้วยน้ำเสียงไพเราะเพราะพริ้ง แม้หน้าตาอาจจะไม่ค่อยหล่อเหลาสักเท่าใดนัก และเขายังเคยผ่านจุดสูงสุดของชีวิตผู้สร้างปรากฎการณ์ขายบัตรได้เหยียบล้านภายใจคอนเสิร์ตเดียวในยุคที่บัตรราคา 20 บาท แต่ชื่อเสียงมักแปรไปตามกาลเวลา เมื่อวันเวลาผ่านไปชื่อเสียงเริ่มหดหาย เขากลับพบมรสุมหนักที่สุดในชีวิต ซึ่งทีมข่าวบันเทิงแนวหน้าได้ร่วมเปิดใจ พร้อมเผยบทเรียนชีวิตที่ศิลปินหลาย ๆ คนควรตระหนัก พร้อมข่าวดีสำหรับแฟนเพลงกับการกลับมาอีกครั้งกับผลงานเพลงชุดใหม่เพื่อขอบคุณแฟนเพลงหลังออกผลงานเพลงชุดสุดท้ายนาน 15 ปี
แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ มีชื่อจริงว่า เฉลียว ไกอ่ำ เกิดเมื่อ 27 ก.ค.2496 ที่บ้านเลขที่ 156 หมู่ 13 ต.คำบัว อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา จากฐานะที่ยากจน และพ่อแม่แยกทางกัน ทำให้เขาจบการศึกษาแค่ประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดบ้านจาน ต.คำบัว อ.โนนไทย แสงสุรีย์ เป็นคนที่ชอบการร้องเพลงลูกทุ่งอย่างมาก และก็ได้เข้าสู่เวทีการประกวดจนกลายเป็นนักร้องดังใจหวัง
จุดเริ่มต้นเข้าวงการ
“ผมมีใจรักในการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก สมัยนั้นผมก็เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไปที่มีความฝันอยากเป็นนักร้องและได้เดินสายร้องเพลงประกวดในเขตจังหวัดบ้านเกิด ต.คำบัว อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา มาตั้งแต่สมัยเรียนชั้น ป.2 และประกวดเรื่อยมา แต่เริ่มต้นเข้ามาสู่วงการร้องเพลงจริง ๆ คือตอนนั้นเมื่อประมาณอายุ 15 ปี ผมได้หิ้วกระเป๋าเดินทางเข้ามาหางานทำที่กรุงเทพฯ น้าสาวได้ฝากฝังให้ได้เข้าทำงานที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ แถวสุขุมวิท ในตำแหน่งล้างจาน ทำอยู่ 3 ปีก็ขยับขึ้นมาทำในตำแหน่งพ่อครัวอาหารฝรั่ง ทำหน้าที่นี้อยู่นานถึง 10 ปี ระหว่างนั้นผมก็ตระเวนประกวดร้องเพลงตามเวทีเล็กๆ ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งก็ชนะบ้างแพ้บ้าง มาวันหนึ่งได้เข้าประกวดการร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ''ขยะสังคม'' ที่มี สรพงศ์ ชาตรี แสดงนำ และมี สายัณห์ สัญญา เป็นผู้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ ซึ่งคราวครั้งนี้ผมได้รับชัยชนะ และเพื่อนที่มาร่วมประกวดด้วยกันได้พาผมไปพบ ครูสัมฤทธิ์ รุ่งโรจน์ ครูเพลงตาพิการ เพื่อให้ปั้นเป็นนักร้อง''
ตัดสินใจซื้อเพลง
''เมื่อได้มีโอกาสพบครูสัมฤทธิ์ท่านก็บอกว่าถ้าอยากจะเป็นนักร้อง ก็จะขายเพลงให้เพลงละ 600 บาท ซึ่งผมก็ตกลงซื้อทันที 2 เพลง จากนั้นครูสัมฤทธิ์ก็กลับไปแต่งเพลงมาให้ 2 เพลง ก่อนจะพาไปเข้าห้องอัดเสียง โดยไปขอแทรกคิวเวลาห้องอัด 2 ชั่วโมง คือเพลง “แห่ขันหมาก” และ “น่าอร่อย'' ซึ่งตอนนั้นเวลาผมไปไหนมาไหนก็จะ
ต้องเดินจูงมือครูสัมฤทธิ์ตลอดเวลาเพราะครูแกตาบอด และด้วยความที่ผมมุ่งมั่นอยากที่จะเป็นนักร้อง ซึ่งครูก็ให้คำแนะนำและแต่งเพลงให้กับผม”
จัดตั้งวงดนตรี “แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์”
'พอผมได้เพลง 2 เพลงแรก ผมเลยเริ่มเดินสายร้องเพลงตามที่ต่าง ๆ และนำเพลงไปฝากตามคลื่นวิทยุ หลังจากที่ 2 เพลงของผมถูกนำออกเผยแพร่ตามสถานีวิทยุ ก็ปรากฏว่าเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากของเหล่าบรรดาแฟนเพลง จึงมีนายทุนเสนอทำวงดนตรี ''แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์'' ให้เพื่อทำการเดินสาย ครูสัมฤทธิ์จึงแต่งเพลงให้ผมอีก 4 เพลง สำหรับใช้ในการแสดงที่หน้าเวที และผมก็ออกเดินสายในฐานะหัวหน้าวง โดยที่มีเพลงอยู่แค่ 6 เพลงเท่านั้น ซึ่งเพลงที่ตามมาที่หลังอีก 4 เพลง ต่างก็ได้รับความนิยมจากบรรดาแฟนเพลงอย่างมากเช่นกัน ส่วนเพลงที่ทำให้ผมดังและสามารถมายืนสู้กับสายัณห์ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งในตอน นั้น อาทิเพลงแห่ขันหมาก, น่าอร่อย, หิ้วกระเป๋า, สามเณรกำพร้า, รักสาวเสื้อลาย, จับตัวตีตราจอง, แฟนจ๋าอยู่ไหน''
ช่วงโด่งดังที่สุด
''ช่วงที่โด่งดังที่สุด ตอนนั้นผมตื่นเต้นมากและยังจดจำมาถึงทุกวันนี้ คือในการแสดงครั้งหนึ่งวงผมสามารถเก็บค่าผ่านประตูได้เป็นหลักล้านบาท แม้จะเก็บแค่คนละ 20 บาท ขณะที่ผู้ชมก็มารอกันตั้งแต่บ่าย 3 โมง ขณะที่วงดนตรีเปิดการแสดงในช่วงเย็น สำหรับวงแสงสุรีย์นั้นออกเดินสายระหว่างปี 2521-2524 ก่อนจะปิดวงไป แต่จริง ๆ ผมไมได้หายไปไหนยังคงเดินสายร้องเพลงตามที่ต่าง ๆ ที่มีคนว่าจ้าง แต่เป็นเพราะเมื่อกาลเวลาผ่านไปความนิยมก็เริ่มลดน้อยถอยลงมันเป็นเรื่องปกติ มีขึ้นมีลง แต่ผมก็ยังคงร้องเพลงด้วยใจรักมาจนมาถึงปัจจุบันนี้ ผมก็อายุ 58 ปี ย่างเข้า 59 ปีแล้ว”
เจอมรสุมชีวิต โรคภัยเข้าแทรก
''เป็นเรื่องช็อกของผมเลยก็ว่าได้ เพราะปกติร่างกายผมจะแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย นานๆ ถึงจะเข้าโรงพยาบาลสักที ก็จะมีเครียดบ้างในช่วงระยะ 10 ปีหลัง เพราะงานเริ่มไม่มี รวมทั้งปัญหารอบข้างรุมเร้า ทั้งปัญหาเรื่องการเงิน เพราะเคยทำธุรกิจแล้วมันเกิดพลาด เลยมีหนี้สินพอสมควร ทั้งช่วงนั้นมีปัญหากับเรื่องดวงตา แต่หลังจากที่รักษาจนหาย ผมก็ได้บินลัดฟ้าเพื่อไปขุดทองที่อเมริกานานถึง 5 ปี กลับมาทำงานชุดใหม่ก็ขาดทุนอีก เลยทำให้ช่วงที่ผ่านมาเจอมรสุมชีวิต และลำบากหนักเพราะดันมาป่วยตอนแก่ ตอนที่เราเริ่มจะทำอะไรไม่ได้มากนักแล้ว คงมาจากการดื่มและการร่างกายเปลืองมาหลายปี มันคงจะสมมานานและออกผลตอนนี้ มันก็เลยเป็นเวรเป็นกรรม พยายามปลงแต่มันก็ไม่สบายใจ ยิ่งมาเป็นโรคดีซ่านอีก ตอนนั้นผมก็ท้อครับ แต่ตอนนั้นคุณหมอก็ยืนยันว่าจะรักษาให้หายขาด แต่ต้องใช้ระยะเวลาสักพักนึง เลยสั่งให้ผมงดรับงานหน้าเวทีหรือรับให้น้อยลง หรือไม่ก็พักผ่อนยาวไปเลย ใจจริงมันอยากพักมานานแล้ว แต่มันทำยังไงได้ล่ะครับ มันต้องกินต้องใช้ หยุดมันก็เท่ากับตายผ่อนส่ง ผมเลยกังวลใจพอสมควร แต่ผมก็พยายามที่จะไม่เครียด งดดื่มสุรา เบียร์ และของมึนเมาทุกชนิดโดยเด็ดขาดเลยตอนนี้ ต้องพักผ่อนมากขึ้น ก็เลยตัดสินใจว่าจากนี้ป็นต้นไป ผมคงจะต้องพักและให้เวลากับตัวเองให้มากที่สุด และเชื่อว่าผมจะต้องชนะมันและหายเป็นปกติแน่นอนครับ''
ท้อจนอยากออกจากวงการ
“ตอนนั้นก็มีข่าวอออกมาหลายกระแสมาก บอกว่าผมจะลาออกจากวงการเพราะหมดกระแส แต่ด้วยความที่ผมเกิดมาเป็นศิลปิน เลยยากในทางปฏิบัติ ถามว่าท้อไหม ทำงานเพลงแล้วขายไม่ได้ โดนซีดีเถื่อนพ่นพิษ ทำออกมาทุกทีพังพาบพับเพียบ ก็หมดกำลังใจครับ เพราะต้องใช้เงินที่สะสมมาทั้งหมด เคยคิดจะลาวงการเหมือนกัน แต่ด้วยความที่หัวใจมันไม่ยอม เลยต้องสู้กันต่อไป เพราะผมเชื่อเสมอว่า ผมยังขายได้ และคุณภาพของเสียงก็ยังเหมือนเดิม คงรอเพียงโอกาสอีกครั้งจากแฟนเพลงครับ แล้วที่ผมซาบซึ้งถึงทุกวันนี้คือช่วงที่ผมป่วยแฟนเพลงได้ช่วยกันออกค่ารักษาพยาบาลให้เป็นจำนวนเงิน 40,000 กว่าบาท และแฟนเพลงก็บอกอยากให้ผมมีกำลังใจสู้ต่อ ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ทำให้ผมก้าวผ่านมาได้''
บทเรียนชีวิตสอนใจ
“บทเรียนที่เจ็บปวดที่สุดช่วงที่ผมป่วย และกระแสตก ผมตัดสินใจไปร้องเพลงที่อเมริกา แต่ช่วงเวลานั้นทางครอบครัวผม แฟนผมไปมีแฟนใหม่ และทิ้งลูก ๆ ให้ผมดูแล ซึ่งเด็ก ๆ กำลังอยู่ในวัยเรียน พวกนายห้างคนเก่า ๆ ก็ไมได้ช่วยเหลืออะไรผมไม่เคยได้เงินจากเพลงจากอัลบั้มที่ขาย ซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่มีเรื่องของลิขวิทธิ์ที่คุ้มครองคนร้องเพลงด้วย คือเวลาเราตกแล้วเราก็ไม่มีประโยชน์อะไรให้กับเขาแล้ว ซึ่งผมก็อยากฝากบอกน้อง ๆ ศิลปินว่าถ้าช่วงที่เรากำลังดังกำลังมีชื่อเสียงอยากให้เก็บเงินไว้ อยากให้ดูผมเป็นตัวอย่าง”
มองวงการลูกทุ่งตอนนี้อย่างไร
''แน่นอนเพลงเปลี่ยนไป แต่ผมในฐานะคนลูกทุ่งโดยแท้ๆ ก็เชื่อว่าลูกทุ่งไม่มีวันตาย ส่วนคลื่นลูกใหม่ที่เกิดขึ้น ก็ตามสมัยครับ เวลามันเปลี่ยนไป อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไป แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายลูกทุ่งแท้ ๆ ก็ยังคงมีเสน่ห์ แต่ผมทำใจและยอมรับสภาพ แต่ก็อยากเตือนน้องๆ ว่า สมัยนี้ลูกทุ่งมีทิศทางที่เปลี่ยนไป กลุ่มคนฟังก็มีหลากหลายอาชีพ ฉะนั้นของจริงเท่านั้นที่ยืนหยัดได้ เพราะถ้าไม่ดีจริง คงจะรอดยากครับ ส่วนคลื่นลูกเก่าๆ ที่ยังเหลืออยู่ ก็ถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดี และคนเหล่านี้ก็จะเป็นเพชรที่ยังคงอยู่ในหัวใจคนฟังตลอดไปครับ''
ความภูมิใจสูงสุด
“สิ่งที่ผมปลาบผลื้มและดีใจที่สุดคือผมเคยได้รางวัลเกียรติยศโล่พระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทยครั้งที่ 2 พ.ศ. 2524 ประเภท ขับร้องลูกทุ่งดีเด่นจากเพลง ''หิ้วกระเป๋า'' และยังได้รางวัลศิลปินที่มีความกตัญญูต่อครูเพลง ซึ่งผมได้ดูแลครูสัมฤทธิ์เปรียบเสมือนพ่อคนที่ 2 ที่ท่านได้แต่งเพลงให้และสอนทุกอย่างเกี่ยวกับการร้องเพลง เพราะผมเชื่อว่าคนเราต้องมีความกตัญญูรู้คุณจึงจะทำให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรืองด้วย”
คืนสู่วงการเพลงอีกครั้งในรอบ 15 ปี
“หลังจากที่ผมหายป่วย แฟน ๆ ได้เรียกร้องอยากให้มีผลงานเพลงอีกครั้งในอัลบั้มชุดใหม่ “ยิ่งดูยิ่งดี” โดยการสนับสนุนของ“ชัยนรินท์ อุดมจิระสิทธิ์” เจ้าของ บริษัท แซบอินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง จำกัด สำหรับงานเพลงชุดนี้มีทั้งหมด 10 เพลง มีเพลงเก่าที่มาทำใหม่โดยเสียงร้องของแสงสุรีย์ คือเพลงอส.รอรัก,ทหารเกณท์ผลัด 2 และเพลง หนาวลมที่เรณู ส่วนอีก 7 เพลง เป็นเพลงแต่งใหม่กลิ่นอายยังคงความเป็นลูกทุ่งแบบดั้งเดิม ซึ่งผมใช้เวลาทำนาน 3 เดือน สำหรับเพลง “ยิ่งดูยิ่งดี” ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับอัลบั้ม ที่จริงเป็นเพลงเก่าของอาจารย์สัมฤทธิ์ รุ่งโรจน์ ที่แต่งไว้ แต่ผมเอามาปรับเนื้อร้องใหม่ ตอนนี้ก็ได้ปล่อยเพลงไปตามสถานีวิทยุของพรรคพวกกัน เพราะลำพังตัวผมเองคงไม่มีเงินถุงเงินถังจ้างสถานีวิทยุเปิดให้ และผมก็อยากให้เพลงติดหูคนฟังตามธรรมชาติมากกว่าที่จะไปยัดเยียด ซึ่งเพลงที่พอจะเริ่มมีกระแสตอบรับเพิ่มขึ้นในชุดนี้ คือเพลงยิ่งดูยิ่งดี,จันทร์ฟอง ล่องใต้ และเพลงรอลูกหลับ”
ฝากถึงแฟนเพลง
“อยากจะขอบคุณแฟนเพลงที่ยังจำผมได้และให้การสนับสนุน อัลบั้มชุดนี้ถือเป็นการกลับมาหลังจากห่างหายการออกอัลบั้มไป 15 ปี ซึ่งที่ห่างจากวงการไป ก็ไปเดินสายร้องเพลงอยู่ต่างประเทศและได้รับเชิญร้องตามงานบวชงานแต่งบ้าง แต่ขอยืนยันว่าการกลับมาคราวนี้สุ้มเสียงยังไหวอยู่ โดยได้เสี่ยชัยนรินท์เป็นคนผลักดันทำอัลบั้มขึ้นมา เพราะเรามีความเห็นตรงกันว่าอยากจะอนุรักษ์ลูกทุ่งทำนองเดิมเพื่อให้คนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าที่ยังจดจำกลิ่นอายลูกทุ่งย้อนยุค ได้สัมผัสกับบรรยากาศของลูกทุ่งแท้ๆที่ตอนนี้หาฟังยากขึ้นทุกวัน ถือว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการฟังเพลงลูกทุ่ง ซึ่งถ้าใครอยากสนับสนุนช่วยอุดหนุนอัลบั้ม ก็โทรมาได้ที่ 081-937-1774 หรือติดต่อมาได้ที่ บริษัท แซบอินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง จำกัด โทร.02-434-9908-9 ผมอยากขอฝากงานเพลงชุดนี้ให้แฟน ๆ ช่วยอุดหนุนด้วยครับ”
พินิตา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี