เรียกได้ว่าตอนนี้ละคร “สิเน่หาส่าหรี” ทางช่องวัน31 กำลังเข้มข้นน่าติดตามทุกตอน เพราะนอกจากจะมีนักแสดงมากฝีมือออกฟาดฟันบทบาทกันสุดฤทธิ์แล้ว ก็มีนักแสดงคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองนั่นก็คือ “ตะวัน-ศมพู อัสสเมทางกูร” กับบทบาท “มาโนช-นายทหารอารักขา” ที่มีดีกรีความสามารถไม่ธรรมดา และกำลังศึกษาอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวชีวการแพทย์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ถึงแม้จะเป็นน้องใหม่ในวงการบันเทิงแต่บอกเลยว่าฝีมือทางด้านการแสดงกับละครเรื่องแรกถือว่าสอบผ่านฉลุย อนาคตไกลอย่างแน่นอน วันนี้ “ทีมข่าวบันเทิง
แนวหน้า” เลยไม่รอช้าพาไปทำความรู้จักกับ “หนุ่มตะวัน” ให้มากขึ้น
แนะนำตัว ชื่อจริง ชื่อเล่นมาได้อย่างไร
“สวัสดีครับ ผม “ตะวัน-ศมพู อัสสเมทางกูร” ผมเป็นคนค่อนข้างแอ๊กทีฟ ชอบเล่นกีฬาโดยเฉพาะฟุตบอล วิ่ง แล้วก็เทนนิสครับตอน ม.ปลาย เคยเล่นฟุตบอลให้ทีมโรงเรียนครับนิสัยส่วนตัว ถ้ามองโดยผิวเผินก็จะดูเงียบๆนิ่งๆ แต่ถ้ารู้จักแล้วก็เป็นคนพูดมาก เเล้วก็ซนพอสมควรนะครับ ปัจจุบันเป็นนักแสดงในสังกัดช่องวันครับมีผลงานละคร “สิเน่หาส่าหรี” กับบท “มาโนช-นายทหารอารักขา” สำหรับที่มาที่ไปของชื่อ “ตะวัน” คุณพ่อดูละคร มีนางเอกชื่อ “ตะวัน” เลยตั้งชื่อนี้ เพราะเป็นชื่อได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ส่วนชื่อจริง “ศมพู” ที่บ้านไปดูมา เท่าที่จำได้แปลว่าผู้ที่ทำความสำเร็จได้เพียงคนเดียวครับ”
เคยคิดมั้ยว่าจะเข้ามาอยู่ในวงการ
“ไม่เคยคิดเลย พอดีผู้จัดการ ได้ติดต่อเข้ามา หลังจากนั้นก็พัฒนาตัวเองด้านการแสดง และด้านต่างๆ มาเรื่อยๆ จนจบ ม.6มีโอกาสแคสติ้งที่ช่องวัน พอแคสติ้ง เริ่มมีความหวังจะได้มาพาร์ทบันเทิง พอได้ละครก็ได้เข้ามาเต็มตัว พอมองย้อนกลับไปก็ยังแปลกใจ เพราะอยู่ๆ เข้ามา ค่อนข้างรวดเร็วเหมือนกัน”
ฝึกฝนตัวเองอย่างไรบ้าง
ก็มีเรียนการพูดให้ชัด และเว้นวรรคให้ถูกต้อง รวมถึงเรียนรู้การแสดงของนักแสดงรุ่นพี่จากละครต่างๆ ที่ได้ดู แล้วก็มีหลายอย่างที่ต้องฝึกฝนและพัฒนาตลอดเวลาครับถ้านอกจากเรื่องของการแสดงก็เป็นเรื่องของบุคลิกภาพ รวมไปถึงการดูแลตัวเองเรื่องการออกกำลังกาย พักผ่อน ทานอาหาร ต้องมีวินัยกับตนเองมากๆ เลยครับ
มองงานการแสดงเป็นยังไง
ในความคิดของผม งานการเเสดงเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ไม่ได้ตายตัว มันสามารถสื่อสาร นําพาความรู้สึกเพื่อที่จะส่งมอบสิ่งที่จะสื่อให้กับผู้รับชม งานการเเสดงเป็นศิลปะที่ผมมองว่ามีความสําคัญต่อมนุษย์ เพราะงานศิลปะมันเป็นตัวยกระดับเราให้ต่างจากสัตว์ชนิดอื่น เราสามารถสื่อสารเพื่อความบันเทิงได้สําหรับตัวผมเเล้ว ผมชอบการเเสดงนะครับ เพราะมันสามารถให้เราเข้าใจตัวเราเองมากขึ้นเวลาที่เราจะเเสดงเป็นตัวละครอื่นได้นั้น การเข้าใจตัวเองเป็นสิ่งที่สําคัญ
ปรับตัวเองยังไงที่ต้องเจอผู้คนมากมาย
ผมเป็นคนค่อนข้างปรับตัวง่ายเลยไม่มีปัญหาเวลา เจอผู้คนมากมาย เเต่บางทีก็มีตื่นเต้นเเละกดดันบ้างครับ ทางออกก็หายใจเข้าลึกๆ ทําสมาธิ เเละก็คิดว่าทุกคนที่อยู่ในสถานที่นั้น ล้วนมีเป้าหมายอยากทํางานให้สําเร็จและลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่มีใครที่จะมากดดันหรือจับผิด เลยไม่จําเป็นที่จะต้องไปกังวลครับ
ทำไมถึงเลือกเรียนวิศวการแพทย์
“อยากเป็นหมอฟัน พอไปฝึกงานที่โรงพยาบาลประมาณเดือนหนึ่ง ได้เห็นบุคลากรทางการแพทย์ต้องทุ่มเทเยอะมาก รู้สึกว่าตัวเองที่ต้องไปอยู่บรรยากาศแบบนั้น ทำให้นับถือบุคลากรทางการแพทย์จริงๆ ว่าเป็นงานที่หนักที่ต้องจัดการตัวเองเยอะมาก เลยรู้สึกว่ายังไม่พร้อม ไม่สามารถทำอย่างเต็มที่ได้ ยังไม่ควรเข้าไปทำ ลองมองวิชาชีพที่อยู่ด้านการแพทย์ เลยมองวิศวการแพทย์ครับ และมีโอกาสได้รู้จักคนทางด้านนี้ รู้จักผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการแพทย์เลยเป็นสาขาที่สนใจเรียนครับ”
ตอนที่เรียนยาก
“ยากมากครับ เป็นสาขาที่เรียกว่าครอบคลุมทุกด้านของวิศวกรรม คือเป็นทั้งไฟฟ้าด้วย เป็นด้านการแพทย์ ชีวะ เคมีทุกอย่างมารวมกัน ก็ค่อนข้างยากมากครับ”
ได้เรียนรู้เยอะ
“เยอะครับ รู้สึกดีใจมากที่ได้เล่นละครเรื่องนี้ ผมเจอแต่นักแสดงเก่งๆ ทุกคนให้กำลังใจและผลักดันผมให้ไปในทิศทางที่ควรจะเป็น และนักแสดงหน้าใหม่ด้วยกันก็ช่วยผม เพราะเอาจริงๆ เพราะผมไม่เคยแสดงละครมาเลย ทุกคนก็เข้าใจและน่ารักมากๆ อาจจะมีคัตเยอะหน่อย ทุกคนก็บอกว่าไม่เป็นไร ยินดีที่จะช่วย และเข้ามาช่วยรับ-ส่งให้ถึงซีนนั้นจะไม่มีเขาก็ตาม”
เรื่องความรัก
“ถ้ารู้สึกจริงๆ ก็น่าจะ ม.1 ม.2 ครับ ไม่ได้คบกันจริงจังครับ แค่รู้จักกัน ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อบางคนครับ (ยิ้ม) ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เหมือนเพื่อนที่ได้เจอกันและจากกันไป”
แล้วตอนนี้หัวใจเป็นอย่างไร
“ตอนนี้หัวใจก็ยังไม่ได้มีใครครับ แค่เวลาจะนอนยังไม่ค่อยจะมีเลย ก็เลยยังไม่ได้มอง”
สเปกคนรู้ใจ
“ไม่มีสเปกเลย อยู่ที่ว่าคุยกับเขาแล้วเข้าใจกัน มองตาแล้วรู้ใจ ต้องรับเราได้ในสิ่งที่เป็น เราก็ต้องรับเขาได้ด้วย ไม่ได้เร่งรีบที่จะต้องมี แต่มองว่าถ้ามีก็ดี”
มองอนาคตตัวเองไว้ยังไงบ้าง
“10 ปี จะมองยากหน่อย ถ้าใน 5 ปีมองเรื่องการเรียนเป็นหลัก ทำงานควบคู่ไปด้วย ถ้าเรียนจบก็มุ่งหน้าทางละคร ก็จะมาดูว่าสิ่งที่ทำไปได้ไกลแค่ไหน ทุ่มเทให้เต็ม 100 ถึงเวลานั้นก็มีช้อยส์ 2 ที่จะไปสาขาวิชาที่เรียนมา ถ้าระยะเวลา 10 ปี เป็นนักแสดงอย่างเดียวไม่พอหรอก การเป็นนักแสดงค่อนข้างมีระยะเวลา แต่ถ้า 10-15 ปี อาจมีทำธุรกิจอย่างอื่นที่มองว่าควบคู่ไปด้วยแต่ตอนนี้ผมก็จะทุ่มเทให้เต็มที่ และจะพยายามบนเส้นทางบันเทิงนี้ให้เต็มที่ สุดความสามารถครับ สุดท้ายนี้ผมจะพยายามตั้งใจฝึกฝนตัวเองให้มีผลงานดีๆ ออกมาให้ทุกคนได้ชมกันแน่นอนครับ ยังไงช่วยเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี