รายการ WOODY INTERVIEW กับศิลปินสาวเสียงดีที่มาแรงแห่งยุค โบกี้-พิชญ์สินี วีระสุทธิมาศ หรือ โบกี้ ไลอ้อน ใครจะรู้ว่าเบื้องหน้าบนเวทีที่ดูสวยเป๊ะ แต่ลึกๆ นั้นเธอเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองอย่างมาก คิดว่าไม่สวยตั้งแต่เด็กจนโต อีกทั้งยังเป็นโรคทางจิตเวชรุมเร้า เคยคิดสั้นถึงขั้นอยากดีไซน์การเสียชีวิตด้วยตัวเอง เผยเรื่องเบื้องลึกชีวิตครอบครัว และความคลั่งรักถึงขั้นเคยขอแฟนแต่งงาน
● ที่บอกว่าโบกี้มีปัญหาทางจิตเวชเป็นอะไรบ้าง
เป็นโรควิตกกังวล (Anxiety Disorder),โรคภาวะตื่นตระหนกเฉียบพลัน (Panic Disorder),โรคซึมเศร้า (Depress) และโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder)
● สาเหตุเกิดจากอะไร เริ่มจากตรงไหน
จริงๆ เริ่มจากอาการนอนไม่หลับก่อน คือไม่สามารถพูดได้ว่าอันไหนคืออันแรก เพราะจริงๆน่าจะเป็นมาตลอดชีวิต แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เป็นมันคือโรค โบเป็นคนแบบว่าชอบซื้อของไว้เยอะๆ สมมุติชอบอะไรอย่างหนึ่งก็จะย้ำอยู่แต่แบบนั้น เช่น วันนี้ฉันจะซื้อสบู่ ในหัววันนั้นก็จะคิดซื้อสบู่ๆ จะกดสบู่ไปเรื่อยๆ ซื้ออีกๆ ทำให้อะไรก็ตาม สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แม้กระทั่งต่างหูเสื้อผ้า จะมีซ้ำกันมากกว่า 10 ชิ้น ก็เราคิดว่าสิ่งนี้ปกติ ถ้าน้ำมันหมด หมดของคนอื่นอาจจะมีใกล้หมดจริงๆ ขีดแดง แต่หมดของโบคือเกินครึ่งถังแปลว่าหมด คือเป็นคนค่อนข้างล่วงหน้าอันนี้ก็คิดว่าเนี่ยอาจจะเป็นข้อดีของเราไหมเพราะว่าเราเป็นคนล่วงหน้ามากๆ แล้วก็เตรียมพร้อมไว้กับสถานการณ์ทุกอย่าง แต่ความจริงมันไม่ใช่มันเป็นโรค แล้วก็เรื่อง Depression ภาวะซึมเศร้า ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นหรืออะไร แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเองต่ำมาก ไม่สามารถหาข้อดีของตัวเองได้ตั้งแต่เด็กจนโต แล้วก็เวลาขึ้นเวทีส่องกระจกทีไร รู้สึกไม่สบอารมณ์ตลอดเลย เพราะรู้สึกว่าทำไมเราน่าเกลียดอย่างงี้ตั้งแต่เด็กจนโต หาข้อเสียของตัวเองเจอตลอดเวลา เราอาจจะคิดว่าเราร้องเพลงได้แต่ว่าเราก็ร้องเพลงไม่ได้ดีขนาดนั้น บางทีอาจจะคิดว่าเราสวยแต่ว่าเราสวยเพราะเราแต่งรูปอะไรแบบนี้ มันจะหาข้อโต้แย้งมาตลอด บวกถึงเรื่องการอยู่คนเดียวแล้วมีความรู้สึกแบบการคิดสั้น ไม่รู้ว่าเรียกว่าคิดสั้นได้หรือเปล่า อยากดีไซน์การเสียชีวิตด้วยตัวเองอะไรแบบนั้น รวมถึงอาการ Panic ก็คือกลัวอะไรบางอย่าง อย่างรุนแรง เช่น กลัวตัวเองเข้าโรงพยาบาล กลัวตัวเองป่วย แล้วก็อ่อนไหวกว่าชาวบ้าน จะเกิดอาการเมื่ออยู่ในที่แคบเข้าไปในลิฟต์แล้วติดลิฟต์บ้างหรือเข้าห้องน้ำแล้วเปิดประตูไม่ออก
● Anxiety กับ Panic แยกกันไหม
สำหรับโบ ไม่ได้คล้ายขนาดนั้น แต่ก็มีตัวเชื่อมกัน Anxiety จะมาในชีวิตประจำวันโบเลยตั้งแต่เด็กจนโตโดยที่ไม่สังเกต สมมุติวันนี้โบล็อกกรงหมาแล้วโบก็ออกจากบ้าน แล้วทั้งวันจะคิดอยู่แค่ล็อกกรงหมาหรือยัง ทั้งๆ ที่มันเห็นว่าล็อกแล้ว ซึ่งวิธีแก้ก็คือซื้อกล้องวงจรปิดมาดูเลย แต่บางทีมันก็ยังไม่มีความเชื่อตัวเองอยู่มันอาจจะเชื่อมกันหมดเลย ก็คือโรคอาจจะเป็นจิตเวชประเภทเดียวกัน แต่ว่าอาจจะมีความแตกต่างกันในลักษณะการเจอ น่าจะมาจากความไม่มั่นใจในตัวเอง ว่าได้ทำสิ่งนั้นสำเร็จจริงหรือเปล่าก็จะมีความย้ำคิดย้ำทำกับอะไรเดิมๆ เช่น ดูกระจกตลอดเวลา ซึ่งคาแร็กเตอร์การส่องกระจกบนเวทีไม่ได้มาจากความอยากเฟียซหรืออะไรทั้งนั้น มันมาจากความที่โบไม่สามารถรับได้จริงๆ คือไม่คิดว่าตัวเองสวยอยู่แล้วถ้าเลือกได้อยากเลือกเวทีที่มันเป็นกระจกรอบด้าน ในทีมผู้จัดการของโบมีอยู่ 4 คนต่างคนต่างก็จะมีหน้าที่พิเศษ เราก็จะเชื่อใจเขา เพราะว่าเราเชื่อใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง
ในวัยเด็กมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นใครบางคนอาจจะบอกเราว่า ไม่สวยพอ ไม่ดีพอ เราไม่ใช่
มีเยอะมาก มีทั้งสถานการณ์ในครอบครัว ไม่แน่ใจว่าที่บ้านอาจจะวางแผนมีลูกคนเดียวหรือเปล่า แล้วเราดันเป็นอีกคนที่ออกมาแล้วเราก็เกิดก่อนกำหนด มีความบกพร่องหลายๆ อย่างทางร่างกาย แล้วเราเองก็หน้าตาไม่ได้น่ารักตั้งแต่เด็ก ความไม่มั่นใจทางร่างกายก็อาจจะมีความพิเศษนิดหนึ่งก็คือ เคยโดนคนที่บ้านซ้อมตอนเด็กแล้วก็ทำให้ขาลาย เรื่องนี้ไม่ค่อยได้เล่าที่ไหนเพราะว่าตัวเองก็ไม่ได้โฟกัสเรื่องนี้ ไม่ได้อยากเรียกร้องความสงสารหรืออะไร เพราะมันผ่านมานานแล้ว แต่ว่าเราเพิ่งฉุกคิดได้ตอนโตว่าสิ่งนี้มันคือการซ้อม แล้วก็ร่องรอยตามขาตามตัวของเราที่ไม่มั่นใจในทุกวันนี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แผลบางอย่างทั้งทางร่างกายและจิตใจมันก็เป็นแผลเป็นมาถึงตอนโตเนอะ แล้วรู้สึกว่าก่อนหน้านี้สักประมาณ 2-3 ปี โบไม่ใช่ โบกี้ ไลอ้อนแบบนี้ โบเป็นคนที่ทำผมทรงเดิมๆ คือฟูๆ สิงโต แล้วเสื้อก็จะใส่แบบเดิมๆ กับกางเกงเอวสูง คือจะเป็นคนไม่ใส่กางเกงขาสั้นหรืออะไรสั้นเลย เพราะรู้สึกว่าหลังก็ต้องปิดเพราะมีรอยสิว ส่วนขาก็จะมีร่องรอยแผลเป็นเยอะมาก บางอย่างที่มันช้ำ มันก็ช้ำอยู่อย่างงั้นมาจนโต บางสิ่งที่มันหายไปแล้วบางทีก็อยู่ในใจเนอะ เรารู้สึกว่า ตอนนี้เรามีข้อบกพร่องหลายอย่างในตัว แล้วเรามองเห็นมันด้วย เราก็รู้สึกว่าปิดเถอะ
● โมเมนต์ไหนบนเวทีที่ทำให้เรารู้สึกฟิน
ทุกตอนเลย บางวันหนูรู้สึกว่าชีวิตไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ มันมีช่วงหนึ่งที่หนูรู้สึกว่าทำงานทุกวัน มันเป็นจุดที่ไม่ว่าเราจะขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกว่ามันอ้างว้างเหลือเกิน มันไม่ได้มีครอบครัวที่คอยภูมิใจในตัวเราขนาดนั้น เหมือนรู้สึกว่าวังเวงมากๆ นี่เราทำอะไรอยู่ แต่พอขึ้นเวทีไปความรู้สึกดาวน์ เศร้า หรือนอยด์ ทุกอย่างหายไปเลย แค่ได้ยินเสียงคนที่มารอดู พูดแล้วอาจจะดูเวอร์แต่ว่าทุกครั้งที่รู้สึกว่าไม่อยากอยู่บนโลกนี้ อย่างเดียวที่ยึดโบไว้ที่นี่คือ...“อยากตายแต่เสียดายจินตนาการ” เสียดายที่จะส่งต่อความรู้สึกของตัวเองผ่านบทเพลงให้คนอื่นต่อไป เสียดายที่จะอดฟังเสียงคนดูที่ร้องเพลงที่เราแต่งขึ้นมา โบรู้สึกขอบคุณโรคต่างๆ เหมือนกันนะ ตอนแรกโบก็ค่อนข้างเซ็งที่เราต้องเจออะไรแบบนี้สุดท้ายแล้วถ้าเราไม่เศร้า ถ้าเราไม่ย้ำคิดย้ำทำจนจดนู่นจดนี่ เราก็ไม่ได้มีเพลง
● เป็นคนที่ตรงไปตรงมาในโซเชียลมีเดีย
ตรงค่ะ จริงๆ หนูตรงมากๆ เลย แต่ว่ามันไม่ใช่แค่ตรงอย่างเดียว เมื่อก่อนย้อนไปน่าจะ 5 ปี หนูค่อนข้างเป็นคนตลกไง แล้วหนูก็ใช้คำหยาบ
เยอะมากๆ แม่เตือน ทางค่ายก็เตือนว่าเป็นภาพลักษณ์ของเรา หนูก็คิดก็มันตลกอ่ะ บางทีมันมีอรรถรส พอเราโตขึ้นๆ เราก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงนะ มันตลกจริงแต่ในกลุ่มคนบางกลุ่มที่เสพไม่ใช่กลุ่มคนส่วนใหญ่ในประเทศ เพราะว่ายังมีคนหลากหลายช่วงอายุที่ติดตามเรา หนูยอมรับว่าหนูมาร้องเพลงไม่ได้มาเป็นตัวอย่างให้ใคร การกระทำมันก็เป็นส่วนของการกระทำแต่ผลงานก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่ได้เอาคำหยาบไปใส่ในผลงาน สุดท้ายการอยู่ตรงนี้ก็ยอมรับจริงๆ ว่าทุกคนบนโลกถ้าเขาชอบศิลปินหรือมีใครเป็นต้นแบบเขา เราก็ควรจะประพฤติตนให้มันเหมาะสมและวุฒิภาวะที่หนูอาจจะยังไม่ค่อยมี ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ บางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ก็จะไม่ตอบโต้
● เลิกกับแฟนที่คบกันมา 6 ปี? ได้เขียนเพลงถึงเขาบ้างไหม
ใช่ค่ะ เรื่องที่เขียนมาจากเรื่องในชีวิตทั้งหมดเลยค่ะ มีเขียนถึงแฟนด้วย แล้วก็มีเขียนถึงอะไรก็ตามที่ผ่านมาในชีวิต
● เป็นคนรักแฟนแบบไหน
หนูเป็นคนคลั่งรักนะ ใน 6 ปี มันไม่ได้มีอะไรที่แย่เลยค่ะ เราคบกันแทบไม่ได้มีการทะเลาะกัน ทะเลาะกันเรื่องเดียวคือเรื่องงาน แต่มันแค่มีความรู้สึกว่าเป้าหมายในชีวิตบางจุดไม่ตรงกัน นี่พูดตรงๆ เคยขอเขาแต่งงาน แล้วแฟนช่วงนั้นก็ไม่ได้พร้อม แต่เป็นช่วงที่เรารู้สึกจริงๆ ไม่พร้อมตอนนี้แล้วจะตอนไหน จริงๆ นี่เป้าหมายหลักในชีวิตนะ ไปเจอพ่อเขาก็ ป๊าคะ หนูอยากแต่งงานแล้วค่ะ หนูขอเลยได้ไหมคะ คุณแม่คะหนูขอได้เลยไหมคะ อะไรแบบนี้ แต่เขาก็น่าจะเป็นห่วงเราในเรื่องของอนาคตเรื่องการงาน เขาก็ไม่ได้เชิงปฏิเสธ แต่ก็อารมณ์แบบว่าสมมุติว่าเป็นปีนี้มันก็จะถูกเลื่อนๆ ไป เราก็เป็นคนที่ค่อนข้างหมุนตามโลกของเขา ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี แต่ว่าสุดท้ายโบก็โทษตัวเองนะ โบแค่รู้สึกว่าพอมันผ่านอะไรมาเยอะๆ แล้ว โบเองเป็นคนเลือกที่จะไม่ค่อยพูดกับเขาเท่าไหร่ พอไม่พูดมันกลายเป็นปมอะไรบางอย่างในใจ กลัวพูดแล้วเดี๋ยวจะผลกระทบแบบนี้ เสียอารมณ์กัน ก็เลยไม่มีการทะเลาะกัน ไม่มีการคุยกันด้วย เอาจริงๆ เขายังเป็นหนึ่งคนที่คอยสนับสนุนกันและกันเสมอ เขารู้จักเราในทุกจุดอ่อน ในทุกความกลัว ในทุกความฝัน เพราะฉะนั้นเราไม่เคยเกลียดแฟนเก่าเลย เราจะสนับสนุนเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีแฟนใหม่เราก็บอก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี