เปิดใจทุกเรื่องราวเพราะอุ่นใจที่จะเล่าที่นี่ สำหรับคุณแม่คนสวยตลอดกาล แอน สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ ที่ควงลูกสาวนนนี่ นนลนีย์ โอแกน มานั่งพูดคุยในฐานะแขกรับเชิญคนพิเศษใน Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 ซึ่งทั้งคู่ก็ได้เล่าเรื่องชีวิตพร้อมกับเคลียร์ทุกปัญหาที่ฝ่าฟันความเจ็บปวดที่ต่างคนต่างได้รับอย่างแสนสาหัส ทั้งเรื่องที่ นนนี่ ลูกสาวโดยเปรียบเทียบไม่สวยเท่าคุณแม่จนต้องไปอยู่ต่างประเทศ แม่แอน ที่เคยยอมทิ้งวงการเพื่อไปดูแลลูก เหตุผลที่ นนนี่ ต้องเลิกกับแฟน และความรักที่คู่แม่ลูกคู่นี้ที่มีให้กัน เรียกว่าลึกซึ้งเพราะความสุขมากกว่าเพราะเป็นสิ่งที่โหยหามาทั้งชีวิต
ถาม สิ่งหนึ่งที่เราไม่อยากอยู่เมืองไทยเพราะโดนเอาไปเปรียบเทียบแม่ตลอดเวลาแต่พอไปอยู่ที่โน้นกระแสลดลงไหม
นนนี่ : ไม่ค่ะเพราะ Instagram ของหนูตอนอยู่ที่โน้นเปิดเป็น private มันไม่มีการเข้ามาดูได้อยู่แล้ว แต่ว่าเขาเอาไปลงเป็นข่าว หรือตามเว็บอะไรเราก็จะไม่เข้าไปดูเพราะมันก็ไม่มีผลอะไรกับชีวิตเราแล้วเราอยู่เมืองนอกแล้ว แต่ก็มีคนที่คอมเมนต์มาเรื่อยเรื่อยแต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาของชีวิตเพราะคนที่คอมเมนต์เค้าสวยสู้เราได้หรือเปล่าเถอะ (หัวเราะ) เราก็คิดอะไรให้เป็น positive กับชีวิตของตัวเองเพื่อไม่ให้เราดาวน์ เพราะเราเปลี่ยนอะไรคนไม่ได้อยู่แล้ว
ถาม การที่มีแม่เป็นดารารู้สึกไหม ว่าเป็นแรงกดดันให้ลูกเบาๆตลอด
คุณแม่แอน : ก็รู้สึกค่ะ รู้สึกตลอดรู้สึกแบบคือเวลาอยู่ที่โน้นกับเขา แล้วเราถ่ายรูปด้วยกันเวลาแอนโพสต์นนนี่เขาก็จะมาบ่นแม่โพสต์รูปหนูอีกแล้ว เดี๋ยวก็มีคอมเมนต์มาอีกหนูไม่อยากถ่ายรูปกับแม่เมื่อสมัยก่อนนะคะ เวลาเราถ่ายรูปเขาลง ใน Instagram ของแอนไม่ค่อยมีคอมเมนต์อะไร แต่พอเขาเอารูป นนนี่ ที่เราลงไปลงข่าวคนก็เข้าไปคอมเมนต์ตรงนั้น ไม่ดีอ้วนอะไรแบบนี้ เราก็เตือนเขาว่าอย่ากินเยอะก็ไม่เชื่อ (หัวเราะ)
นนนี่ : ก็มันเป็นความสุขของหนู และอีกอย่างหนึ่งคือ ชอบมีข่าวว่าหนูท้องมาตั้งแต่ที่อายุ 13-14-15 คือ งงมากจริงๆคือได้ยินว่าท้องมาตลอด คือเห็นว่าหนูมีพุงก็ว้าหนูท้อง
ถาม แล้วเราเคยอธิบายไหม
นนนี่ : เคยออกมาพูดครั้งหนึ่ง แล้วเราก็ไม่ได้อธิบายเลยเพราะเราไม่ได้ใส่ใจ
คุณแม่แอน : แต่เราก็รู้สึกโกรธปุ๊บก็ไม่อยากจะพูดอะไรแล้วในยุคนั้น เป็นยุคที่แอนสับสนนะคะ เพราะถ้าเป็นในยุคนี้คือถ้าใครมีข่าวไม่ดีก็จะจัดโต๊ะแถลงข่าวเลยแต่ในยุคของแอนคือมันเป็นช่วงที่ก้ำกึ่งแล้วแอนเป็นคนที่ส่วนตัวมาตลอดไม่รู้ว่าถ้าพูดไปจากคนที่ไม่สนใจอะไรจะยิ่งไปกันใหญ่หรือเปล่าเราก็เลยตัดสินใจเองว่าอยู่ของเราเงียบๆไปดีกว่า นนนี่ เขาก็เลยรู้สึกว่าเบื่อที่นี่ไม่อยากอยู่แล้ว
นนนี่ : เพราะอ้วนก็บอกว่าท้องพอผอมก็บอกว่าแท้งแล้ว คือถ้าเขาเชื่ออะไรไปแล้ว ถึงเราบอกความจริงยังไง เขาก็จะเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ
คุณแม่แอน : แต่เป็นข่าวที่แรงมากสำหรับเรา ณ วันนั้นเรารู้สึกแต่ก็ต้องพยายามเก็บความเจ็บปวด เก็บความเจ็บใจอันนั้นไว้ข้างใน ซึ่งใครเขาจะคิดอะไรก็ปล่อยเขาไปเราก็ให้อภัยเขา อย่างเรื่องของเราก็มีทั้งกอสซิบทั้งนินทาไม่รู้จะทำยังไงไปเปลี่ยนเขาไม่ได้จะร้องไห้ไปก็เท่านั้น ก็มีมาบ่นกับเขาแทนว่าทำไมไม่ทำให้ดีๆจะได้สดใส เราก็พูดกับเขาตลอดจนเขาไม่อยากพูดกับเราแล้ว อะไรที่แม่บอกคือเขาไม่อยากทำ
ถาม ในความเป็นเด็กวัยรุ่นแน่นอนเริ่มต้นของการมีความรัก เริ่มต้นอกหักตอนนั้นปรึกษาคุณแม่ไหมค่ะ
นนนี่ : ไม่คุย ไม่พูดเลยค่ะ เรารับมือเองหมดเราไม่ได้ประชดด้วยนะคะ (แต่เพราะเราไม่อยากพูดด้วยค่ะ)
นนนี่ : เรารู้สึกว่าแม่ไม่มีเวลามาฟังหรอก แต่เราไม่ได้มีความตั้งใจทำให้คุณแม่เจ็บปวดนะคะ เราอยู่ของเราได้ เพราะถ้าเป็นเรื่องความรักเรารู้สึกว่าเราอายเราไม่กล้าพูดกับที่บ้าน
ถาม แต่ในหลายๆสิ่งที่ นนนี่ ทำทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัวหลายๆเรื่องมีผลต่อคุณแม่เยอะมาก ครั้งที่แล้วอย่างคุณแม่แอน มานั่งอยู่ในรายการนี้ได้พูดถึงเหตุผลที่ช่วงหนึ่งทิ้งเมืองไทยไปเลยไปอยู่ที่ต่างประเทศเหตุผลก็คือ จากประโยค ไม่กี่ประโยคของ นนนี่
คุณแม่แอน : ตอนนั้นคือ วางทุกอย่างแล้วก็ไปอยู่ที่ต่างประเทศเพื่อเขาเลย เพราะเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรจะทำไปเลยให้ดี
นนนี่ : เราก็ไม่ได้ตกใจที่คุณแม่ไป เพราะตอนนั้นเราก็อยู่โรงเรียนประจำแล้วเราก็จะไปหาเขาได้แค่แบบ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์เย็นก็กลับ แต่บางทีเราก็ไม่ได้ไปหาเขาเพราะแบบเราอยู่โรงเรียนเราสนุก แต่คุณแม่เขามาหาเราเอง
คุณแม่แอน : เพราะเขาก็บ่นว่าเขาเหนื่อยนะ เขาต้องนั่งรถไฟมาแล้วก็ต้องนั่งรถไฟกลับไปเรียนอีกตั้ง 2 ชั่วโมง
ถาม แล้ว นนนี่ มาเข้าใจตอนไหนว่าคุณแม่งานเยอะจริงๆ
นนนี่ : มาเข้าใจช่วง 2-3 ปีหลังเพราะเห็นแม่ทำงานทุกวันจริงๆ แล้วพอตอนนี้เรามาเป็นผู้จัดการให้คุณแม่ พอเห็นงานเขาแล้วเรารู้สึกว่าทำไมเก่งจัง ไม่หยุดเลย ทำงานทุกวัน เพราะเราจะถามคุณแม่ก่อน ในทุกงานที่รับว่าจะรับวันไหน วันนี้ไหม ยังไง ก็พยายามรับงานที่ไม่เหนื่อยมาก แม่ ก็จะบอกว่าไม่ๆแม่งก แม่ จะเอาทุกงานแต่ความสัมพันธ์ก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นมาตามเวลาเหมือนกัน เพราะตอนเด็กๆก็ดูเหมือนไม่เข้าใจต่างๆนานา แต่พอโตขึ้นด้วยการที่ได้เห็นกันมาเรื่อยๆเลยทำให้เข้าใจ
ถาม แต่ก็มีอีกความสัมพันธ์ นนนี่ แต่งงานแล้ว
นนนี่ : ใช่ค่ะ แต่งงานเลย เราเจอกันเขาเหมือนเรียนใกล้จบแล้วเป็นปีสุดท้าย เราก็ไปเที่ยวกับเพื่อนไปทานข้าวกัน แล้วเขาก็เป็นเพื่อนของเพื่อนเขาก็เดินเข้ามาทักก็มาคุยกัน พอได้คุยก็ถูกใจ ก็ตกลงลองคบกันดู พอเราคบกันได้ 1 ปี (แต่เราอยู่ที่โน้น จะไม่เหมือนเมืองไทย ชีวิตประจำวันของเราคือ ทำงาน เรียน กลับบ้าน วนอยู่แค่นี้) แล้วพอมีแฟนก็ทำอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้มีสังคม
คุณแม่แอน : ตอนที่เขามาบอกว่าจะแต่งงานเราก็อึ้งๆไปเราก็ถามเขาว่าก็คิดดีแล้วเหรอ เราก็ตกใจนะคะ เราก็ปรึกษาสามีว่าเขามีความคิดเห็นว่ายังไง เขาก็บอกว่าจะคุยกับลูกอีกครั้งหนึ่ง เพราะลูกตอบกับเธอกับฉันอาจจะไม่เหมือนกัน หลังจากนั้นเราได้คำตอบที่ยืนยันแน่นอนเราก็ปรึกษากันว่าเราไปห้ามก็ไม่มีประโยชน์ เขาก็แต่งงาน
ถาม ในที่สุด นนนี่ ก็แต่งงาน แต่พอมีโควิด เกิดขึ้นนี่คือ จุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับ นนนี่ กับ สามี ไหม
นนนี่ : ใช่ค่ะ จริงๆคือตอนแรกที่เราตัดสินใจจะแต่งงานเพราะเราตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่โน้นวางแพลนทุกอย่างแล้ว เราจะเก็บเงินซื้อบ้านนะ พอเราเรียนจบรับปริญญาเรียบร้อยเราจะไปเที่ยวกัน กลับมาก็จะหางานประจำทำที่ไม่ใช่งานในร้านอาหาร แต่พอต้องกลับมาเมืองไทย เราก็โอเคกลับมา มันก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ต้องยอมรับว่ามันเปลี่ยนแปลงจริงๆในหลายๆอย่าง แต่ค่าใช้จ่ายที่โน้นเราก็ต้องรับผิดชอบอยู่เหมือนกัน เพราะที่เรากลับมาเพราะเราคิดว่าที่โน้น 3-4 เดือน โควิดคงหายแล้วคิดว่ากลับมาไม่นาน ซึ่งเขาก็กลับมาด้วยนะคะ พอเหมือนมีช่วงหนึ่งที่ อังกฤษ เขาเปิดประเทศแต่เราก็ตัดสินใจว่ายังไม่กลับแล้วกันให้เขากลับไปก่อน พอเขากลับไปก็เริ่มห่างกัน แล้วชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่โน้นไปแล้ว แต่เราอยู่เมืองไทยเราได้เจอคนมากขึ้น อยู่กับคุณแม่ ก็ไม่อยากกลับแล้ว เพราะความห่างไกลมันเลยทำให้เราเลิกกันไปโดยปริยาย เพราะเวลาที่โน้นกับบ้านเราห่างกัน 6 ชั่วโมง แล้วเราก็ไม่ได้มานั่งรอตีสี่ ตีห้าเพื่อคุยโทรศัพท์อยู่แล้ว เพราะเราก็ต้องตื่นเช้า มีกิจกรรมกับคุณแม่ แล้วพอไม่ได้คุยกันก็ห่างกัน แล้วพอเขาทำงานเขาก็ไม่ได้แมสเสจมาเลย เราก็ตกลงคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวนะคะ ว่าเลิกกันช่วงสิ้นปีเพราะว่าแบบเราก็บอกเขาว่าคงไม่ได้กลับไปเร็วๆนี้ ถามว่าเสียใจไหม ไม่ได้เสียใจขนาดนั้น เพราะว่าเราเลิกกันแต่เราได้กลับมาอยู่กับแม่หนูว่ามันคุ้มเพราะว่าเราได้ความรักที่เราไม่ได้เห็นมาตั้งแต่เด็กกลับมา เราก็มีความสุขมากกว่า
ถาม พี่แอน กับการที่เราใช้ชีวิตที่ผ่านมามีระยะกับลูกแม่ทุกคนรักลูกอยู่แล้ว แต่วันหนึ่งลูกกลับมาแล้วอยู่ใกล้ขนาดนี้แล้วเป็น ผู้จัดการด้วย เรารู้สึกแฮปปี้จังเลย หรือ มีการต้องปรับตัวยังไงไหม
คุณแม่แอน : มีบ้างนิดหน่อยช่วงแรกๆอาจจะทำงานไม่ได้ดั่งใจเรื่องของเอกสาร หรือ อะไรเพราะว่านนนี่ เป็นคนทำงานเร็ว ทำงานคล่อง แต่ไม่ละเอียด แต่จริงๆเราก็เครียดนะคะ ถามลึกๆเรามีความสุขไหม แอน มีความสุขมากเพราะว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตระหว่างแม่ลูกที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้ทำงานด้วยกัน แอน คิดว่า แอน ปรับตัวแล้ว นนนี่ ก็ปรับตัวเช่นเดียวกัน แต่ในความสุขนั้นเราก็มีความกังวลใจอยู่เพราะความที่เราเป็นแม่ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวในชีวิตที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะของลูกก็เหมือนแก้วตาดวงใจของแม่ เมื่อเราเห็นเหตุการณ์หรือว่าอะไรที่มันเกิดขึ้นมันย่อมกระทบกับเรามากกว่าเพราะเราเป็นแม่ เราก็จะต้องทำตัวให้เข้มแข็งประคับประคองทุกอย่างให้มันผ่านไปได้ อย่างพอเขาแยกทางเราก็เป็นห่วงเขาจริงๆมันก็หนักแต่เขาเหมือนแบบพยายามแข็งแรงแต่บางทีบางช่วงเขาก็เป็นคนที่เซนซิทีฟ
นนนี่ : ก่อนที่จะกลับมาเมืองไทย ความสัมพันธ์ระหว่างหนูกับแฟนคือ ดีมาก ปกติมาก เพิ่งไปเที่ยวด้วยกันมา คือ หนูมีความรู้สึกว่าถ้าเรายังคบกันไปแบบนี้ต่างฝ่ายถ้าใครคนใดไม่มีความสุข มันก็จะทำให้ทุกอย่างไม่มีความสุข ก็อย่าฝืนดีกว่า เพราะว่าหนูก็เต็มที่มากๆแล้วเพราะเราก็คุยกันตรงลงความเห็นร่วมกันว่าพอเท่านี้คิดว่าดีทั้งสองฝ่ายคิดว่าเขาก็ได้ใช้ชีวิตที่โน้น เราก็อยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ฝืนไปมันก็ไม่ดีทั้งสองฝ่าย
ถาม ในวันนี้ มาอยู่ตรงนี้ใน Club Friday Show เป็นวันที่ความสุขทุกอย่างกลับมา มานั่งอยู่ตรงนี้แล้วมีอะไรอยากบอกซึ่งกันและกันบ้าง
คุณแม่แอน : อยากจะขอบคุณ คือ จริงๆแล้วแอน กับ ลูกเป็นความรักที่เราไม่ค่อยได้บอกกันทุกวัน แต่จริงๆแล้วเขาเป็นแก้วตาดวงใจของแอนเลย (คุณแม่แอน. กอดลูกสาว) รักเขามากที่สุด ก็จะเป็นกำลังใจให้เขาทำอะไรก็อยากให้มีสติดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง
นนนี่ : แม่ก็รู้ว่าหนูรักแม่ที่สุด และ สัญญาว่าจะเป็นเด็กดีของแม่ จะไม่ทำให้แม่เครียด จะทำให้แม่มีความสุขที่สุด (นนนี่หอมแก้มคุณแม่แอน)
ถาม ช่วงนี้น่าจะเรียกว่าเป็นช่วงที่ใกล้ชิดมากที่สุดในชีวิตนี้
คุณแม่แอน : ใกล้ชิดที่สุดแล้วค่ะ (น้ำตาคลอ) แต่เราก็ยังมีสิ่งที่ห่วงเขาเพราะว่าลูกก็ยังเป็นลูกวันยันค่ำ แล้วก็คือ บางทีความรวดเร็วในการตัดสินใจอยากให้เขามีสติและค่อยๆพิจารณา
นนนี่ : เพราะเราเป็นคนใจร้อน (รู้ตัวเองเลยค่ะ)
ถาม มานั่งตรงนี้แล้ว นนนี่ มีคำปรึกษากับพี่อ้อยพี่ฉอดด้วย
นนนี่ : อยากให้แนะนำมากกว่าค่ะ คือในอนาคตเราจะดำเนินต่อไปยังไงให้มีข้อคิดในการใช้ชีวิตเพราะหนูไม่มีปัญหาเรื่องความรัก
พี่อ้อย : นนนี่ รู้สึกไหมที่เรานั่งคุยกันหลายสิ่งหลายอย่างหนูได้จากในชีวิตจริง ชีวิตจริงของ นนนี่ สอนแต่ละอย่างๆ พี่อ้อย ว่าในชีวิตเรามีตำราสอนเราอยู่แล้ว และมีตำราความรักเพิ่มมาอีกเล่มหนึ่งสอนจากคนที่เรารักแล้วมันก็เป็นตำราที่บ่มเพาะเราไปเรื่อยๆเพราะไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไงหนูมีตำราอยู่ในมือและวันนี้สิ่งที่ทำให้เห็นได้อย่างหนึ่งคือ คุณแม่บอกว่าหนูเป็นคนใจร้อนแต่วันนี้หนูอยู่ใกล้คุณแม่ พี่อ้อย ว่าหนูจะมีสติมากขึ้นเพราะหนูอาจจะคิดว่าเมื่อก่อนชีวิตเราคนเดียว เราสามารถตัดสินใจเองเรารับผิดชอบได้ แต่พอเราได้มาอยู่ใกล้ๆคุณแม่เราจะรู้สึกว่าแม่จะคิดยังไง แม่โอเคไหม วันนี้ แม่คือสติอีกสิ่งหนึ่งอยู่แล้ว และเมื่อวันหนึ่งหนูรักตัวเองมากพอ รักคุณแม่มากพอ มันจะเป็นเกราะป้องกันให้คุณแม่อีกชั้นหนึ่ง จะมีเบรกในชีวิต
พี่ฉอด : ที่หนูถามว่าหนูต้องมีวิธีคิดยังไง รู้ไหมสิ่งที่หนูคิดวันนี้ ที่หนูเล่ามาในรายการทั้งหมด หนูคิดดีแล้ว แม้แต่คุณแม่เอง เป็นแม่ลูกกันแม่ยังต้องเรียนรู้วิธีของลูกเลยว่าจริงๆฉันดราม่ามากเกินไปหรือเปล่า พอไม่ดราม่ามันก็มีความสุขทันทีเลย งั้นทุกคนที่ได้นั่งฟังกันอยู่ตอนนี้ ก็ได้ความคิดในแต่ละแบบที่ไม่มีคำว่าถูกผิดหรอก อยู่ที่ว่าเราจะใช้วิธีคิดของเรายังไงที่ทำให้เราใช้ชีวิตในโลกใบนี้ยังไง ทำให้มีความสุขที่สุด และที่นนนี่ พูดว่า หนูไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อนพี่ว่าอันนี้สำคัญที่สุด เราไม่ได้มีความสุขบนความทุกข์ของใคร
สามารถชมคลิป ย้อนหลัง ได้ในรายการ CLUB FRIDAY SHOW ผลิตโดย CHANGE2561 ทางยูทูป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี