พลิกตำนานร็อกเสียงสูง
ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เมื่อเอ่ยถึงวงดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และถือเป็นวงที่พลิกโฉมหน้าวงการดนตรีร็อคในเมืองไทยคงไม่มีใครไม่รู้จักวง “ไฮ-ร็อก” วงดนตรีแนวเฮฟวี่เมททัล ที่นอกจากการแต่งกายที่โดดเด่นสีสันฉูดฉาดแล้ว สิ่งที่ทำให้คนจดจำได้ดีและถือเป็นเอกลักษณ์ของวง คือน้ำเสียงของนักร้องนำ “อนุวรรตน์ ทับวัง หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “เป้ ไฮ-ร็อก” ด้วยเสียงร้องอันสูงแหลมโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ทำให้ชื่อของเขาคนนี้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ตำนานเพลงร็อกหน้า 1 ของเมืองไทย ที่ยากจะหาผู้ที่มีน้ำเสียงมาเทียบ คอลัมน์ เรโทร-สตาร์ ครั้งนี้ได้มีโอกาสเปิดใจล้วงลึกชีวิตของ “เป้” หลังจากที่ผ่านเรื่องราวมรสุมชีวิต พร้อมมุมมองความรักที่เปลี่ยนไป และการกลับมาอีกครั้งในคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่
จุดเริ่มต้นเส้นทางสายดนตรี
“ผมชอบดนตรีตั้งแต่เด็กเลยครับเหมือนบ้านเราเป็นบ้านศิลปินคือพ่อเล่นลิเก ส่วนพี่ชายคนโตเป็นนักดนตรี เขาเล่นกีต้าร์ ร้องเพลง ทำให้เราซึมซับทางด้านดนตรีมาจากครอบครัว แล้วเขาสนับสนุนผมด้วย จำได้ว่าตอนอายุ 10 กว่าขวบตอนนั้นยังเล่นดนตรีอะไรไม่เป็นเลยแต่ด้วยความชอบเลยเอากระป๋องกระแป๋ง เอาฝาหม้อมาตีกลองร้องเพลงกับเพื่อน ๆ แล้วตั้งวงชื่อ “เดอะ จั๊กจั่น” มีพี่สาวตัดชุดเหมือนชุดลูกทุ่งให้ ส่วนพ่อทำไฟทำลำโพงให้ แล้วร้องเพลงปิดม่านเก็บตังค์เด็ก ๆ ได้ครั้งหนึ่ง 30 – 50 บาท คนแถวบ้านชอบกัน เด็ก ๆ มาดูกันเยอะ ตอนนั้นสนุกดีครับ มันเป็นความคิดของเด็ก ๆ ครับว่าอยากเล่น”
เริ่มต้นฝึกดนตรีเพื่อหารายได้
“พอผมเรียนจบชั้นป.6 ไม่ได้เรียนหนังสือต่อ เพราะที่บ้านค่อนข้างยากจน เลยตัดสินใจออกมาเล่นดนตรีเริ่มฝึกเล่นเบส เพราะพี่ชายเล่นกีต้าร์ ด้วยความที่เราชื่นชอบดนตรีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยทำให้ใช้เวลาฝึกค่อนข้างไว ฝึกได้ประมาณ 1 เดือน เลยตัดสินใจออกไปเล่นดนตรีตามร้านอาหาร คาเฟ่ ต่าง ๆ จนวันหนึ่งผมได้มีโอกาสรู้จักกับ ตุ้ย (อนุรักษ์ ยิ่งนคร) และ แม็ก (เสรี วิหคเหิร) ได้ชักชวนผมมาเล่นดนตรีที่ Rock Pub ซึงผมต้องปรับแนวดนตรีจากที่เล่นเพลงตามตลาดทั่วไปหันมาเล่นแนวร็อค เป็นเพลงฝรั่งหมด ตอนนั้นไมได้ร้องเพลงนะเป็นมือเบส เขามีนักร้องของ “วงไฮ-ร็อก” อยู่”
เป็นนักร้องเต็มตัว
“จริง ๆ ตอนแรกผมก็ร้องอยู่บ้างแต่นิดหน่อยแค่เพลง-สองเพลง แต่มาเริ่มจริง ๆ ตอนนักร้องของวงลาออก แล้วเจ้าของร้านเขาจะให้เราเลิกเล่น ที่วงเลยจะให้ผมขึ้นมาเป็นนักร้องแทน แต่ด้วยความที่ผมไม่ชอบร้องเพลง อยากเป็นแค่นักดนตรีเฉย ๆ เลยปฏิเสธในตอนแรก เราเลยเริ่มไปเฟ้นหานักร้องตามที่ต่าง ๆ ใครผมยาวหน้าตาดี ๆ ก็ชักชวนมาออดิชั่น มีคนเข้ามาสมัครกันเยอะมาก แต่ที่วงไม่เอา สุดท้ายเลยมาลงเอยที่ผม ผมเลยต้องเปลี่ยนจากมือเบสมาร้องเพลงเอง ซึ่งจริง ๆ ผมไม่ชอบร้องเพลงนะ เพราะผมเสียงสูงครับ ตอนเด็ก ๆ คุณพ่อเป็นครูสอนศาสนาผมเลยมีโอกาสไปเป็นคนนำสวดในสุเหร่า และกิจกรรมต่าง ๆ ของมุสลิม มันเลยทำให้ผมใช้เสียงสูงมาโดยตลอด สุดท้ายนักร้องที่มาสมัครไม่มีใครโดนใจ เลยมาลงเองที่ผมอีกอย่างตอนนั้นสงสารเพื่อน ๆ ด้วยถ้าไม่มีนักร้องก็ต้องโดนไล่ออกจากร้านแล้วจะทำอะไรกินแต่ผมก็เล่นเบสคู่กับร้องเพลงไปด้วย”
ออกสู่สาธารณชนครั้งแรก
“วันหนึ่งพี่ “พราย” ปฐมพร ปฐมพร ได้ชักชวนให้เราไปเป็นวงแบ็คอัพให้ในคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มแรกของเขาที่ลาน สวป. มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อกลางปี พ.ศ. 2532 ตอนนั้นมันเป็นสิ่งที่น่าท้าทายที่จะได้ลองขึ้นเวลาใหญ่เราเลยตัดสินใจครับ ตื่นเต้นและสนุกมาก และอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ราเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นกว่าเดิทเริ่มมีแมวมอง ค่ายเพลงใหญ่ ๆ เข้ามาให้ความสนใจ”
ออกอัลบั้มเพลงครั้งแรก
“พี่ “เสือ” ธนพล อินทฤทธิ์ ได้เข้ามาดูพวกเราที่ร็อค-ผับ อาจเห็นผมเสียงสูง และวงของเรามีเอกลักษณ์ของตัวเองเลยชักชวนมาที่ บริษัท อาร์.เอส.โปรโมชั่น แต่จริง ๆ เราก็ไม่เอาเพราะมีค่ายเพลงที่อยากไปหลายค่ายมาก ตั้งใจว่าจะรอค่ายอื่นก่อน แต่พี่เสือเข้ามา 3 รอบ พอรอบที่ 3 เราสงสารเขามากเพราะพี่เขามาบ่อยมาก เลยตัดสินใจเซ็นต์สัญญา”
งานเพลงชุดแรกเปรี้ยง
“งานเพลงชุดแรก “คนพันธุ์ร็อก” ตอนนั้นราวปี พ.ศ. 2533 ผมไม่คิดว่าจะดัง เพราะผมไม่ชอบเสียงตัวเองนะครับ ตอนนั้นนักร้องแนวร็อคอย่างพี่หนุ่ย อำพล และคนอื่น ๆ เขาจะเสียงธรรมดากัน แต่พอฟังสียงตัวเองมันไม่ไหวเสียงสูง ๆ แหลม ๆ มันไม่มีใครร้องแบบนี้ มันฟังไมได้ จำได้ว่าตอนที่ผมได้ยินเพลงของตัวเองเพลง “กระจกร้าว” เปิดทางรายการวิทยุผมฟังแล้วต้องปิดเลย ทนฟังเสียงตัวเองไมได้คิดว่ามันไม่เวิร์ค แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ฟังเขาชอบมองว่านักร้องคนนี้เสียงโคตรสูงเลย มันเลยกลายเป็นเอกลักษณ์ของวงที่มีนักร้องเสียงสูงที่สุดในเมืองไทย แล้วอีกอย่างวงไฮ-ร็อค ออกมาครั้งแรกเหมือนเป็นการพลิกโฉมหน้าวงการดนตรีในเมืองไทย เพราะเพลงส่วนใหญ่ที่ออกมามักจะเป็นแนวป็อปร็อก หรือเพลงป็อบวัยรุ่นใส ๆ แต่เรานำเสนอด้วยแนวดนตรีที่หนักแน่นในแบบเฮฟวี่เมทัล ส่วนการแต่งกายจะแรง สีสันจัดจ้านไม่เหมือนใคร มันเป็นยุคที่วงซินเดอเรลล่า ของสหรัฐอเมริกา และเลาด์เนสส์ ของญี่ปุ่น กำลังมาแรงด้วยครับ หลังจากนั้นผมทำเพลงในฐานะนักร้องนำวงไฮ-ร็อกออกมารวมแล้ว 4 ได้แก่ “บัญญัติผ่าแปด” , “เจ็บกว่านี้มีอีกไหม” และ “HIV” ครับ”
ชีวิตที่เปลี่ยนไป
“ตอนแรกผมทำใจไมได้เพราะตอนออกเทปใหม่ ๆ ยังขึ้นรถเมล์อยู่ มีคนมาทัก เฮ้ย! นี่วงไฮ-ร็อก นี่ ผมรีบลงรถเมล์ไปหลบข้างตึก ใจมันจะวาย คิดในใจว่านี่เราดังแล้วหรือ งงตัวเองครับ ชีวิตตอนนั้นเปลี่ยนครับคนรู้จักมากขึ้น แต่ไมได้เปลี่ยนวิถีชีวิตอะไรมากมายเพราะผมเป็นคนสมถะ ขึ้นรถเมล์ตลอด นั่งรถเมล์ไปทำงาน ขึ้น ปอ. ไปคอนเสิร์ต”
สาเหตุที่ออกจากวงไฮ-ร็อก
“ตอนนั้นเรามาทำเพลงกันเอง ไม่มีโปรดิวเซอร์ แล้วผมเป็นคนชอบทำดนตรี ทำเพลง เขียนเนื้อ แต่ที่วงเขาไม่ชอบที่ผมทำมันเลยหมดความหมาย พอผมทำเพลงออกมาแล้วไม่ถูกใจที่วง มันเลยมีปัญหาทะเลาะกันบ้างอะไรบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง เลยทำให้เราไปด้วยกันไม่รอด สุดท้ายต้องแยกย้ายกันไปในที่สุด ผมเลยแยกออกมาทำอัลบั้มเดี่ยว “โฉบเดี่ยว” สบายใจดีครับ รับเงินเยอะดี เต็ม ๆ คนเดียว (หัวเราะ) ชุดนั้นผมแต่งเนื้อร้อง ทำนอง เรียบเรียง อัดเอง ทำคนเดียวหมดเลย 10 เพลง กระแสตอบรับดีพอสมควรครับ ขายดีนะครับ คนที่ฟังเพลงยอมรับ ตอนนั้นมีเพลง “ทำไมต้องทำให้ตาย” เสียงมันจะสูงเว่อร์ครับ ชุดนั้นหมดเลย เสียงแหบ หนักไปหน่อย”
“ร็อกอำพัน”
“ตอนปี พ.ศ. 2537 ผมได้ออกอัลบั้มพิเศษของตนเองร่วมกับ “เจี๊ยบ” พิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร ในชื่อชุด "ร็อกอำพัน" ประสบความสำเร็จอย่างมาก และได้ร่วมเล่นคอนเสิร์ต “ชอร์ต ชาร์จ ช็อก ร็อก คอนเสิร์ต เสืออำพัน” ซึ่งก็ต่อยอดจากครั้งนั้นจนมามีคอนเสิร์ตอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ทีจะถึง อีกด้วย แล้วปี พ.ศ. 2541 ได้กลับมาออกอัลบั้มร่วมกันอีกชุดที่ 2 คือ "ร็อกอำพัน ลูกคอไฟ" อีกครั้งก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน”
ทุกวันนี้ยังชอบเล่นดนตรีมากกว่าร้องเพลง
“ถ้าถามการร้องเพลงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ชอบร้องเพลงนะ ยังรู้สึกเฉย ๆ ตอนนั้นที่ต้องร้องมันเหมือนเป็นความรับผิดชอบของเราเท่านั้นเอง จริง ๆ แม้ทุกคนจะชอบเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ถือเป็นนักร้องที่เสียงสูงที่สุดก็ตาม ซึ่งผมขอบคุณทุกคนด้วยที่ให้การสนับสนุนมาตลอด แม้ตอนนี้เสียงอาจดรอปลงมานิดหน่อย อาจด้วยเรื่องของอายุ แล้วจากการที่เราใช้เสียงที่สูงมาเยอะมากโดยขาดการดูแลรักษาแบบถูกวิธี จริง ๆ การรักษาเสียงเราต้องพักผ่อนเยอะ ๆ นะ แต่ช่วงนั้นผมทำงานเยอะไม่มีเวลานอนเลย ทำให้ร่างกายทรุดต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะพักผ่อนน้อยด้วย”
ช่วงที่หายไป
“ตอนนั้นอาจด้วยมรสุมชีวิตต่าง ๆ แต่ทุกอย่างมันก็ผ่านไป จริง ๆ ไมได้หายไปไหน แต่ผมแค่ไมได้ออกอัลบัมยังมีไปร้องเพลงคอนเสิร์ตอยู่บ้าง แล้วมาทำเบื้องหลังเปิดห้องอัดที่บ้าน ทำเพลงประกอบหนัง ทำซาวด์แทร็กบ้าง แล้วก็มีเตรียมงานเพลงของตัวเองไว้ ยังไงนักดนตรีก็ยังต้องทำเพลงอยู่ดีครับ แต่อาจต้องใช้เวลาเพราะผมอยากให้ออกมาดีที่สุดครับ อยากให้ทุกคนได้รับสิ่งดี ๆ เพราะเราหายไปนานพออกมาก็ต้องดีที่สุดครับ”
บทเรียนชีวิต
“มรสุมความรักครั้งนั้นถือว่ามันผ่านไปแล้ว ไมได้เก็บมาคิดรู้สึกว่ามันเหมือนละคร เหมือนเราดูหนังเรื่องหนึ่งพอมันผ่านไปแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา เพียงแต่ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น พยายามทำทุกวันให้ดีที่สุด และใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด บทเรียนที่ได้จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาทำให้ผมเข้มแข็งครับ ตอนนี้พอมีปัญหาอะไรที่หนัก ๆ เหมือนภูเขาถล่มทับมันกลายเป็นเรื่องเด็ก ๆ ไปแล้ว หลังจากวันนั้นทำให้ผมมีสติขึ้น ธรรมมะธรรมโมขึ้น นั่งสมาธิ สวดมนต์ทุกวัน ทำให้จิตใจเราเข้มแข็งเวลาเราจะทำอะไรเหมือนเราต้องเดินถอยหลัง 2-3 ก้าว คิดก่อนว่าสิ่งนี้ทำแล้วดีหรือเปล่า ไม่ดีก็ไม่ทำ มันเป็นบทเรียนที่สอนเราว่า ครั้งนั้นที่ผ่านมาเราไมได้ระวังอะไรเลย เดินไปข้างหน้าหัวชนฝาอย่างเดียว แต่ตอนนี้หัวใจผมแบบสุดยอดครับ อะไรจะเกิดขึ้นไม่เคยหวั่นเลยไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหน”
มุมมองความรัก
“ผมไม่มีความรักให้ใครแล้วครับ มีแต่แบบคบกัน คุยกัน กินข้าวกัน แต่ถ้าจะรักกันอย่าดีกว่า ไม่เอาแล้ว อาจเป็นเพราะเข็ดแล้ว ไม่อยากรักใครแล้วครับ ผมขี้เกียจแบบมาเป็นเวรเป็นกรรมกัน คบกันเป็นแค่เพื่อนกันกินข้าวกัน ไม่เคยมีอะไรกันแค่นี้สบายใจกว่า แต่จะให้เป็นแฟนกันแต่งงานกัน ไม่เอาแล้วครับ อยู่คนเดียวผมคิดว่ามีความสุขที่สุดแล้ว หาเงินมาได้เมื่อไรก็ใช้ชีวิตให้มีความสุข เพราะชีวิตมนุษย์ไม่รู้ว่าเราจะตายวันไหน ไม่แน่พรุ่งนี้เรานอนหลับไปอาจไม่ตื่นก็ได้ ทุกวันนี้ผมเลยใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด”
สิ่งที่อยากทำที่สุดในตอนนี้
“จริง ๆ ผมอยากเจอลูก อยากอยู่ใกล้ลูก พาเค้าไปเที่ยวบ้าง ทำให้เขามีความสุขนี่คือสิ่งที่อยากทำ แต่จริง ๆ แล้วตอนนี้ชีวิตผมก็ความสุข ซึ่งผมชอบอยู่กับความสงบ อาจเพราะเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ติสท์ ๆ หน่อย ความสุขของผมคือ อยากได้อะไรผมซื้อ อยากทำอะไรเราก็ทำ อยากไปเที่ยว อยากไปต่างประเทศก็ไปไม่เคยปิดกั้น บางครั้งถ้าอยู่คนเดียวในบ้านผมอยากอยู่เงียบ ๆ วัน ๆ ไมได้ออกไปไหนอยู่กับไก่ กับนก กับดนตรีซึ่งมีห้องอัดห้องซ้อมดนตรีอยู่แค่นี้มีความสุขแล้ว”
มองวงการดนตรีร็อคตอนนี้
“ผมไม่ค่อยได้ติดตามฟังดนตรีไทยเท่าไร แต่เท่าที่เห็นผมคิดว่าโอเคนะครับ เทียบฝีมือกันในเอเชียเทียบได้หมดทั้งญี่ปุ่น เกาหลี หรือแม้แต่ฝรั่งเอง ผมคิดว่านักดนตรีเราน่าจะสู้เขาได้ แต่เราอาจติดที่การตลาดบ้านเราที่ทำให้จมอยู่แค่นี้ ผมคิดว่าน่าจะทำเป็นเพลงภาษาอังกฤษออกมาบ้างเพื่อที่เราจะได้ไปโกอินเตอร์ได้มากขึ้นทำให้เขาเห็นว่าคนไทยก็มีของดีเหมือนเขาเหมือนกัน”
ความทรงจำ “ชอร์ต ชาร์จ ช็อก ร็อก คอนเสิร์ต”
“ครั้งนั้นผมคิดว่าเป็นคอนเสิร์ตที่คนไทยดูเยอะที่สุดครับ ราว ๆ 40,000-50,000 คน ในยุคนั้นตอนนั้นคิดเลยทำไมคนถึงเยอะมากขนาดนี้ มันเป็นอะไรที่ฝังใจมาตลอดเวลาว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เคยมีคนมาดูเราครึ่งแสน แต่วันนั้นสุดท้ายคอนเสิร์ตก็เล่นไม่จบ เกิดการกระทบกระทั่งกันอาจเพราะคนมันเยอะ ดูแลไม่ทั่วถึงอยู่แล้ว แล้วมันเป็นกลางแจ้ง จำได้ติดตาเลยครับอยู่บนเวทีเห็นคนตีกันความรู้สึกเหมือนตีกับเราเอาก้อนหินไปเขวี้ยงในบ่อ แหนมันจะกระจาย สักพักก็หุบมา เหมืนกันเลยเวลาตีกันคนก็แตกฮือ สักพักก็หุบมา แต่ว่าสุดท้ายคอนเสิร์ตมันไม่จบ แต่สิ่งที่ประทับใจคือคนมาดูเรากันเยอะมากแล้วมันสนุก”
ฝากถึงแฟน ๆ
“สำหรับ "ช็อต ชาร์จ ช็อก ร็อก ลีเจนด์ เหล็ก พันธุ์ เสือ" กลับมาจัดอีกครั้งในวันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ถือเป็นการร่วมงานกันอีกครั้ง อยากให้คนที่ชอบดนตรีร็อค ชอบพี่โป่ง หิน เหล็ก ไฟ ,พี่ “เจี๊ยบ” พิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร, พี่ “เสือ” ธนพล อินทฤทธิ์ ให้ไปดูกัน ผมคิดว่าคอนเสิร์ตครั้งหน้ามันอาจไม่มีก็ได้ ขอขอบคุณสำหรับเฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐ์โชติศักดิ์ นะครับที่จัดคอนเสิรตครั้งนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเขาอยากดูด้วย อยากให้ไปดูกันเยอะ ๆ มันไมได้มีโอกาสแบบนี้ง่าย ๆ ที่จะมารวมตัว ตอนนี้ผมเตรียมซ้อมหนัก ทุกวันเลยครับ มีฝึกร้องเพลงด้วย เพราะไม่ได้ร้องหนัก ๆ แบบนี้มานานแล้วครับ เลยต้องเชิญครูมาสอนร้องเพลง เสียงอาจมีดรอปลงมาบ้าง เป็นไปตามอายุ แต่สภาพยังเหมือนเดิม ไม่ต้องห่วงครับมันส์แน่ ๆ เพราะแต่ละคนก็มีงานเพลงของตัวเองส่วนตัวผมก็มีเซอร์ไพร๊ซ์ จะได้ฟังเพลงที่ชอบของไฮร็อคด้วย ไปเจอกันครับ”
พินิตา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี