1.เมื่อต้นเดือนธันวาคม (2019) บริษัท อูเบอร์ (Uber) ผู้ให้บริการด้านการจัดหารถเดินทางผ่านแอพพลิเคชั่น (Sharing Economy) ได้ออกมาเปิดเผย “รายงานด้านความปลอดภัย” จากกรณีการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นบนรถโดยสารที่ให้บริการผ่านเครือข่ายของบริษัท อูเบอร์ ทั่วโลก ในช่วงปี 2017-2018 ว่า มีมากถึงเกือบ 6,000 กรณี
“ในปี 2017-2018 ทางบริษัทได้รับรายงานกรณีการข่มขืนที่ไม่ได้รับการยินยอมของผู้ตกเป็นเหยื่อมีจำนวน 464 กรณี และความพยายามข่มขืนโดยไม่ยินยอมอีก 587 กรณี และยังมีการร้องเรียนกรณีการล่วงละเมิดทางเพศอื่นๆ เช่น การจูบหรือการสัมผัสลูบคลำเนื้อตัวโดยไม่ยินยอม โดยผู้ร้องเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง” นี่คือส่วนหนึ่งที่ปรากฏในรายงานชิ้นนี้ แม้จะมีการระบุด้วยว่า อัตราการเกิดเหตุล่วงละเมิดทางเพศโดยเฉลี่ยลดลง 16 เปอร์เซ็นต์จากการสำรวจก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกปลอดภัยมีมากขึ้นต่อผู้โดยสารที่ใช้บริการ โดยเฉพาะผู้หญิงและเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ภาครัฐ(ในประเทศต่างๆ) ออกมาจัดการในเรื่องนี้อย่างเข้มข้นเสียที แต่ก็มีหลายคนมองว่านี่อาจเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะ “ต้นเหตุ” ที่แท้จริงมันไม่ใช่แค่เรื่องของ “กฎหมาย” หรือการสร้าง “ความปลอดภัย” เท่านั้น แต่มันน่าจะเป็นการให้ “คุณค่า” ต่อผู้หญิง ที่มันยังไม่เกิดขึ้นจริงเสียมากกว่า
2.ก่อนหน้านี้ที่ประเทศอินเดีย (2016) ก็เคยมีการออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดการให้บริการของบริษัทอูเบอร์ มาแล้ว หลังจากกรณีของ“นายชีพ กุมาร ยาดาฟ” ที่ถูกศาลอินเดียพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ฐานกระทำความผิดในคดีข่มขืนหญิงผู้โดยสารที่เรียกใช้บริการรถแท็กซี่อูเบอร์ แต่ท้ายที่สุด ทางการอินเดียก็ทำได้เพียงหยุดการให้บริการของบริษัท อูเบอร์ เพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น พร้อมๆ กับสถิติของการล่วงละเมิดทางเพศที่นั่นก็ยังสูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง
สถิติของรัฐบาลอินเดียในปี 2016 ระบุว่า ในทุกๆ 13 นาที จะมีผู้หญิงอินเดียถูกข่มขืน 1 คน หรือคิดง่ายๆ เป็น 4 คน ต่อ 1 ชม. ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ภายใน 1 วันจะมีผู้หญิงถึง6 คน ถูกแก๊งรุมโทรมข่มขืน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสาวอินเดีย 1 คน จะถูกฆาตกรรมในทุกๆ 69 นาที เพื่อหวังเอาสินสอดของฝ่ายหญิง และสถิติยังได้บอกอีกว่า ผู้หญิงอินเดียจะถูกสาดด้วยน้ำกรดเฉลี่ยแล้วกว่า 19 คนต่อเดือน ที่น่าเลวร้ายคือเด็กตกเป็นเหยื่อของคดีข่มขืนเพิ่มขึ้น 2 เท่า(ในช่วงปี 2012-2016) โดยคดีข่มขืนเด็ก คิดเป็น 40% ของคดีข่มขืนทั้งหมด
หนังสือพิมพ์ของประเทศอินเดีย “ฮินดูสถาน ไทมส์” รายงานว่า สาเหตุของอัตราการข่มขืนและการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงที่มีอยู่ในระดับสูงนั้นมีปัจจัย
มาจาก สภาพเศรษฐกิจที่มีความเหลื่อมล้ำสูงความสมดุลของจำนวนประชากร (ผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิง) การบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวม และคำตัดสินของศาลที่ล่าช้า รวมไปถึงสภาวะเมินเฉยต่อปัญหานี้ของสังคมอินเดีย จึงไม่น่าแปลกใจที่จากผลสำรวจของมูลนิธิ ทอมป์สัน รอยเตอร์ จะยกให้ประเทศอินเดียเป็นอันดับหนึ่ง ในประเทศที่อันตรายสำหรับผู้หญิงทั่วโลก ตามมาด้วยประเทศอัฟกานิสถาน ซีเรีย และซาอุดีอาระเบีย ตามลำดับ
3.ในหนังสือ “เซเปียนส์ : ประวัติย่อมนุษยชาติ” (Sapiens A Brief History of Humankind) “ยูวัล โนอาร์ แฮรารี” (Yuval Noah Harari) ได้กล่าวถึง “ลำดับชั้นทางเพศ” ไว้อย่างน่าสนใจในทำนองที่ว่า ตามความเชื่อทางสังคมในอดีตกาล “ผู้หญิง” ถูกจัดว่าเป็นทรัพย์สินของผู้ชาย (พ่อ สามี หรือพี่น้อง) เท่านั้น และในระบบกฎหมายยังตีความ “การข่มขืน” เป็นเพียงการทำลายทรัพย์สิน และผู้เสียหายนั้น คือ ผู้ชายที่เป็นเจ้าของ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ถูกกระทำชำเราดังนั้น เมื่อผู้กระทำการข่มขืนชดใช้ค่าเสียหายก็สามารถที่จะโอนความเป็นเจ้าของไปให้ได้ ผู้หญิงก็จะกลายเป็นทรัพย์สินของผู้ที่ทำการข่มขืนแทน ซึ่งผู้เขียนได้หยิบยกเนื้อหาใน “คัมภีร์ไบเบิล” มายืนยันรายละเอียดที่ว่านี้ด้วย พร้อมแสดงพัฒนาการรูปแบบของอำนาจผู้ชายที่มีต่อผู้หญิงผ่านประเด็น “การข่มขืนของสามีต่อภรรยาตัวเอง”ที่มีการยืนยันว่า ในปี 2006 ยังคงมีถึง53 ประเทศ ที่ตีความกฎหมายว่า ผู้ชายที่เป็นสามีสามารถกระทำการในลักษณะนี้ได้โดยไม่มีความผิด
“ยูวัล โนอาร์ แฮรารี” สรุปว่า ผู้หญิงได้รับการ “ตีตรา” ผ่านวัฒนธรรมแห่งยุคสมัย อาทิ สังคมได้มอบหมายบทบาทของการเป็นแม่ ได้ให้สิทธิของการได้รับการปกป้องจากความรุนแรง และได้หน้าที่เฉพาะในการเชื่อฟังสามี ฯลฯ ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติต่อผู้หญิง จึงอาจจะมี “ราก” มาจากการจัด “ลำดับชั้นทางเพศ” ที่กลิ่นอายของ“อำนาจแห่งความเป็นชาย” ยังคงคุกรุ่นอยู่ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้
4.กระนั้น “ยูวัล โนอาร์ แฮรารี”ก็ยังให้เหตุผลทาง “ชีววิทยา” เอาไว้3 รูปแบบเกี่ยวกับ “สังคมแบบผู้ชายเป็นใหญ่” โดยมีข้อสันนิษฐานว่า หนึ่ง ผู้ชายมีความแข็งแกร่งกว่าผู้หญิง ด้วยข้อนี้เองที่ทำให้ผู้ชายจะได้รับหน้าที่สำคัญต่างๆ มาโดยตลอด (อดีต-ปัจจุบัน)จนได้รับสถานะของ “ผู้ควบคุม”
ส่วนประเด็นที่สองก็คือ “ความก้าวร้าว” ซึ่งมีการตีความกันทางชีววิทยาว่า ผู้ชายชอบความรุนแรงมากกว่าผู้หญิง จากข้อมูลที่ผู้เขียนให้มาบอกว่า แม้ผู้ชายกับผู้หญิงจะมีความรู้สึกเกลียดชัง มีความละโมบ และมีรสนิยมในการข่มเหงที่พอๆ กัน แต่ผู้ชายจะมีแนวโน้มในการ “อยากใช้ความรุนแรง” ทางร่างกายมากกว่า
และสุดท้าย คือ ความทะเยอทะยาน ชอบแข่งขัน และเอาชนะสิ่งนี้เองที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการได้มาซึ่งอำนาจ ในขณะที่ผู้หญิงต้องหลีกทางให้กับเรื่องพวกนี้ เพราะภาระหน้าที่ในความเป็นแม่
แต่ในปัจจุบัน เหตุผลทางชีววิทยาก็ถูกสั่นคลอนอีก เมื่อ “คาสเตอร์ เซเมนยา”(Caster Semenya) นักวิ่งหญิงชาวแอฟริกาใต้ ได้ถูกตั้งคำถามขึ้นมาว่า เธอควรถือว่าเป็น “ผู้หญิง” จริงๆ หรือไม่ เมื่อลักษณะทางกายภาพมีความคล้ายคลึงกับผู้ชาย ที่สำคัญเธอปริมาณ “ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน” มากกว่าปกติ ซึ่งทำให้เธอมีทั้งความแข็งแกร่ง ความก้าวร้าว และความทะเยอทะยานรูปแบบเดียวกับผู้ชาย ในความเป็นผู้หญิงของเธอ นี่เองที่ทำให้ “สมาคมกรีฑานานาชาติ” (IAAF) ต้องเปลี่ยนกติกาใหม่ในปี 2011 ด้วยการนำระดับ “ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน” มากำหนดความเป็นหญิงหรือชายในการแข่งขัน ซึ่งสร้างปัญหาให้กับลมกรดสาวเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกสองสมัยเป็นอย่างมาก แต่กติกานี้ก็ถูกยกเลิกไปในปี 2015 เพราะมีการยื่นฟ้องต่อศาลว่า ขาดเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ
ต่อมาในปี 2018 “สมาคมกรีฑานานาชาติ” ก็เอากติกาการกำหนดระดับ “ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน” แบ่งความเป็นหญิงหรือชายกลับมาใช้อีกครั้ง พร้อม “งานวิจัย” ที่ยืนยันว่า นักกีฬาหญิงที่มีปริมาณเทสโทสเทอโรนสูงจะสามารถทำผลงานได้ดีกว่านักกีฬาหญิงทั่วๆ ไปในการแข่งขัน จนเธอต้องนำเรื่องขึ้นศาล และเรื่องก็ถูกยกฟ้องในเวลาต่อมา ท้ายที่สุด “คาสเตอร์เซเมนยา” อาจต้องเลือกที่จะแข่งขันกับผู้ชาย ถ้าเธอยังอยากออกไปวิ่งบนลู่อีกครั้ง
ทั้งหมดนี้คือหลากเหตุผลของความ (น่าจะ) เป็นไปได้ ที่บอกกับเราว่า “ความเป็นผู้หญิง” เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจและต้องให้ความสำคัญ ซึ่งคำถาม(ที่ตามมา) ก็คือ แล้วจะมี “มนุษย์” สักกี่คนกัน ที่ยินดีต่อการ “แบ่งปัน” ความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี