ร้อนแรงวงการสงฆ์ทั้งสัปดาห์กรณีอดีต “พระกาโตะ”สึกหนีปาราชิกเนื่องจากพระสงฆ์ทำผิดพระธรรมวินัยขั้นปาราชิกเกิดเป็นข้อถกเถียงว่าลาสิกขาแล้วจบเรื่อง หรือควรมีโทษทางอาญาร่วมด้วยทำให้วงการผ้าเหลืองต้องตกเป็นที่ครหาถึงความเข้มงวดในพระธรรมวินัยล่าสุดในรายการ “เจาะข่าวเด็ด สเปเชียล”(The Day News Update Special)ทางช่องMONO29โดยผู้ประกาศข่าว “เอก-นนทกฤชกลมกล่อม” ร่วมพูดคุยและรับฟังข้อเสนอแนะ จากผู้เสนอแก้กฎหมายอย่างคุณศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และพระราชธรรมนิเทศ พระพยอม กัลยาโณเจ้าอาวาสวัดสวนแก้วนมัสการมาร่วมพูดคุยในรายการผ่านวิดีโอคอล
เอก นนทกฤช : ความผิดทางวินัยสงฆ์ หรือ “ปาราชิก” เมื่อลาสิกขาออกมาบทลงโทษก็จบเพียงเท่านั้น ถูกต้องหรือไม่ครับ
พระพยอม กัลยาโณ : ส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น ที่มีติดคุกก็มี มี 2-3 รูปที่ต้องโทษ แต่ที่ไม่ได้รับโทษในเรือนจำ ลอยนวลก็มีเยอะ
เอก นนทกฤช : กรณีของอดีตพระกาโตะ พอลาสิกขาไปแล้ว เฉพาะในเรื่องการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสีกา สึกออกมาแล้วไม่ได้มีความผิดอื่นๆ เพิ่มเติมใช่หรือไม่
พระพยอม กัลยาโณ: ถ้าเขาสึกแล้วกฎหมายก็ไม่มีอะไร แต่กาโตะไปมีตรงที่ว่าเอาเงินวัดไปให้สีกา ตรงนี้น่าจะมีเรื่องตามกันไปอีก ถึงแม้ตำรวจบอกว่าความผิดสำเร็จแล้ว คุณเอามาคืน เหมือนโจรไปปล้นทรัพย์แล้ว พออยู่ ๆ ไม่อยากติดคุก ก็คืนเงิน แบบนี้กฎหมายจะยอมหรือเปล่า
เอก นนทกฤช: แล้วเรื่องเงินที่มีการหยิบยืมตรงนี้ ถ้าทางสงฆ์มีความผิดอย่างไรหรือไม่
พระพยอม กัลยาโณ: ไม่รู้จะยืมหรือไม่ยืม ต้องไปสืบกันต่ออีกว่า เอาให้คนกลางและคนกลางหนีไปแล้ว แล้วไปเอาตอนไหน เงินอยู่ในวัด ต้องมีคนรับรู้ น่าจะพ่วงแนวร่วมเข้าไปอีก 1-2 ราย แล้วแต่ที่จะสืบหากันไป
เอก นนทกฤช: จากประเด็นที่เกิดขึ้นนำไปสู่การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการแก้ไขกฎหมาย จุดเริ่มต้นเรื่องนี้เป็นอย่างไร
คุณศรีสุวรรณ : เราเห็นพระที่ฝ่าฝืนพระธรรมวินัยค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นโทษสูงสุด คือ “ปาราชิก” เกิดขึ้นในสังคมไทยหลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุดเราก็พยายามดูว่ามีข้อกฎหมายใดไปเอาผิดพระเหล่านี้ได้บ้าง พอเกิดเหตุสร้างความเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนามีการตำหนิติเตียนว่าบ้านเมืองและกฎหมายไม่ได้ใส่ใจเอา
ผิดคนแบบนี้เลยหรือ ซึ่งสร้างความเสื่อมโทรมให้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา พอไปไล่ดูกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่ ทั้งประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่ง รวมทั้ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขปี 2535 ก็ไม่ได้ปรากฎหรือบัญญัติในเรื่องเหล่านี้ไว้เลย จึงมีความเห็นว่าถ้าเช่นนั้นแล้ว เราจำเป็นที่จะต้องเอาวิกฤตของพระกาโตะ ไปเป็นโอกาสนำไปสู่การที่จะแก้ไขกฎหมาย ไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะการที่พระไปเสพเมถุนกับสีกา เมื่อต้องปาราชิกไม่สามารถกลับมาบวชได้ตลอดชีวิต แต่อย่างไรก็ควรมีโทษทางอาญาด้วย แต่เมื่อไปดูในประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกล่าวในเรื่องของพระไว้ 2-3 มาตรา ทั้งมาตรา 206 207 และ 208 ระบุถึงการหมิ่นศาสนา เหยียดหยามถาวรวัตถุ สถานที่ แต่ไม่พูดถึงพระ หรือ การแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ แต่งกาย เลียนแบบนักบวช หรือ การไปทำให้พิธีกรรมของศาสนาเสื่อมก็มีโทษทางอาญา แต่โทษที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการเสพเมถุนไม่มี เมื่อไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว มีการออกกฎหมายอาญาเอาผิดคนที่ไปเสพเมถุน ขั้นปาราชิก ทั้งคนที่เป็นพระสงฆ์ ทั้งสีกา รวมทั้งเพศเดียวกัน ซึ่งมีอะไรกันก็มีความผิด ซึ่งมีการออกกฎหมายมาตั้งแต่ พ.ศ.2549 มีบทลงโทษทางอาญาจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 3 ปี โทษปรับตั้งแต่ 5 แสนกีบ – 3 ล้านกีบ แต่ประเทศไทยไม่มีโทษทางอาญา จึงคิดว่า ควรมีการผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงทำหนังสือร้องไปยัง กมธ.การศาสนาฯ สภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา เนื่องจากทั้ง 2 ส่วน เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ในการที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาผลักดัน เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาได้ ทั้ง ๆ ที่ในอดีตไทยก็เคยมีกฎหมาย แต่ในสมัยนั้นเป็นกฎหมายตราสามดวง มีบทลงโทษในเรื่องของการลงแส้ ลงหวาย ลงแส้หนังหนังต่างๆ แต่กฎหมายฉบับนั้นถูกยกเลิกไป หลังจากมี พรบ.สงฆ์ปี 2505
เอก นนทกฤช: ประเด็นที่มีการนำเสนอเพื่อให้แก้ไขกฎหมายอย่างที่คุณศรีสุวรรณนำเสนอ หลวงพ่อมีข้อคิดเห็นในประเด็นนี้อย่างไร
พระพยอม กัลยาโณ: ต้องขออนุโมทนากับกุศลเจตนาของคุณศรีสุวรรณ ที่ช่วยกันปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา บัดนี้ก็ถือว่าได้เจ้าภาพแล้ว ขอให้เดินเรื่องต่อไป เพราะในอดีตเคยมีโทษการเฆี่ยน และถ้าย้อนไปดูสมัยพระเจ้าอโศกฯ มีการฆ่าพระไป 400-500 รูป ที่นอกรีตนอกรอย ไม่ใช่แค่ติดคุก 3 เดือน เหมือนประเทศลาว สมัยนั้นฆ่าทิ้งเลย เพราะย่ำยี แหกคอก นอกระเบียบ เหยียบกฎทางศาสนาจึงโดนประหาร และในช่วงสมัยของรัชกาลที่ 2 และ 3 ก็มีบทลงโทษสักหน้าว่าเป็น “สมี” แต่ในช่วงระยะ 20-30 ปีมานี้ มีความหย่อนยานมาก ไม่มีใครเป็นเจ้าภาพ พระจริงวิ่งไล่พระปลอม วิ่งไล่กันไม่ทัน แพ้อุตลุดอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงต้องมีอะไรที่จะมาเป็นภูมิคุ้มกันให้ศาสนา เรามีหน้าที่อยู่ 2 อย่าง คือ ทะนุบำรุงกับปกป้องคุ้มครอง ตอนนี้ไปได้เปราะหนึ่ง คือ ใครจะบวชต้องผ่านตำรวจตรวจประวัติ คุณสมบัติพร้อมหรือไม่ ถ้าตำรวจพบข้อมูลว่า มีประวัติประพฤติไม่ดี อย่างที่วัดอาตมา มีสมัคร 10 ได้บวช 2 สอบไม่ผ่าน 8 เพราะมีความประพฤติไม่ดี ก็ดีที่มีการสกรีนมาขั้นหนึ่ง แต่ในกลุ่มที่หลุดเข้ามาแล้ว บวชแล้วเผลอไผลไปทำไม่ดี ก็ต้องมีการตามไล่บี้อีกขั้นหนึ่ง
เอก นนทกฤช: เรื่องเงิน มีการเสนอให้แก้ไขกฎหมายอย่างไร
คุณศรีสุวรรณ : เรื่องเงิน เสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา แพ่งและพาณิชย์ ในเรื่องของทรัพย์สินของพระ ขณะที่ดำรงเพศบรรพชิตอยู่ด้วย เพราะในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1623 ระบุไว้แต่เพียงทรัพย์สินของพระ ในขณะที่มรณภาพไปแล้ว ถ้าไม่ได้ทำพินัยกรรมก็ให้ตกแก่วัด แต่ว่าขณะที่ถือเพศบรรพชิตอยู่ พระสงฆ์ได้รับเงินมา ไม่ว่าจะ
กิจนิมนต์ หรือ วิธีการใดก็แล้วแต่ ไม่ได้ระบุว่าเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง แม้ว่าจะมีการถวายมาเพื่อให้ไปทะนุบำรุงศาสนา แต่ส่วนใหญ่พระจะมีการนำเอาไปใช้ผิดประเภท เอาไปให้ญาติโยม พี่น้องซื้อที่ดินในป่าสงวนแห่งชาติ หรือ เอาไปให้สีกา ทั้งที่ความจริงควรมีการระบุว่า พระเมื่อได้เงินทองหรือทรัพย์สิน ซึ่งจริงๆพระไม่ควรมีบัญชีด้วยซ้ำ ถ้าจะมีการฝากเงินควรไปฝากในนามวัด เพราะวัดเป็นนิติบุคคล เป็นต้น ไม่ควรมีบัญชีส่วนตัวของพระ แล้วถ้าพระนำเงินไปใช้ผิดประเภท ก็น่าจะมีความผิดในทางอาญาด้วย ซึ่งการนำเสนอไปยัง กมธ. มีการเสนอไปด้วยทั้งทางประมวลกฎหมายอาญาและทางแพ่ง แต่เกรงว่าทาง กมธ.จะรับลูกหรือไม่อย่างไร ซึ่งมีไม้สองอยู่อาจจะใช้วิธีการล่ารายชื่อ 10,000 รายชื่อ ทั่วประเทศ ในการที่ผลักดันกฎหมายนี้ ก็ต้องขอความร่วมมือกับพระพยอมในการที่จะช่วยบอกสาธุชนในการช่วยล่ารายชื่อ หากทาง กมธ.ไม่รับเรื่อง ให้หลวงพ่อช่วยผลักดันให้เกิดเป็นกฎหมายเกิดขึ้นอย่างจริงจัง
เอก นนทกฤช : สัปดาห์ที่ผ่านมาข่าวฉาวที่เกิดขึ้นกับวงการสงฆ์ ทั้งกรณีที่เกิดขึ้นกับกาโตะ และกรณีที่เกี่ยวเนื่องกับหมอปลาบุกไปหลายวัด หลายคนบอกว่าเสื่อมศรัทธาจึงอยากจะฟังคติธรรมจากหลวงพ่อพระพยอมจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น
พระพยอม กัลยาโณ : ขอให้พระทุกรูป น้อง ๆ ที่บวชทีหลัง ถ้าท่านเทศน์เป็น ท่านต้องรักษาพรหมจรรย์เป็น ท่านต้องรักษาศาสนาเป็น ถ้ารักษาศาสนาไม่เป็นท่านต้องอยู่ลำเค็ญแน่ ส่วนสีกาที่เป็นฝ่ายอุปถัมภ์พระพระพุทธศาสนา ขอให้อุปถัมภ์ให้พระได้เป็นพระ อย่าเอาพระไปเป็นผัวให้พระได้สืบทอดพระพุทธศาสนา อย่าเอาไปสืบพันธุ์ ถ้าสืบพันธุ์ไปหาเอาข้างนอกมีเยอะแยะ อย่างกรณีใบตองทำไมต้องเลือกกาโตะด้วย ทำไมไม่เลือกที่อื่น และสุดท้ายนี้ อย่าห่วงว่าศาสนาจะสูญพันธุ์จากประเทศไทย เพราะมีคนถามบ่อย เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ว่าศาสนาน่าจะเสื่อม น่าจะหมดแล้ว ถ้ามีไวรัส ก็ต้องมีวัคซีน ถ้ามีทุกข์ก็ต้องมีธรรมะ ถ้าคนไทยหมดทุกข์นั่นแหละ ศาสนาถึงจะหมดยุค หมดสมัย หมดความต้องการ เพราะฉะนั้น ยังไงเสียยังมีคนดีๆ คนที่คิดปกป้อง คุ้มครอง คนที่คิดทะนุบำรุงสายบุญยังมี ส่วนสายบาปก็ว่ากันไป ขอให้บ้านเมืองนี้ ช่วยกันกำราบปราบ และขออนุโมทนากับคุณศรีสุวรรณและหมอปลา แต่ขออภัยหมอปลานิดหนึ่ง ถ้าหมอปลาผิดพลาดไปตอนที่บุกเข้าไปในวัด ขอให้หมอปลา ไปขอโทษเจ้าอาวาสวัดนั้น ลูกศิษย์หลวงพ่อคูณ หมอปลาจะได้ทำงานต่อได้ราบรื่น เพราะการบุกไปแบบนั้น ไม่ขออนุญาตเจ้าอาวาส มันก็เสียธรรมเนียมไป อย่างไรก็ขอให้หมอปลาทำงานดี ทำงานก้าวหน้า และทำงานปลอดภัย อย่าได้มีศัตรูในงานเลย เจริญพร
ติดตามรายการ“เจาะข่าวเด็ด สเปเชียล” (The Day News Update Special)แบบสดๆ ได้ทุกวันศุกร์ เวลา 13.00น. ทางช่อง MONO29หรือที่แอปพลิเคชัน MONO29
สามารถรับชมรายการย้อนหลังได้ที่ https://youtu.be/2_fqXdfvIsM
#Mono29 #เอกนนทกฤช#Thedaynewsupdatespecial #เจาะข่าวเด็ดสเปเชียล#สึกหนีปาราชิก
w014
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี