ชีวิตในวงการบันเทิงเป็นเหมือนวัฐจักร เมื่อสูงสุดก็ย่อมกลับคืนสู่สามัญ ตามแต่วาระโอกาส ขึ้นอยู่กับชะตาเส้นทางชีวิตของแต่ละคน สตาร์เรโทร ครั้งนี้ ได้เปิดใจสัมภาษณ์ “จอย” พวงเพชร จินปิ่นเพชร (ห้าวหาญ) ภรรยาพร้อมตำแหน่งคุณแม่ลูกสองของ “โก้” นฤเบศร์ จินปิ่นเพ็ชร ที่เล่าถึงความหลังช่วงชีวิตในวงการบันเทิงที่ผ่านมาทั้งงานแสดง งานร้องเพลง ก่อนที่จะผันตัวเองสู่อาสาสมัครในมูลนิธิร่วมกตัญญู พร้อมเผยทุกวันนี้ชีวิตมีความสุขยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ทุกสิ่งมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงไม่ยึดติดกับสิ่งที่ได้มา แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
เริ่มต้นเข้าวงการ
“พี่เริ่มต้นเข้าวงการตอนอายุราว 15-16 ปี เริ่มจากเพื่อน ๆ ของพี่ “จิ๋ม โมเดลลิ่ง” ที่ตอนนั้นดังมาก มาเจอพี่แล้วเขาชอบเลยให้พี่เอารูปถ่ายไปฝากไว้หลังจากนั้นพี่เลยได้เข้ามาในสังกัด โดยเริ่มจากการถ่ายงานโฆษณาส่วนใหญ่จะเป็นพวกขนม หมากฝรั่ง กล้องโกดักส์ สินค้าพวกวัยรุ่นอาจเพราะหน้าเราดูเด็ก ๆ แล้วเข้ากับคาแร็กเตอร์ด้วย”
ได้เป็นมิสมอเตอร์โชว์
“ตอนนั้นได้งานของมอเตอร์โชว์น่าจะเป็นสมัยที่ 2 หรือ 3 นี่แหละค่ะที่สวนอัมพร พี่จอยไปเป็นพิธีกรรับเชิญไปทั้งหมด 9 วัน ที่บู๊ทยามาฮ่า สมัยก่อนเขาจะมีการประกวดแต่จะไม่เหมือนกับตอนนี้นะ ซึ่งเขาจะให้สื่อมวลชนเดินไปตามบู๊ท แล้วลงคะแนนให้กับคนที่เข้าตากรรมการ ซึ่งพี่ก็ไม่คิดว่าเราจะเข้าตากรรมการไปกับเขาเหมือนกันเพราะเราตัวเตี้ย ๆ เล็ก ๆ ไม่สูง แต่ปรากฏว่าพี่ได้รางวัลขวัญใจสื่อมวลชน ยุคนั้นจะไม่ได้เซ็กซี่เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ มูลค่าของเงินก็ไม่ได้มากมายอะไรนะคะ แต่ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดีที่เราได้ร่วมสนุกกัน เราได้รางวัลเป็น สายสะพาย มงกุฎไม่มีนะคะสมัยนั้น โทรทัศน์สี 14 นิ้ว 1 เครื่อง เราดีใจมากค่ะ เรื่องนี้ยังไม่เคยบอกกับเล่มไหนเลยนะ (หัวเราะ)”
งานด้านการแสดง
“พี่เริ่มจากการถ่ายภาพยนตร์เรื่อง “ยุทธการเด็ดดอกฟ้า” เป็นหนังวัยรุ่นเด็กนักศึกษาที่ทำกิจกรรมร่วมกัน ตอนนั้น ปราโมทย์ แสงศร เป็นพระเอก หนังเรื่องนี้จะสนุก ๆ เบาสมอง หลังจากนั้น ผู้จัดละครพี่ “ไก่” วรายุทธ มิลินทจินดา ช่อง 3 ได้ชวนให้เรามาแสดงละครเรื่องแรก “ปราสาทมืด” ยุคนั้น พี่วิลลี่ แมคอินทอช เป็นพระเอก พี่หมิว ลลิตา เป็นนางเอก ส่วนพี่จะเล่นเป็นน้องสาวฝาแฝดของพระเอก ทั้ง 2 คน คือ “แจ๋ว” และ “พิมพ์ทิพย์” ซึ่งจะต้องนั่งบนวิวแชร์เป็นคนพิการ พี่จะคู่กับพี่วินัย ไกรบุตร หลังจากนั้นก็มาเป็นละครของพี่ นพพร วาทิน ค่ายไฟว์สตาร์ เรื่อง “ตัวเก็งเต็งหนึ่ง” พระนาง 3 คู่เหมือนกันมี พี่คู่กับ เขตต์ ฐานทัพ ส่วนเรื่อง “เด็กในดวงดาว” เล่นกับ “อ๊อฟ” อภิชาติ พัวพิมล แล้วหลังจากนั้นมามีละครเรื่อยๆ ช่อง 3 - 5 7 บ้าง เพราะว่าพี่ไม่ได้มีสังกัดอะไรค่ะ ซึ่งงานด้านการแสดงตั้งแต่เรื่องแรกทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น”
เริ่มต้นเข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่ง
“จริง ๆ เรื่องงานเพลงเราชอบอยู่แล้วนะแต่ไม่เคยได้ไปเรียน ตอนนั้นมีหลายค่ายเรียกเข้าไปคุยตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็น คีตาฯ , อาร์เอสฯ แต่พี่ตัดสินใจเลือก มีเดียออฟมีเดีย ของคุณ ยุวดี และคุณโฆษิต พี่อยู่ในส่วนของ “เอ็มสตาร์” เป็นเพลงลูกทุ่ง ตอนนั้นจะมี “กิ่ง” สุพัตตรา ทิวานนท์ เป็นศิลปินเบอร์แรก พี่เป็นเบอร์สองออกเทปชุด “ท้าดวลชวนดิ้น” เป็นแนวเพลงลุกทุ่งสตริง หลังจากนั้นเป็นอัลบั้ม “โกเดนท์เรคคอร์ด” มีศิลปินหลายคนในอัลบั้มชุดนี้พี่จะร้องเพลง “กระแซะ” กับ “ผู้ชายในฝัน” ซึ่งพี่ต้องขอขอบคุณทั้งคู่ร่วมทั้ง “พี่จี๊ด” สุนทร สุจริตฉันท์ ที่เป็นโปรดิวเซอร์ และ พี่วิทยา ศุภพรโอภาส ที่ให้โอกาส หลังจากนั้นไปร้องกับ “จ่าหรอย เฮนรี่” เป็นลูกทุ่งเพื่อชีวิต ซึ่งงานเพลงกระแสถือว่ากลาง ๆ นะแต่งานเพลงเดี่ยวชุดแรกของพี่กระแสจะดีกว่าคนรู้จักมากกว่า พอหลังจากนั้นมาปุ๊ปก็กลายเป็นว่าคนติดภาพว่าเป็นนักร้อง เพราะช่วงนั้นจะไปเน้นเรื่องของงานร้องเพลงเดินสายตามจังหวัดต่าง ๆ เสียส่วนใหญ่”
ความชอบระหว่าง “ร้องเพลง” กับ “แสดง”
“ชอบหมดเลย พี่ไม่ได้เป็นคนโลภนะแต่เป็นชอบทำงานอะไรก็ได้ที่เป็นงาน ไม่ว่าจะเป็นงานเพลง ละคร หรือแม้กระทั่งทำกับข้าว เราชอบหมด พี่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ไม่ชอบอยู่เฉยๆ เราสนุกกับการทำงาน ดังนั้นงานทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเราไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่เราจะรู้สึกว่าทำแล้วแฮปปี้ ทำแล้วเรามีความสุข ได้ทำแล้วอยากให้มันออกมาดีแค่นั้นเอง ณ ตอนนั้น”
สาเหตุที่หายจากวงการ
“จริง ๆ ไม่ถือว่าเฟสตัวหรือหายไปจากวงการดีกว่าค่ะ แต่ว่าคืออย่างที่บอกพอมาทำเพลงแล้วทุกอย่าง ทุกคนก็มาติดภาพกับเพลง คือสมัยก่อนทำอะไรคนก็จะติดภาพอย่างนั้น จะเพลงก็เพลงไปเลย แล้วเรื่องคิวงานเพลงที่ต้องไปคอนเสิร์ต กับคิวงานละครมันไม่ลงตัวด้วย ตอนนั้นต้องไปทัวร์คอนเสิร์ต เลยไม่มีเวลาในเรื่องการถ่ายละครกับหนัง ทางผู้จัดก็เลยเข้าใจว่าเราไม่รับงานแล้วหรือยังไงตรงนี้ สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการที่พี่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือ แล้วไม่เคยได้แจ้งใครนอกจากคนใกล้ตัว แต่พอหลังจากที่เดินสายทัวร์คอนเสิร์ตพี่ได้มาทำงานมูลนิธิร่วมกตัญญู ตั้งแต่ปีพ.ศ.2535 เลยวุ่นกับงานด้านนี้ มีคนมาเล่าให้ฟังว่าพอหลังจากที่ติดต่อพี่จอยกับพี่โก้ไม่ได้ เขาเลยติดต่อคนอื่น ซึ่งเราก็โอเคไม่เป็นไร”
งานด้านอาสาสมัครในมูลนิธิร่วมกตัญญู
“ทำมานานแล้วค่ะ คือเริ่มแรก พี่โก้ นฤเบศร์ นำทีมก่อนเลย ตอนแรกเขาทำงานแล้วไปเจอคนที่ประสบอุบัติเหตุเลยอยากช่วย แต่ถ้าเราไม่รู้หลัก แล้วไปช่วยเหลือบางครั้งอาจมีความผิดติดตัวเรามาก็ได้ จากที่เราหวังดีอาจก็กลายเป็นส่งผลร้ายกับเรา ดังนั้นพี่โก้เลยมองว่าจะทำยังไงที่จะช่วยสังคมเขาเลยเข้าไปสมัครที่ มูลนิธิร่วมกตัญญู ช่วงนั้นปี 2535 หลังจากตอนนั้นพี่กับพี่โก้เลยมุ่งหันไปช่วยเหลือสังคม ทำกันแค่สองคน เกิดเหตุที่ไหนส่งวอบอกก็เข้าไปช่วย ตรงไหนเราเข้าไปก่อนเราช่วยก่อน พอถึงเวรของเจ้าหน้าที่คนอื่นเขามาถึงที่แล้ว เราจะส่งมอบงานให้เขา มันไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีโซเชียลเน็ตเวิร์ก พอเกิดอะไรก็ถ่ายภาพบอกไป พี่เลยติดทุกวันนี้เวลาเราทำบุญจะไม่บอกใคร เราเก็บภาพประทับใจไว้ในความรู้สึกของเราดีกว่า ทีนี้พอพี่มาทำมูลนิธิฯ เลยวุ่นอยู่กับงานตรงนี้ ช่วยเท่าที่เราจะทำได้”
สิ่งที่ได้จากวงการบันเทิง
“ต้องบอกตรงนี้ว่าพี่รักงานในวงการบันเทิง แต่พี่ก็ไม่ได้ยึดติดกับงานในวงการบันเทิง อะไรก็ได้ที่เป็นงานพี่จะทำดีที่สุดนะคะ เพราะทุกงานมันท้าทายความสามารถเรา พี่ไม่เคยมานั่งคิดว่าเราไม่มีงานแล้วเรานอยด์ เราโชคดีที่คุณแม่พี่โก้เขาสอนพี่โก้มาดีมาก เขาสอนว่าบ้านนี้ลูกหลานเขาทุกคนจะเป็นคนที่เดินสายกลาง ไม่ให้ยึดติดกับอะไร ดังนั้นพี่โก้เขาเนี่ยะจะสูงสุดคืนสูงสามัญ ให้เขาสูงสุดแค่ไหนเขาก็ทำตัวสามัญของเขาอย่างนี้อยู่แล้วเราเลยไม่รู้สึกกระทบกระเทือนอะไร แล้วบวกกับพี่เอง แม่พี่ก็เป็นคนธรรมมะ ธรรมโม พี่เองถูกปลูกฝังอย่างนี้มาอยู่แล้ว มันเป็นวัฏจักรค่ะ เป็นเรื่องธรรมดามากอย่าไปคิดอะไรมากคิดแล้วคุณทุกข์ เรารู้แต่ว่าเราขอบคุณสิ่งที่เราได้รับ ให้เราได้สัมผัสให้เราเจอะเจอสิ่งต่าง ๆ ซึ่งงานด้านบันเทิงให้ดอกาสที่ดีกบพี่ ได้เพื่อน ได้งาน ได้พักผ่อน ได้เงินด้วย แต่เมื่อปัจจุบันเรามีความสุขกับตรงนี้แล้ว เราก็ไม่ควรที่จะไปยึดติดอะไรกับตรงนั้นมาก เราต้องเป็นตัวเรา งานอะไรเข้ามาหาเราอีก เราก็จะทำให้ดีที่สุด นี่คือความคิดของพี่กับพี่โก้ พี่ทำงานในวงการบันเทิงพี่รู้สึกว่าพี่โชคดีที่มีโอกาสได้มาสัมผัสสิ่งที่ดีๆตรงนี้ แต่ในเมื่อพี่สัมผัสแล้วพี่กลับบ้านพี่ก็เป็นคนเดิม พี่มีความรู้สึกว่าคุณค่าของเราไม่ได้อยู่ที่วัตถุนะ คุณค่าของเราอยู่ที่จิตใจ กับการกระทำ อย่างพี่โก้ดังมากแค่ไหนเขาก็ยังใช้รถของเขาปกติ เขาเป็นคนที่รู้จักการใช้เงิน พี่กับพี่โก้ไม่ทำอะไรที่ฟุ่มเฟือย เขาไม่เล่นการพนัน รักครอบครัว เป็นผู้นำที่ดี ให้แต่ความรู้สึกดี ๆ กับเรา เราถือว่าเป็นคนที่โชคดีมาก ตรงนี้แหละที่พี่พูดได้เลยว่าพี่ถูกรางวัลที่หนึ่งแล้ว”
อัพเดทงานปัจจุบัน
“ตอนนี้หลัก ๆ ทำที่ บริษัท เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เป็นพีอาร์พิเศษให้กับคอนเสิร์ต ทีวี 3 สัญจรเพาเวอร์ทีม แล้วเปิดธุรกิจส่วนตัว เกี่ยวกับครีมบำรุงผิว ชื่อแบรนด์ TAJ บาย ธนพร สำหรับคนที่ค่อนข้างผิวแพ้ง่ายมากๆ นอกจากนี้พี่ยังไปร่วมทำกิจกรรมส่งเสริมการขายของตลาดนัดมาลีนนท์ ทุกต้นเดือนวันพฤหัสบดี ที่ตึกมาลีนนท์ และมีของว่างติ่มซ่ำ ด้วย สำหรับผู้สนใจเรื่องผลิตภัณฑ์สามารถ โทรมาปรึกษากับพี่จอยได้ ที่ 089-448-9569 อีกเบอร์ของพี่โก้ 080-444-6936 ค่ะ งสินค้าของเรามี อย. และใบทะเบียนการค้ารับรองด้วย ไม่อันตรายแน่นอน”
ฝากถึงแฟนที่เคยติดตามผลงาน
“ขอขอบคุณทุก ๆ นะคะ ไม่ว่าจะตั้งแต่ที่พี่จอยเริ่มเล่นหนัง เล่นละคร ทำเพลงมาเรามีแฟน ๆ ที่น่ารักคอยติดตาม ถามไถ่ แม้กระทั่งว่าเราแต่งงานมีลูกแล้ว สำหรับตอนนี้ใครที่อยากคุยกับเราสามารถแอดเฟสบุ๊คของเราได้ที่ “นฤเบศร์ พวงเพชร จินปิ่นเพ็ชร” ค่ะ”
พินิตา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี