ต้องบอกว่าวงการบันเทิงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สำหรับนักแสดงบางท่านเมื่อเข้ามากำลังรุ่งโรจน์ในอาชีพนี้แต่ก็ต้องมีเหตุให้โบกมืออำลาไปอย่างน่าเสียดาย อย่างเช่น เบคกี้ ริสา หงษ์หิรัญ ที่เมื่อ 10 ปีก่อนเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงด้านงานพิธีกรที่เรียกว่ามีงานอีเว้นท์ไหนต้องมี เบคกี้ ยืนหนึ่งเป็นพิธีกรในงานนั้น อนาคตกำลังสดใส เงินทองกำลังไหลมาเทมา แต่อยู่ๆ สาวเบคกี้ ก็ขออำลาเวทีพิธีกรแล้วขอไปทำงานประจำจนตอนนี้นั่งเก่งอี้เป็นผู้บริหารถึง 8 องค์กร รายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 จึงเชิญมาพูดคุยไถ่ถามกับความสำเร็จหลังจากที่ห่างหายจากหน้าจอทีวีแล้วผันตัวเองไปเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
ทั้งๆที่งานในวงการเยอะมากแล้วทำไมอยู่ๆถึงออกจากวงการบันเทิงไปเลย ??
เบคกี้ : เพราะว่าเราเป็นคนที่ทำงาน 365 วันแล้วไม่ได้หยุดแล้ว แล้วมีช่วงหนึ่งที่เราไม่มีงานเลย 7 วัน ความรู้สึกเราตอนนั้น คิดว่าถ้ามันว่างเกิน 7 วัน หรือ หนึ่งเดือนหรือตอนนั้นเราคิดว่ายเราคอนโทรลอะไรไม่ได้เลยเหรอ คือ แค่ 7 วันเราสติแตกล่ะ ด้วยความที่เราเป็นคนที่กลัวการตกงานมาก แล้วเราก็ถอยออกมาคิดและได้คุยกับอาจารย์ยิ่งศักดิ์ อาจารย์ก็ถามเราว่าเราอยากเป็นอะไรในชีวิต เราบอกว่าเราชอบค้าขาย เราอยากเป็นนักการตลาด ตอนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนเลยว่าเราจะเลือกทิศทางของเราไปทางไหน เราก็ได้คำตอบว่าเราอยากมีชีวิตที่เราสามารถคอนโทรลได้ เราเลยมุ่งไปในสิ่งที่เราอยากทำคือ การเป็นนักการตลาด และก็เปลี่ยนชีวิตเป็นพนักงานประจำ ตอนนั้นก็เลยหยุดงานในวงการไปเลย เพราะเราไม่อยากเอาชีวิตของเราไปขึ้นอยู่กับคนอื่นแล้ว ว่าเขาจะจ้างเราไหมเพราะความสามารถของเราต่อให้มีเท่าไหร่แต่ถ้าเราไม่สามารถคอนโทรลได้ แค่เขาไม่ให้โอกาสเราคือจบ แต่ถ้าเราเป็นแม่ค้า นักการตลาด เราสามารถควบคุมสถานการณ์ชีวิตเราได้ เราเลยเลือกอันนี้
แล้วพอเราหันไปเป็นนักการตลาดเต็มตัว มีงานในวงการบันเทิงติดต่อไปไหม ??
เบคกี้ : ช่วงแรกมีค่ะ มีพอสมควรเลย แต่เราถอยกลับไปกลับมามันจะไม่ได้ดีสักอันเลย เพราะฉะนั้นในช่วง 10 ปีแรกเรามุ่งกับสิ่งที่เราโฟกัสเลยเพราะจุดมุ่งหมายของเราคือ ต้องเป็นลูกจ้างชั้นดีให้ได้ นั้นแปลว่าเราเริ่มต้นจากตำแหน่งธรรมดา แต่เราคิดว่าเราต้องขยับขึ้นไป เป้าหมายของเราคือ ผู้บริหารองค์กรที่เราอยู่ให้ได้ แล้ววันนี้เราก็เป็นผู้บริหารองค์กร อยู่ทั้งหมด 8 องค์กร
แต่ตอนแรกที่เริ่มทำงานก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
เบคกี้ : ไม่โรยเลยค่ะ เพราะทุกคนมองว่าเราเป็นดารานักแสดงใช้ชื่อเสียงมาอยู่ตรงนี้ แล้วคือเขามองว่าเราไม่เคยทำ แล้วตอนนั้นเข้าไปทำเสื้อผ้าผู้ชาย เขามองว่าเรามีความรู้อะไรรู้อะไรแค่ไหน จะทำได้จริงเหรอ โดนเสียบไปมาโดนลองภูมิเยอะ แต่เราก็ทำงานแบบเคียงบ่าเคียงไหล่ ทำงานกับลูกน้องเต็มร้อย คือ ตอนนั้น เรื่องงานเราไม่ค่อยห่วง เราห่วงคือเรื่องเงิน คือ เงินที่เราได้เป็นเงินเดือน 30 วัน เงินถึงเข้ากระเป๋า สมัยเป็นพิธีกรพูดเสร็จก็ตังค์มาพูดเสร็จก็ไม่นานก็ได้เงิน ตอนนั้นเราต้องเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต จนตอนนี้คือชินแล้ว 10 กว่าปีที่เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต
เคยมีไหมที่คิดว่าตัวเองตัดสินใจผิดหรือเปล่าที่ทิ้งวงการไป โดยเฉพาะทิ้งเงินไปเยอะมาก
เบคกี้ : ถ้าในช่วงแรกๆที่เราออกไปทำงานประจำ คือ รายได้ที่ได้รับคือ น้อยวกว่างานพิธีกรที่เรารับเยอะมาก แต่เราก็ยังมีแว่ปๆไปทำในช่วงเสาร์ อาทิตย์ นะ แต่ถ้า จันทร์ ถึง ศุกร์ คือเราให้เกียรติบริษัททำไม่ได้เพราะไม่งั้นเราจะไม่เป็นตัวอย่างที่ดี เพราะจะเป็นหัวหน้าคนได้เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี เราก็ต้องอดใจไว้ไม่รับ
เบคกี้ : จนกระทั่งเมื่อสักปีที่แล้ว พี่ฉอด ชวนมาเล่นละคร พอเราจัดการเวลาของเราได้เราก็มาเลย เพราะเราก็แอบคิดนะ พอมาเราก็รู้สึกว่าเราได้กลับมาเจอพี่น้องในวงการของเรา แบบถ่ายวันแรกมีความสุขมาก และตื่นเต้นมาเพราะว่าเรารู้สึกว่าผู้กำกับจะโอเคไหม แอคติ้งของเรายังอยู่หรือเปล่า เราเคาะสนิทได้หรือเปล่า เพราะวันแรกเราต้องเจอฉากแบบสองหน้า ด้วยความมที่เราเป็นพิธีกรมาอะไรมาแล้วเราใช้สติว่าฉากสองหน้ามันผ่าน แล้วพี่โอ๋ ผู้กำกับเขาบอกเราว่าทีเดียวรอดจำบทได้พอพ้นวันแรกก็สบายแล้ว ถามว่าพอกลับมาเล่นเรื่องแรกแล้วติดใจไหม ก็บอกมีคิดถึงอยู่นะเพราะพอเราได้กลับมาเจอเพื่อน พี่ น้อง มันไม่มีความเครียดไงตรงนั้นมันมีแต่เรื่องสนุกสนาน
รับละครแฮปปี้มีความสนุก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าต้องดูเป็นเรื่องๆไปเพราะว่าไม่กล้าลางานกับลูกน้อง
เบคกี้ : ใช่ค่ะ เกรงใจ เราจะเกรงใจลูกน้องเราก็พยายามดูว่า เราก็จะดูว่าพักร้องเราเหลือกี่วัน เราก็ต้องทำตามกติกาขององค์กร ทั้งๆที่เราไม่ต้องรูดบัตรแต่เราก็ต้องทำตามกติกา แต่โชคดีมากเลยกองชอบนัดหลังจากเลิกงานเรียบร้อยแล้ว เราดีใจมาก เรื่องที่ถ่ายไปเราลางานแค่ 3-4 วันเอง ทุกอย่างลงตัวเพื่อสิ่งนี้
ทำงานยังมีเวลาพักร้อน แต่สิ่งหนึ่งเลยในชีวิตที่ไม่สามารถลาได้ คือ ความเป็นแม่
เบคกี้ : เป็นแม่ 24 ชั่วโมงเลยค่ะ คือ โชคดีมากที่เราไปให้คุณหมอทำลูกให้เพราะทำเองไม่เป็นหมดไปเป็นล้าน แต่เราได้ลูกที่สมใจได้ลูกสาวมา 1 เราก็ตกลงกับลูกว่าเราจะไม่ได้เป็นแค่แม่ลูกกันนะเราจะเป็น BFF Best Friends Forever ลูกต้องเห็นแม่คือ เพื่อนอันดับหนึ่ง ทุกเรื่องต้องเล่าให้แม่ฟังก่อน แม่มีเรื่องอะไรกลุ้มใจ แม่จะบอกลูกก่อน ตกลงตั้งแต่ลูกเล็กๆเลยค่ะ เริ่มพูดรู้เรื่องเราก็ใส่ในสมองเขาไว้เลย เลี้ยงลูกให้เป็นเพื่อน
เบคกี้ : อย่างล่าสุดลูกสาวไปลงแข่งเต้นชิงแชมป์แห่งประเทศไทย 11 รายการ อันนี้เขาได้เป็น Black Swan เขาตั้งใจซ้อมมากและเขาก็พัฒนาตัวเอง ซ้อมหนักไม่เคยบ่น เราเป็นคนนั่งรอก็ต้องไม่บ่น เรามีหน้าที่ซัพพอร์ตเขาไป และอีกอย่างที่เขารักและชอบคือการเป็นนักเปียโน พอจบจากการแข่งเต้น เขาก็จะไปแข่งเปียโนต่อ เล่นกีตาร์ด้วยนะคะ เขาเป็นเด็กที่เอาเครื่องดนตรีอะไรใส่มือเขาก็สามารถเล่นได้เลย เขามีพรสวรรค์ เพราะได้สิ่งนี้มาจากคุณพ่อของเรา คุณพ่อของ เบคกี้ เขาเป็นคน ฟิลิปปินส์ พ่อเป็นคนที่ไม่ได้เรียนทางดนตรแต่สามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกอย่าง แต่คุณแม่เป็นแม่ค้าเราได้รับสิ่งนั้นมาจากแม่
เบคกี้ : ตอนนี้ น้องซาซ่า สิ้นปีนี้อายุ 13 ปีค่ะ สูง 165 ค่ะ น่าจะสูงขึ้นไปอีก ถามว่ามีแวววจะเข้าวงการไหม อันนี้ก็ได้ลิงเหมือนแม่นะ ซนเหมือนกัน เขาก็ไม่เคยคุยกับเรานะคะ ว่าจะเข้าวงการหรือเปล่า
แล้วลูกสาวรู้ไหมว่าเราเคยดังมาในอดีต
เบคกี้ : ไม่เคยค่ะ
ตอนนี้ชีวิตทุกอย่างคอนโทรลได้แล้ว แล้ววางไว้ไหมว่าชีวิตตอน เกษียณ วางไว้ยังไง เพื่อที่อาจจะเป็นตัวอย่างของหลายๆคนที่ได้ฟัง
เบคกี้ : ต้องวางแผนนะคะ คือ ตอนนี้เราไปเป็นโค้ชระดับอินเตอร์เนชั่นเนล เราไปเรียนครุศาสตร์ เราวางแผนไว้ว่าเผื่อสักวันเรา เกษียณ ความรู้ประสบการณ์ และ สิ่งต่างๆที่เราเอามาเติมในช่วงนี้ เราน่าจะเป้นผู้หนึ่งที่เดินทางไปบรรยากาศตามที่ต่างๆได้ ทุกวันนี้ เราได้ไปสอนตั้งหลายที่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหลัง เกษียณ บรรยายสัก 4-5 งาน เราก็แฮปปี้ เราก็วาวแผนไว้ว่าวันหนึ่งเราจะได้เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ เป็นนักการศึกษาอันนี้ คือ แผนที่เราวางไว้หลัง เกษียณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี