‘กิตติ สิงหาปัด’  และ ‘สิงห์ วรรณสิงห์’ เป็นตัวแทนคนไทย เข้าช่วยเหลือผู้ลี้ภัยใน ‘ประเทศโมซัมบิก’

‘กิตติ สิงหาปัด’ และ ‘สิงห์ วรรณสิงห์’ เป็นตัวแทนคนไทย เข้าช่วยเหลือผู้ลี้ภัยใน ‘ประเทศโมซัมบิก’

วันพุธ ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2567, 20.44 น.

ความขาดแคลน การอพยพหลีกหนี มักเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ และบ่อยครั้ง โดยเฉพาะประเทศที่เราอาจจะไม่คุ้นหู หรือแทบจะไม่เคยได้ยินกันมาก่อน พวกเขาอาจจะกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่แสนยากลำบาก เลวร้าย และต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยทั้งที่ไม่ทันตั้งตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทาง “UNHCR” หรือ “สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ” ไม่เคยนิ่งนอนใจ พร้อมเข้าช่วยเหลือ ฟื้นฟู และคุ้มครองผู้ลี้ภัย ผุดแคมเปญน่าสนใจภายใต้ชื่อ “NOWHERE TO RUN” หรือแคมเปญวิกฤตที่ไม่มีทางออก เป็นแคมเปญระดับโลกของ “UNHCR” ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2566 เพื่อการระดมทุนช่วยเหลือ และหาทางออกให้เด็กและครอบครัวผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นจากสงคราม ภัยพิบัติ และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศทั่วโลก โดยในประเทศไทย เราตั้งใจที่จะระดมทุนจำนวน 10 ล้านบาท เพื่อมอบบ้านที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างโหดร้าย 100 หลัง เพื่อฟื้นฟู เยียวยาผู้พลัดถิ่นและผู้ลี้ภัยใน 22 ประเทศเพื่อช่วย 32 ล้านคนที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งและภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างไม่มีทางออก


ซึ่งครั้งนี้ทาง UNHCR” ได้ร่วมมือกับ “กิตติ สิงหาปัด” และ “สิงห์-วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล” ผนึกกำลังเป็นอันหนึ่งอันเดียวในฐานะตัวแทนคนไทย เพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในประเทศโมซัมบิก วันนี้จะพาไปติดตามบทสัมภาษณ์พิเศษของทั้งคู่ถึงแนวคิด แนวทางการช่วยเหลือ และความคืบหน้าต่างๆ

คำถาม: สถานการณ์ขณะที่ไปเป็นอย่างไรบ้าง

กิตติ: ตอนที่ไปยังไม่มีการสู้รบ แต่พื้นที่ขัดแย้ง (ทางเหนือ) ยังไม่สงบครับ คล้ายกับภาคใต้ของบ้านเรา คือเป็นกลุ่มมุสลิมสู้กับทหารของรัฐบาลในทางเหนือของค่ายที่เราไป เรายังพูดได้ไม่เต็มปากว่า “สงบ” เขาจะสู้รบกันเป็นพัก ๆ แต่จะรุนแรงกว่าบ้านเรา เพราะมันทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบไปด้วย บางคนก็เสียชีวิต เลยต้องหนีมาตรงนี้ครับ ตรงนี้ไม่นับรวมอีกค่ายหนึ่งนะ เพราะที่นั่น (ประเทศเพื่อนบ้านในทวีปแอฟริกา) มีหลายประเทศ สถานการณ์แตกต่างกันไป (เสริม: ที่โมซัมบิกจะมีผู้ลี้ภัยราว 30,000 คน และมีผู้พลัดถิ่นอยู่อีก 1 ล้านคน มีหลายคนต้องหนีภัยธรรมชาติอย่างพายุตลอดกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา)

สิงห์: แต่กลุ่มเหล่านี้คือพวกที่หลบหนีความขัดแย้งมาแล้วรอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็มาเจอภัยพิบัติทางธรรมชาติในที่ที่ตัวเองหนีภัยจากมนุษย์มา ในขณะเดียวกัน UNHCR ก็ไม่อยากให้พวกเขาต้องลี้ภัยซ้ำซ้อนอีก เพราะสุดท้ายแล้ว เราสามารถหนีจากความขัดแย้งได้ แต่เราไม่สามารถหนีจาก climate change (การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ) ได้ ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ในแคมเปญนี้หรือการบริจาคนี้ คือการทำให้พื้นที่ตรงนี้ “พออยู่ได้” ในเชิงที่ว่าพวกเขาสามารถปลูกบ้านอยู่ได้ ปลูกพืชผลพอขึ้น มีพลังงานใช้ มีน้ำสะอาดใช้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ปัจจุบันเงื่อนไขเหล่านี้ไม่สามารถบรรลุได้เลย เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปมาก

คำถาม: เราสัมผัสอะไรได้จากคนที่โมซัมบิก (สีหน้า ท่าทาง)

กิตติ: มี 2 ส่วนนะครับ คือในแง่หนึ่ง เราประทับใจ ค่ายลี้ภัยที่โมซัมบิกมีชุมชนดั้งเดิมอยู่รอบ ๆ ไม่ว่าจะเป็นมาราเควเน (Marracuene) หรือ ควิลมีาเน (Quelimane) คนโมซัมบิกเองเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เขายอมให้ผู้ลี้ภัยมาอยู่ในถิ่นของเขา ต่างกับบ้านเรา ถ้าเราให้ผู้ลี้ภัยมาอยู่ข้างบ้าน เราก็คงไม่ชอบนะ แต่คนโมซัมบิกเขายอม สามารถตั้งค่ายผู้ลี้ภัยได้ จริง ๆ เมื่อเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาอยู่เหมือนเป็นเพื่อนบ้านกันด้วยซ้ำ เพราะทางรัฐบาลโมซัมบิกกับทาง UNHCR ก็ร่วมมือกันสนับสนุนให้ชาวบ้านตรงนี้มีรายได้ พอขายของได้ด้วย ส่วนผู้ลี้ภัยเขาก็สู้ มีความหวัง แม้โอกาสที่จะกลับบ้านเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อย โครงการนี้มีงานให้เขา เช่น การปักเย็บ การทำขนมปัง งานช่างต่าง ๆ เขาก็พยายามทำให้ได้มากที่สุด มีรายได้มาจุนเจือตัวเอง เขาพยายามจะพึ่งพาคนอื่นให้ได้น้อยที่สุด แต่อย่างไรความหวังสูงสุดของเขาก็คือ การกลับบ้าน การกลับไปใช้ชีวิตต่อ ที่บ้านเขายังพอมีอนาคต แต่ที่ลี้ภัยประสบภัยธรรมชาติ (ไซโคลน) แล้วคนเหล่านี้ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เลย

สิงห์: อีกแง่หนึ่ง จากที่ได้คุยกับผู้พลัดถิ่น ผมถามเขาคนหนึ่งว่า “ระหว่างสงครามกับไซโคลน อะไรแย่กว่ากัน” เขาตอบว่า ไซโคลนยังพอทนได้ แต่บ้านที่มีสงครามนี่รุนแรงกว่า คือพอมีภัยธรรมชาติแล้ว คนเขาร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งมากกว่าในสภาวะสงคราม แค่สุดท้าย มันก็หนักทั้งคู่นั่นแหละ แล้วยังมีกลุ่มที่ต้องโดนทั้ง 2 อย่างด้วย อย่างโมซัมบิกนี่ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ต้องเผชิญกับไซโคลน แล้วก็มีภาวะสงครามด้วย คือหลังจากที่ไปกับ UNHCR ผมได้ไปที่สาธารณรัฐคองโก (Republic of Congo) ที่ลี้ภัยที่นี่หนักกว่าโมซัมบิกมาก คน 20-30 คนต้องนอนกันอยู่ในที่แคบ ๆ ทนน้ำท่วม ทนฝน มีโรคระบาด ตั้งแต่อีโบลา ไข้เหลือง ไปจนถึงท้องเสีย ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ แม้กระทั่งคนจบปริญญาตรียังต้องเป็นขอทาน และการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศได้ทวีคูณความลำบากเหล่านี้ให้หนักขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ผู้ประสบภัยกลุ่มแรกนี่เขาไม่ได้ปล่อยคาร์บอนเลย

คำถาม: คิดอย่างไรกับคนอีกซีกโลกหนึ่งปล่อยคาร์บอนไปกระทบกับกลุ่มเปราะบางที่อยู่ในอีกซีกโลกหนึ่ง เราสามารถทำอะไรได้บ้าง

สิงห์: คือวิกฤติ climate change ไม่ใช่วิกฤติทางธรรมชาติ แน่นอนว่ามันเป็นผลพวงจากการที่มนุษย์ไปสร้างผลกระทบต่อโลก แต่การตอบสนองต่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเมือง สังคม และเป็นวิกฤติเรื่องความเหลื่อมล้ำอย่างมหาศาล ซึ่งปกติแล้ว เมื่อพูดถึงความเหลื่อมล้ำ เรามักจะคิดถึงคนเมืองกับคนชนบท นั่นคือความเหลื่อมล้ำระดับท้องถิ่นหรือประเทศ แต่พอเป็นเรื่องภูมิอากาศ มันเป็นความเหลื่อมล้ำระดับโลกที่มนุษย์ที่หนึ่ง (เช่น นิวยอร์ก กรุงเทพ) ทำ มักจะมีผลกระทบต่อคนในอีกซีกโลกหนึ่ง (เช่น ฟิจิ) ด้วย แล้วเราก็เป็นมนุษย์ยุคแรกที่จะได้เห็นผลกระทบของการเปลี่ยนแปลทางสภาพภูมิอากาศนี้จริง ๆ หลังจากก่อนหน้านี้รู้เพียงแค่ทฤษฎี เพราะฉะนั้น โลกต้องการระบบการจัดการที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ แต่เรายังไม่มีเลยตอนนี้ เรามี UN ศาลนานาชาติ องค์การต่าง ๆ แต่ก็ทำได้แค่ขอความร่วมมือเท่านั้น ไม่สามารถทำให้คนที่ปล่อยคาร์บอนชดใช้ในทางกฎหมายนานาชาติได้ อย่างในการประชุม COP28 ก็มีการคุยกันเรื่องชดใช้ความเสียหายจากประเทศที่เจริญแล้วไปสู่ประเทศอย่างคองโกหรือโมซัมบิก แต่มันก็เป็นเพียงทางความคิดมากกว่าเชิงปฏิบัติ แล้วเราเหลือเวลาไม่มากแล้ว เพราะทุกวันนี้มีคนที่ประสบภัยอย่างนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ นับล้านคนแล้ว ดูอย่างตอนโควิด คนที่มีเงินเยอะกว่าสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่าคนยากจน เรื่องนี้ก็เหมือนกัน (เสริม: UNHCR ตั้งเป้าจะลดปริมาณการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ในปี 2530 เราจะลดการปล่อยแก๊สนี้ลงครึ่งหนึ่ง)

กิตติ: คือโรงพยาบาลที่ Marracuene มีโรงพยาบาลของศูนย์ลี้ภัยอยู่ แล้วมันน่าสนใจตรงที่ตอนที่ถูกไซโคลนโจมตี เขาโดนหนักมากถึงขั้นที่ห้องผู้ป่วยเด็กเหลือแค่ฐานของตึก เพดานโบ๋ แต่มันก็ดีที่ว่าทั้งชุมชนกับผู้ลี้ภัยใช้ร่วมกัน (โรงเรียนก็เช่นกัน) พอมีภัย เขาก็ช่วยกันซ่อมแซม จนมันกลายเป็นพื้นที่ของชุมชน ใช้ร่วมกันได้  อีกที่หนึ่งก็เหมือนกัน และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ชุมชนรอบ ๆ ค่ายลี้ภัยอยู่ร่วมกันกับผู้ลี้ภัยได้อย่างสงบ แล้วทาง UNHCR ก็เข้าไปช่วยบูรณะโรงเรียน โรงพยาบาลของเขาให้ได้เกินมาตรฐานไปแล้วด้วย อย่างตอนโควิด เขารับมือได้ดีมาก มีผู้ป่วยน้อยมาก ๆ แม้จะเป็นเขตที่น่าจะประสบภัยก็ตาม ส่วนเรื่องโลกร้อน การลดแก๊สเรือนกระจกไม่ใช่เรื่องง่าย มีความแตกต่างหลายอย่างในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม หรือสังคม ดังนั้น การหาจุดเหมือนจึงเป็นเรื่องยาก แล้วไหนจะมีปัญหาด้านวิทยาศาสตร์อีก แต่อนุสัญญาต่าง ๆ เช่น อนุสัญญา CITES หรือบาเซล แต่ UNFCCC นี่แตกต่างออกไปจากทั้งสองอย่างนี้ เพราะมันจะยากที่จะควบคุมการปล่อยแก๊สเรือนกระจก มันจึงมีความคืบหน้าน้อยมาก

สิงห์: ถ้าเราดูประเทศที่ลดคาร์บอนสำเร็จในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมานี้ มักเป็นประเทซในยุโรปทั้งนั้น ส่วนอเมริกาลดไปได้เพียง 6% เท่านั้น ดังนั้น หมายความว่า มันต้องมีการพัฒนาเศรษฐกิจไปได้ในระดับหนึ่งก่อน จึงจะลดแก๊สเรือนกระจกได้สำเร็จ จีนเองก็เริ่มหันมาสนใจเรื่องนี้แล้ว และถ้าจีนสำเร็จในการลดคาร์บอน มันจะมีผลต่อทั้งโลกด้วย เพราะประชากรของเขาเยอะมาก

คำถาม: climate change มีผลกระทบต่อการลี้ภัยมากแค่ไหน ถ้ายังแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น

สิงห์: นอกจากโมซัมบิกแล้ว ยังมีพื้นที่ที่ต้องอพยพเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศล้วน ๆ เลยด้วย แบบนี้เขาเรียก “climate refugee” สมมติว่า น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนปะการังฟอกขาวไปแล้วประมาณ 4 ครั้ง ฟอกขาวเกือบทั้งโลกเลย มันหมดความสามารถในการสังเคราะห์แสงจนตายไป แล้วปะการังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเล พอปลาเล็กเกิดไม่ได้ ปลาใหญ่ก็ไม่มีอาหาร ก็เลยส่งผลกระทบต่อคนตามมา สมตติว่า ภาคใต้ของเราได้รับผลกระทบตรงนี้ จากคนที่เคยทำประมง เขาจับปลาไม่ได้ ไม่มีรายได้ ก็ต้องขึ้นมาขับแท็กซี่ในเมืองหลวงอย่างนี้ ปัญหามันก็จะซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีคนที่อยู่ในที่ที่เขาเคยอยู่ไม่ได้แล้ว (เสริม: ดังนั้น UNHCR จึงต้องปรับตัวมาช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจากภัยธรรมชาติด้วย) ยิ่งถ้ามาจากประเทศที่ไม่รวย เขาก็จะยิ่งไม่มีความสามารถในการรับมือเรื่องนี้นัก

กิตติ: มันก็เยอะแน่นอน ตอนเราไปโมซัมบิก เราเห็นชัดที่มันมีไซโคลน ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอย่างชัดเจน แต่มันยังมีอย่างอื่นอีก เช่น ภัยแล้ง พืชผลเสียหาย คนไม่มีอาชีพ คนไม่มีที่ไป พออากาศเปลี่ยน มันแล้งก็แล้งหนัก ในก็ฝนหนัก

คำถาม: ภาพจำของประเทศที่เกิดสงครามหรือวิกฤติต่าง ๆ ก่อนไปกับหลังไปแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน

สิงห์: ก่อนไป ผมอาจเข้าใจสิ่งนี้ในเชิงทฤษฎี แต่พอได้เห็นวิถีชีวิตแล้ว ผมซึมซับความรู้สึกของผู้ประสบภัยเข้ามาจนรู้ลึกและละเอียดมากขึ้น มันทำให้ผมเล่าเรื่องได้ดีขึ้นด้วย และหวังว่าจะทำให้สังคมเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้มากขึ้นด้วย

กิตติ: ก่อนไป ย้อนไปถึงวัยเด็กเลยนะ ผมอยู่ในช่วงสงครามอินโด-จีนพอดี ผมจะมีภาพจำว่า ศูนย์อพยพสงครามอินโด-จีนมีคนเขมร เวียดนามหนีสงครามมา เรารู้สึกว่ามันโหดร้ายจริง ๆ นั่นคือภาพของผู้อพยพที่ผมมีมาตั้งแต่เด็ก ๆ พอโตมาปัญหาพวกนี้มันหมดไป ผมเป็นนักข่าวมาก็ไม่ค่อยได้ทำข่าวผู้ลี้ภัยเลย พอ UNHCR มาชวนไป ก็เลยได้โอกาสไปให้เห็นกับตาว่า ภาพจำของเรากับสิ่งที่จะเห็นจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่า ศูนย์ผู้ลี้ภัยมันต่างกันไปในแต่ละที่อยู่แล้ว แต่ในทางกายภาพไม่ต่างกันนัก ชีวิตเขามันน่าสงสาร แต่ที่โมซัมบิกมันไม่เลวร้ายขนาดนั้น อย่างน้อยยังมีพื้นที่ให้ปลูกผักให้กิน แต่จิตใจคนเขาไม่ต่างกันหรอก ไม่ว่าจะผ่านมากี่สิบปี สงครามไม่เคยปราณีใคร มันไม่สร้างความดีอะไรให้ใครเลย แล้วคนที่มาอยู่ที่ศูนย์ลี้ภัย เขาเป็นคนที่ไม่มีที่ไปจริง ๆ อย่างน้อยเราต้องช่วยเขาให้เขาพอมีกินได้บ้าง แล้วเดี๋ยวเขาจะจัดการชีวิตเขาต่อเอง

สิงห์: การนั่งรอให้มีคนช่วยเหลืออย่างเดียว นี่ก็เป็นการทรมานจิตใจอย่างสาหัสแล้วนะ อย่างตอนไปโมซัมบิก ผมได้สัมภาษณ์พี่คนหนึ่ง ซึ่งหนีตายมาเจอไซโคลน ตอนแรกเขาก็เล่าแบบเครียดมาก แต่พอถามถึงสิ่งที่เขาทำ (เป็นช่างเชื่อมเหล็ก) เขากลับยิ้มแย้มขึ้นมาทันที และนี่คือหัวใจของชีวิตมนุษย์ การทำอะไรที่มีประโยชน์สักอย่างหนึ่ง แม้เขาจะอยู่ในที่ลำบาก แต่เขากลับเจอสิ่งที่เขารัก แต่คนอื่นอาจไม่โชคดีอย่างพี่คนนี้ ที่อื่น ๆ ยังมีคนที่ได้แต่นั่งรอความช่วยเหลือไปวัน ๆ อยู่อีกมากนะครับ

คำถาม: มีความประทับใจอะไรจากคนท้องถิ่นบ้างไหม

กิตติ: น่าจะมีเยอะ แต่เวลาเราน้อย เราเลยได้คุยกับผู้ลี้ภัยไม่มาก แต่สำหรับคนที่เราคุย อย่างหัวหน้าศูนย์ผู้ลี้ภัย เขาพยายามขอบคุณเรา มาเล่าเรื่องให้เราฟัง โดยเฉพาะเรื่องอาหาร เขาบอกว่า ปกติจะได้ถั่ว ข้าวมากิน เนื้อสัตว์ไม่มีเลย มาเล่าเบื้องหลังให้เราฟัง อยากให้เราไปเล่าต่อให้คนทั้งโลกได้รู้ ส่วนชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ เราไปคุยแล้ว เขาก็บอกว่า เขาดีใจที่มีผู้อพยพมาอยู่ใกล้ ๆ เขาก็ขอบคุณเรา มีมิตรภาพดี ๆ ร่วมกัน กลับมาแล้ว 2 อาทิตย์ ผมยังคิดถึงโมซัมบิกอยู่เลย เป็นประเทศที่ผมพร้อมกลับไปอีกครั้งมาก แม้จะไปแป๊บเดียวก็ตาม

สิงห์: ถ้าเป็นโมซัมบิก ผมเห็นด้วยเลยครับ เขา appreciate กับ UNHCR หรือองค์การอื่น ๆ ที่ช่วยเหลือพวกเขามาก แต่ผมจะเสริมเรื่องค่ายผู้ลี้ภัยทั่วโลกอีกหน่อย พอผมไปเอง ผมได้เห็นสิ่งที่น่าหดหู่กว่านั้น พอผมได้เห็นผมรู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำที่เราได้คอนเทนต์กลับบ้าน แต่ไม่ได้ทำอะไรช่วยพวกเขาเลย อย่างที่อัฟกานิสถาน ผมรู้สึกได้ถึงความโกรธของชาวอัฟกานิสถานจริง ๆ หรืออย่างที่คองโก เวลานั่งรถไป จะมีเด็กวิ่งไล่ตามรถเพื่อขอเงิน ทุกคนอยู่ในโหมดเอาชีวิตรอดอย่างดุดัน ดังนั้น ผมจึงต้องขอบคุณพวกเขาด้วยซ้ำ ที่ให้ผมได้ไปถ่ายทำและเล่าเรื่องของพวกเขาออกมา

คำถาม: นอกจากแคมเปญ “Nowhere to Run” ที่โมซัมบิกแล้ว ทั้งสองท่านจะร่วมมือกับ UNHCR มีส่วนในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยอย่างไรอีกบ้าง

พี่จิ: หลังจากนี้แล้ว วิกฤติต่าง ๆ ที่เกิดจากน้ำท่วม อย่างในบราซิล อัฟกานิสถาน รวมถึงสถานการณ์ในบ้านเรา (ผู้อพยพจากพม่า) ก็ต้องการความช่วยเหลือเช่นกัน แล้วยังมีคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติอีกนับล้านคน

สิงห์: แต่เฉพาะแคมเปญนี้จะไปช่วยประเทศที่ประสบภัยเรื่อง climate change ก่อน

กิตติ: ผมถามเรื่องบ้านกับผู้ลี้ภัยตอนไปโมซัมบิก บ้านคนหนึ่งเป็นดินโปะ ๆ มันจึงเกิดความจำเป็นที่ว่า บ้านที่สร้างมาต้องมีความแข็งแรง ทนลมทนแดดได้ และในฐานะที่เราเป็นสื่อ มันก็เป็นความรับผิดชอบของเราที่อยากให้คนเห็นเรื่องพวกนี้เยอะ ๆ คนจะได้เข้าใจ แบบนี้เราก็ยินดีแล้ว แต่ต่อไปจะไปที่ไหน ก็เป็นเรื่องของอนาคต (เสริม: นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่ร่วมงานกับ UNHCR และในอนาคตจะร่วมงานกันต่อแน่นอน)

สุดท้าย ฝากให้สื่อต่าง ๆ ช่วยประชาสัมพันธ์เรื่องการบริจาค อย่างน้อยคนละ 10 บาท จะช่วยกันสร้างบ้านให้กับผู้ลี้ภัยในโมซัมบิกได้ ส่วนของสิงห์กำลังจะมีสารคดีสั้น “Nowhere to Run” (ชื่อเหมือนแคมเปญ) ออกมาให้ได้ชมกัน ฉายครั้งแรกวันที่ 6 มิ.ย. นี้ ที่สยามพารากอน เป็นอีกก้าวหนึ่งที่ได้ร่วมกับ UNHCR

เสริมเรื่องบ้านของผู้ลี้ภัยที่โมซัมบิก

กิตติ: ทาง UNHCR ต้องการส่งเสริมให้ทั้งชาวบ้านท้องถิ่นและผู้ลี้ภัยอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข และคนที่นั่นใช้น้ำ ไฟฟ้าฟรี รัฐบาลโมซัมบิกเอื้ออำนวยมาก

สิงห์: ในทางกลับกัน ที่สงครามในยูเครน เขาอยู่กันสบายกว่าที่โมซัมบิก มีอินเทอร์เน็ตใช้ เพราะคนทั้งโลกให้ความสนใจกับที่นั่น เลยมีการบริจาคกันมาก

เสริมเรื่องผู้หญิงและเด็กในโมซัมบิก

พี่จิ: เด็กกับผู้หญิงเป็นกลุ่มเปราะบางมากอยู่แล้ว ยิ่งพอเจอทั้งสงครามกับสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง มันก็หนักเข้าไปอีก เราจึงต้องให้ความสำคัญกับพวกเขามากขึ้นตามไปด้วย

สิงห์: ที่คองโก เขาอยู่กันแออัดมาก ปัญหาความรุนแรงทางเพศก็มี แต่ตำรวจไม่มี ดังนั้น ผู้หญิงจึงเป็นกลุ่มเสี่ยงมากในสภาวะแบบนี้

กิตติ: โชคดีที่ว่า ตอนเราไปโมซัมบิก มีการรณรงค์เรื่องเด็กและผู้หญิงว่าจะต้องเอาตัวรอดจากภัยทางเพศอย่างไรบ้าง

เสริมเรื่องการสร้างความตระหนักรู้เรื่องผู้ลี้ภัยในไทย

สิงห์: จากมุมมองสื่อ ถ้าเราเล่าเรื่องที่มีผลทางอารมณ์ต่อคนได้ (อิน) ก็น่าจะทำให้คนหันมาสนใจประเด็นแบบนี้ได้มากขึ้น แต่มันก็ยาก

กิตติ: ถ้าเรื่องนี้มันจะไกลตัว ก็คงจะไกลตัวในทางผลกระทบ (เช่น ทางภูมิศาสตร์) แต่เราก็พยายามจะสื่อสารในเชิงที่ว่า เราเป็นมนุษย์ด้วยกัน ถ้าพร้อมบริจาค พร้อมช่วยเหลืออยู่แล้ว เราก็ช่วยเขาได้ตอนนี้เลย ได้ผลเลยวันนี้ ไม่ได้เหมือนทำบุญที่จะเห็นผลชาติหน้า ดังนั้น เรื่องผู้ลี้ภัยจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวเช่นกัน
 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top