Star Retro : ล้วงลึกเรื่องราวกว่าจะเป็น "เพียงพิศ ศิริวิไล"

Star Retro : ล้วงลึกเรื่องราวกว่าจะเป็น "เพียงพิศ ศิริวิไล"

วันอาทิตย์ ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556, 06.00 น.
Tag :

หากเอ่ยชื่อ เพียงพิศ ศิริวิไล นักร้องสาวสวย 1 ใน 4 ใบเถา ประกอบด้วย เกศิณี วงษ์ภักดี ,รังษิยา บรรณกร และบุษบา รังสรรค์ เริ่มเป็นที่รู้จักด้วยเพลง"คนใจเหงา" ด้วยทำนองเพลง Sleepy lagoon ที่คุ้นหู และเป็นผลงานเพลงของ ประเทือง บุญญประพันธ์ (บันทึกแผ่นเสียงครั้งแรกร้องโดย ศิริจันทร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ซึ่งครั้งนั้นใช้ชื่อเพลงว่า"เหงาใจ")

ซึ่งประสบความสำเร็จสูงสุดจากเพลง"คนหลายใจ"ผลงานเพลงของ"พร พิรุณ" ส่วนเพลงอื่นๆที่ได้รับความนิยมคือ"คนลวง","มารหัวใจ","ไม่อิ่มรัก","เกลียดเข้ากระดูก",และ"ขาดการติดต่อ"รวมทั้งเพลงประกอบภาพยนตร์อีกมากมาย


เพียงพิศ ศิริวิไล กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งด้วยเพลง"ไฟเสน่หา"ผลงานของ"ว.วัชญาน์" พร้อมกับเปลี่ยนนามสกุลใหม่จาก "ศิริวิไล" เป็น "เลิศวิไล" ในยุคที่ไนท์คลับเฟื่องฟู เพียงพิศ ศิริวิไล เป็นที่ยอมรับของนักฟังเพลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการร้องเพลงสากลและเพลงญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น. เรียบเรียงโดย ราเชนทร์ ชุมสาย ณ อยุธยา

สำหรับเธอกว่าจะก้าวเข้าสู่วงการ และมีชื่อเสียง ต้องฝ่าฟันอุปสรรค และพบเจอเรื่องราวมากมายวันนี้ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้าจะพาไปไขข้อข้องใจกับผู้หญิงที่ชื่อ “เพียงพิศ ศิริวิไล”  ถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้อง และสาเหตุที่เธอยอมทิ้งชื่อเสียง เงินทองก้าวออกจากวงการบันเทิง มาให้ติดตาม

จุดเริ่มต้น ของการเป็นนักร้อง

คือชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้ว เวลาอยู่ในห้องเรียนก็จะร้องเพลงตลอด บางทีร้องจนเพื่อนรำคาญ (หัวเราะ) ด้วยความที่ชอบร้องเพลงแบบนี้เลยชวนกันไปร้องเวลาไปตามที่ต่างๆ จนบังเอิญวันนึงมีโอกาสได้ไปเจอ  “วงกรุงเทพคาลิปโซ่” หัวหน้าวง  (คุณประเสริฐ อริยวรรณ) เห็นว่าเราร้องเพลงเพราะเข้าตาเขา เลยเมตตาเราเป็นพิเศษ เลยให้ความกรุณาตั้งชื่อใหม่ให้ คือ   “เพียงพิศ ศิริวิไล”  ซึ่งชื่อนี้เป็นชื่อที่ตั้งเพื่อใช้ในวงการเท่านั้น  จุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้องเลยเริ่มจาก  “วงกรุงเทพคาลิปโซ่” นี่แหละค่ะ

เข้าสู่วงการ “ไนท์คลับ”

หลังจากที่รู้จักกับวงพี่ก็เริ่มไปร้องเพลงตามงานต่างๆบ้าง เพราะ จนสุดท้ายก็เริ่มเดินเข้าสู่วงการ  “ไนท์คลับ”  สมัยก่อนนั้นถ้านักร้องคนไหนอยากมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของทุกคน ก็ต้องผ่านการร้องเพลงจากไนท์คลับ อย่างพวก โลลิต้า (Lolita)  คือทุกอย่างมันต้องเชื่อมโยงกันหมด ส่วนใหญ่แล้วต้องอาศัยความสามารถของตัวเองทั้งนั้น ซึ่งก็อยากลำบากพอสมควร

ทำตัวอยู่ในกรอบไม่หลงแสงสี

คือคนอื่นยังไงพี่ไม่รู้ แต่สำหรับตัวของพี่เองพอร้องเพลง และทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จพี่ก็กลับบ้านทันทีไม่มีไปไหนต่อเลย ไม่สุงสิงกับใครเท่าไรนัก เพราะอย่างนี้เลยทำให้ชีวิตพี่ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูงมากมายเหมือนคนอื่นนัก  เหมือนกับว่าตอนนั้นเรามุ่งมั่นทำงานเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อมองย้อนกลับไปพี่ก็ไม่เสียใจนะที่ทำแบบนั้น

เริ่มต้นด้วยการร้องเพลงสากล

ตอนที่พี่เริ่มร้องเพลงพี่เริ่มต้นจากการร้องเพลงสากลก่อน อาจเพราะว่าพี่ถนัดเพลงแนวนี้ด้วย จนมีวันนึงมีแขกที่เขามาฟังเราร้องเพลงที่ร้านเป็นประจำ มาพูดกับเราว่าเสียดายเสียงเพราะๆ แบบนี้น่าจะร้องเพลงไทยด้วย แต่พี่ก็แย้งเขาไปว่า การร้องเพลงให้มีชื่อเสียงต้องมีคนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังด้วย ไม่ใช่ว่าอยู่ๆมีมั่นใจในเสียงร้อง และความสามารถของตัวเอง แล้วก้าวไปข้างหน้าเลย สมัยนั้นมันไม่ได้เหมือนปัจจุบันที่มีเวทีประกวดร้องเพลงมากมาย

ช่วงที่ร้องเพลงอยู่ไนท์คลับมีคนเสนอว่าจะทำเพลงให้

ใช่ค่ะ คนนั้นคือคนเดียวกับที่กล่าวไปเมื่อกี้ เป็นลูกค้าที่บอกว่าพี่น่าจะร้องเพลงด้วย ตอนนั้นเขาบอกว่าให้ลงทุนทำเองเลย เราตอบเขากลับไปว่า ไม่มีตังขนาดนั้นหรอก คือสิ่งเหล่านี้มันต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากอยู่  เขาเลยอาสาจะเป็นนายทุนลงทุนให้  ซึ่งพี่ก็ปฎิเสธไป เพราะ ส่วนตัวไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น แค่ร้องเพลงด้วยความรักเท่านั้น  แต่กลับต้องมาใจอ่อน คือทนลูกตื้อของเขาไม่ไหว และมันก็เป็นความเกรงใจของตัวพี่เองด้วย เลยคิดว่า เอาก็เอาในตอนนั้น เขาบอกพี่ว่าให้ไปติดต่อหาเพลงมา ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ เขาจะเป็นคนจัดการทุกอย่างให้  พี่เลยไปหาครูเพลงท่านหนึ่ง แล้วบอกท่านว่า อยากได้เพลงสัก 1 เพลง ซึ่งเราไม่เคยมีเพลงเป็นของตัวเองไม่เคยมีอัลบั้ม เพียงแค่จะมีคนอาสาลงทุนให้ จึงถามครูว่า มีเพลงไหนบ้างไหมที่จะช่วยสนับสนุน ท่านเลยให้มา 2 เพลง คือ เพลง “คนหลายใจ” กับ “ไม่อิ่มรัก”  ต้องบอกก่อนว่าทุกอย่างคุณครูเป็นคนจัดการให้ ทั้งเรื่องห้องอัด นักดนตรี สถานที่ต่างๆ พอทุกอย่างเรียบร้อยพี่เลยกลับมาบอกเจ้าของโครงการ ซึ่งคือคนที่ลงทุนให้ ซึ่งเขาพูดมาคำเดียวเลยว่า “คิดเหรอว่าเพลงคุณจะดัง”  แต่พี่คิดไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เลยบอกเขาไปว่า “ขอบคุณค่ะที่ให้โอกาสพี่มีชีวิตใหม่” แล้วก็ลากลับ

สุดท้ายแล้วจึงลงทุนทำเพลงเอง

ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนที่จะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้เลยตัดสินใจลงทุนเอง ใช้เงินไปประมาณ 30000 บาท ได้มา 400 แผ่นตอนนั้น เลยมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไงดีกับของพวกนี้ สุดท้ายคิดออกว่าเรามีเพื่อนที่รู้จักก็เอาไปแจกให้เขาฟัง เอาไปให้สถานีวิทยุฟังบ้าง บางสถานีชอบก็เปิดเพลงของเราเรื่อยๆ พอแจกจ่ายหมดพี่เลยสบายตัวแล้วไง เลยกลับมาทำงานประจำของตัวเองตามปกติ ใช้ชีวิตแบบที่ตนเองเคยใช้มาตลอด

มีชื่อเสียงโดยไม่รู้ตัว

เพลงที่เราเอาไปทิ้งๆไว้นั่นแหละมันเกิดดังขึ้นมา แล้วมีหลายคนประกาศตามหาตัว คือประกาศทางวิทยุก็แล้ว จนถึงขั้นลงหนังสือพิมพ์ แต่พี่ก็ยังไม่ออกมา เพราะไม่อ่านหนังสือพิมพ์ไง จนน้องที่ทำงานมาบอกพี่ถึงได้รู้  ซึ่งคนตามหาคือ คุณวรชัย เมโทล  ตั้งแต่ตอนนั้น คุณวรชัยก็เริ่มให้งาน ให้เพลงมาเรื่อยๆ

อยู่ในวงการได้ไม่นาน

พี่อยู่ในวงการได้ 3-4 ปีเท่านั้น  ที่ตัดสินใจหันหลังให้วงการเนื่องจากตอนนั้นพี่มีความรัก จึงตัดสินใจแต่งงาน คือคนเราต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเลือกงาน หรือครอบครัว พี่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว จึงเดินออกมา ไม่ใช่ว่าเราไม่มีอะไรเลย ชื่อเสียง เงินทองก็มีพอสมควร  แต่ครอบครัวนั้นมันเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต จนในที่สุดพี่ก็มีลูก และตั้งใจเลี้ยงเขาอย่างดี เชื่อไหมว่าพี่แทบไม่ดูทีวี ไม่ฟังเพลง เหตุผลในการทำแบบนี้เพื่อตัดใจ และไม่ทำให้เราคิดถึงช่วงเวลาของการทำงาน พี่เชื่อว่าคนเราฟ้าลิขิตชีวิตมาแล้วให้ต้องเดินเส้นทางนี้ เพราะฉะนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ พี่ก็เลือกจะทำแบบเดิม

หันหน้าเข้าหาธรรมมะ

พี่เริ่มศึกษาธรรมมะเป็นจริงเป็นจังได้สักพักแล้ว มันเริ่มต้นจากการที่เรามีปัญหาครอบครัว เลยหันพึ่งทางธรรม ตอนแรกไม่ได้คิดจริงจังขนาดนั้น แต่ทำเพื่อความสบายใจ แต่พอเราได้ศึกษามันทำให้มีสติยั้งคิด  และยอมรับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรเข้ามาเราจะใช้หลักการพร้อมทั้งเหตุผลเข้าช่วย ซึ่งพี่ก็เอาหลักการทางธรรมมาใช้สอนลูกๆ ในการดำเนินชีวิตด้วย

แล้วกับคอนเสิร์ตการกุศล ครั้งนี้ทำไมถึงยอมใจอ่อนกลับมาร้องเพลง

เพราะทนลูกตื้อไม่ไหว  ด้วยความที่ ว.วัชญาน์ (บ่วย) เขาเคยตามหาพี่มาตลอดตั้งแต่พี่ออกจากวงการ เคยตามไปหาถึงหน้าบ้าน บอกว่ามีเพลงที่แต่งเพื่อพี่โดยเฉพาะ แต่เราก็ไม่ยอมใจอ่อนสักที จนคิดว่าตัวเองแข็งกระด้างเกินไปไหมเลยตัดสินใจตอบตกลงที่จะร้องเพลงของเขา หลังจากร้องเพลงของเขาแล้ว เราก็ไม่เคยเจอกันอีก จนบังเอิญมาเจอกันในห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งพี่คิดว่ามันเป็นความบังเอิญ หรือพรหมลิขิตนะ พอบ่วยเขาบอกว่าจะมีงานคอนเสิร์ตการกุศล และรายได้ส่วนหนึ่งก็มอบให้สมาคมผู้สื่อข่าวการกุศลด้วย พี่เลยตอบตกลงโดยไม่ลังเลเลย

สุดท้ายอยากให้ฝากอะไรถึงแฟนๆ ที่ยังคิดถึง

ใครที่ยังคิดถึงพี่ก็สามารถมาเจอกันได้ที่งานคอนเสิร์ตการกุศล “เพลงไทยไพเราะที่สุดในโลก” ในงานจะพบกับศิลปินรุ่นเก่าที่มีชื่อเสียง และยังอยู่ในความทรงจำของทุก ๆคนหลาย ๆท่าน และงานนี้จัดเพื่อการกุศลพี่รับรองว่าแฟนๆที่ไปดูจะต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top