เรื่องย่อพี่ชายและน้องสาวค้นพบพิธีกรรมน่าสะพรึงกลัว ณ บ้านที่ห่างไกลผู้คนของแม่บุญธรรมคนใหม่ของพวกเขา
ความมืดและแสงสว่าง
ด้วย Talk to Me ภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 2022 ของพวกเขาที่เป็นปรากฏการณ์แห่งวงการภาพยนตร์สยองขวัญ ทีมผู้สร้างแดนนีและไมเคิล ฟิลิปโปก็ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะผู้กำกับหน้าใหม่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคู่หนึ่งในวงการ แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ซึ่งมีวัยรุ่นที่ทำอะไรแผลงๆ ด้วยการอัญเชิญวิญญาณมาสิงร่างพวกเขาในงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นที่บ้าน ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากความมุทะลุที่พวกเขาเคยสัมผัสมาเมื่อตอนเป็นเด็กนักเรียนไฮสคูล แต่มันก็มีความสมจริงและถูกยกระดับขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เป็นจริงมากๆ ของผลลัพธ์ที่ตามมา
“กับหนังที่เราสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนังสยองขวัญหรือแนวอื่นๆ เราก็อยากให้เรื่องราวของเรามีแกนเรื่องที่ทรงพลังทางอารมณ์ สิ่งที่เราอยากจะสร้างขึ้นมา เราก็อยากให้มันเวิร์คในหลายๆ ระดับครับ” ไมเคิลพูดถึงภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขา แดนนีเห็นพ้องด้วย พลางกล่าวเน้นย้ำว่า จนถึงตอนนี้ ภาพยนตร์ของพวกเขาเป็นแนวสยองขวัญอย่างชัดเจนและมั่นใจ “เราไม่อยากจะกลัวสิ่งที่เป็นหนังสยองขวัญ แต่เราอยากจะยอมรับว่ามันเป็นหนังสยองขวัญและภูมิใจกับการได้สร้างหนังสยองขวัญครับ”
ด้วยความชำนาญในการควบคุมแนวภาพยนตร์นี้และแนวทางที่ผู้ชมตอบสนองกับเรื่องราวของพวกเขา สองพี่น้องจึงสามารถผสมผสานความสยองขวัญ อารมณ์มืดหม่นที่ซ่อนอยู่เบื้องลึก และความตลกขบขันอย่างน่าประหลาดใจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยพวกเขาได้นำตัวละครที่สมจริงและเข้าถึงได้มาผ่านสถานการณ์บางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่มีประสิทธิภาพและน่าจดจำยิ่งกว่าเดิมในท้ายที่สุด ทีมผู้สร้างอ้างถึงกระแสของภาพยนตร์สยองขวัญสัญชาติเกาหลีในยุค 2000s โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์โดยบองจุนโฮเรื่อง Memories of Murder ว่าเป็นแรงบันดาลใจในแบบที่ผู้กำกับออเทอร์ที่ตอนนี้คว้ารางวัลออสการ์ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถนำอารมณ์ขันพิลึก ตลกเจ็บตัวและความทุกข์ใจที่มีตรวนอารมณ์ลากยาวมาเป็นแกนกลางของภาพยนตร์เกี่ยวกับสภาพจิตใจที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ของฆาตกรต่อเนื่องได้ ตอนนี้ สองปีหลังจากผลงานแจ้งเกิดของพวกเขา ผลงานเรื่องถัดมาของพี่น้องฟิลิปโปคือ Bring Her Back เป็นการทำให้คู่หูเขียนบท/กำกับคู่นี้กลับคืนสู่การล้วงลึกเข้าไปในโลกสยองขวัญของชีวิตครอบครัวชานเมือง ที่ถูกยกระดับให้เข้มข้นขึ้นด้วยความตกตะลึงทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งและความสยดสยองที่บิดเบี้ยวที่สุดในบรรดาภาพยนตร์แนวนี้ในช่วงเวลานี้ แต่มันเริ่มต้นขึ้นด้วยแรงบันดาลใจที่ไร้เดียงสาและอ่อนโยนกว่านั้นเยอะ
“น้องสาวของเพื่อนเราคนหนึ่งมีความบกพร่องทางสายตา แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งกับครอบครัวของเธอ ที่เธออยากจะไปขึ้นรถเมล์คนเดียว แต่พ่อแม่เธอไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้น” แดนนีเล่า “เธอพยายามจะสื่อสารกับพวกเขาว่าเธอจะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในโลกโดยที่ไม่มีใครมาคอยโอ๋เธอตลอดเวลา และเธอจะต้องพึ่งพาตัวเองได้”
ธีมหลักนั้น ของการที่เด็กสาวออกเดินก้าวแรกสู่ความพึ่งพาตัวเองได้ ได้ปรากฏในเรื่องราวของไปเปอร์ (โซรา หว่อง) ผู้มีความบกพร่องทางสายตา และถูกปกป้องจากความชั่วร้ายของชีวิตโดยแอนดี้ (บิลลี บาร์รัตต์) พี่ชายผู้หวงแหนเธอ แอนดี้มักจะระบายสีโลกใบนี้เป็นสีกุหลาบให้กับไปเปอร์ ป้องกันเธอจากความเลวร้ายที่สุดของมันเพราะเขาทนไม่ได้ที่จะแบ่งปันโลกที่อัปลักษณ์เหลือเกินให้กับน้องสาวของเขา แต่หลังจากที่พี่น้องคู่นี้ประสบกับโศกนาฏกรรมและความสยดสยองที่ไม่อาจเลี่ยงได้ พวกเขาก็ถูกเหวี่ยงเข้าหาสถานการณ์ที่ไม่อาจจินตนาการได้
ไปเปอร์และแอนดี้ตกอยู่ภายใต้ความดูแลของลอรา (แซลลี ฮอว์กินส์) เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเด็กและที่ปรึกษา ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่ห่างไกลผู้คนกับโอลิเวอร์ (โจนาห์ เรน ฟิลลิปส์) เด็กกำพร้าที่ทำตัวมีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พี่น้องคู่นี้ค่อยๆ เผยถึงความจริงเลวร้ายที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมที่น่าหงุดหงิดของโอลิเวอร์ สภาพที่ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ของเขาและสระว่ายน้ำว่างเปล่าที่ลึกลับใจกลางบริเวณบ้านของลอรา พี่น้องฟิลิปโปได้เผยถึงความนัยในเรื่องเล่าของพวกเขา ผ่านทางฟุตเตจสยองขวัญสั้นๆ ที่ถูกค้นพบและการตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ใหม่ๆ ของพวกเขา
“Talk to Me ให้ความรู้สึกเหมือนหนังปาร์ตี้สยองขวัญ แต่หนังเรื่องนี้จะถูกขับเคลื่อนด้วยตัวละครมากกว่าครับ” แดนนีกล่าว “เราชื่นชอบความท้าทายของเรื่องราวที่ถูกจำกัด เกี่ยวกับตัวละครสามตัว และโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาครับ”
ครอบครัวที่แตกร้าว
สำหรับลอรา (แซลลี ฮอว์กินส์) ผู้ซึ่งความลับของเธอเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเรื่องราว สองพี่น้องได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากแนวทางของภาพยนตร์ที่ย้อนกลับไปไกลถึงภาพยนตร์คลาสสิกปี 1962 เรื่อง What Ever Happened to Baby Jane? ซึ่งโฟกัสไปที่ตัวละครจิตใจแตกสลาย ผู้ปลีกตัวจากโลกแห่งความเป็นจริง เข้าสู่แฟนตาซีมืดหม่นที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง ในตอนที่แฟนตาซีนั้นถูกทำลายลงโดยโลกรอบตัวพวกเขา ปฏิกิริยาที่พวกเขามีต่อการบุกรุกนั้นมักจะเหมือนกับการลงแดงที่รุนแรง มีหลายสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่าภาพเพ้อฝันที่ปลอบประโลมจิตใจ
ตัวละครในภาพยนตร์เหล่านี้ “ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนเลวร้ายตั้งแต่แรก แต่โลกมันเลวร้าย และเรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้นกับพวกเขา จนทำให้พวกเขาเรียนรู้ทุกอย่างครับ” แดนนีกล่าว “ดังนั้น สำหรับลอรา สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือการพยายามจะเขียนตัวละครที่คุณรู้สึกอึดอัดที่จะเห็นใจหรือเอาตัวเข้าไปแทนครับ”
ในทันที พี่น้องฟิลิปโปนึกถึงแซลลี ฮอว์กินส์ (The Shape of Water) นักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด ผู้ซึ่งความสามารถในการแสดงดรามาและทักษะในการถ่ายทอดอดีตที่เปราะบางของตัวละคร ทำให้เธอเหมาะเจาะกับบทนี้ นอกจากนี้ พวกเขายังสนใจความจริงที่ว่า เธอไม่เคยแสดงภาพยนตร์แบบนี้มาก่อน แม้ว่าความเข้มข้นทางอารมณ์ของเรื่องจะคล้ายคลึงกับผลงานที่เธอร่วมงานกับผู้กำกับอย่างไมค์ ลีห์ใน Happy-Go-Lucky และ Vera Drake ก็ตาม
“การได้เห็นตัวละครต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ที่เธอได้สร้างเรื่องราวเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ให้ นั่นเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากๆ สำหรับผม แนวคิดที่ว่ามีคนใส่ใจในตัวละครของเธอมากขนาดนั้นน่ะครับ” แดนนีกล่าว
ไมเคิลกล่าวเสริมแล้ว “ลอราถูกเขียนขึ้นมาในแบบที่แสดงออกถึงความมั่นใจมากขึ้น แต่แซลลีใส่มิติให้กับมันและแสดงมันออกมาในแบบที่แตกต่างและน่าสนใจกว่า ลอราวุ่นวายใจกับสิ่งที่เธอกำลังทำในหนังเรื่องนี้ และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอเป็นมนุษย์ครับ”
ในส่วนตัวเธอแล้ว ฮอว์กินส์ประทับใจอย่างลึกซึ้งกับผู้กำกับหนุ่มคู่นี้ แนวทางการสร้างภาพยนตร์ของพวกเขาที่ขับเคลื่อนโดยตัวละครและวิธีการทำงานร่วมกับนักแสดงของพวกเขา
“แดนนีและไมเคิลจะสร้างความตื่นตะลึงให้กับโลกใบนี้ค่ะ พวกเขามีพลังงานและแรงขับเคลื่อนไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่อยู่รอบด้าน พวกเขาทั้งฉลาด มีไหวพริบ และมีความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์และมีคุณธรรมค่ะ” ฮอว์กินส์กล่าว “มันเป็นเรื่องราวที่ละเอียดอ่อนและรับมือกับประเด็นที่ละเอียดอ้อน แม้จะอยู่ในกรอบหรือภายใต้หน้ากากที่น่าสะพรึงกลัวก็ตาม ฉันรู้สึกว่าได้รับแรงสนับสนุน และความไว้วางใจอย่างยิ่ง และฉันยังได้รับอิสระในการทำในสิ่งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองต้องทำด้วยค่ะ”
การหานักแสดงสำหรับบทไปเปอร์กลับกลายเป็นงานที่ต้องอาศัยความเฉพาะเจาะจงมากกว่านั้น ผู้กำกับรู้สึกว่าสิ่งสำคัญคือการเลือกคนที่มีปัญหาด้านการมองเห็น และพวกเขาก็เริ่มต้นการออดิชันภายใต้ความคิดนั้นเอง นอกชั้นเรียนการละครที่ไฮสคูลแห่งหนึ่ง โซรา หว่อง วัย 12 ปี ไม่เคยแสดงมาก่อนเลย แต่เธอก็ทำให้สองพี่น้องฟิลิปโปตกตะลึงกับการออดิชันของเธอและความสามารถของเธอในการสวมบทนี้
“เราทำแบบทดสอบนี้กับเธอ และเธอก็แสดงฉากนี้ แสดงอิมโพรไวส์แบบนนี้ และมันก็เหลือเชื่อเลยครับ” ไมเคิลกล่าว “เธอเอาตัวเองไปอยู่ในความนึกคิดของตัวละคร ซึ่งในแง่หนึ่ง นั่นไม่ใช่การแสดงด้วยซ้ำไป มันเป็นเหมือนการเอาตัวเองเข้าไปแทนที่ เธอน่าทึ่งมากครับ”
หว่องเข้ารับการออดิชันผ่านทางโฆษณาที่แม่ของเธอเห็นทางเฟซบุ๊ค เธอยอมรับว่าเธอกังวลมากๆ แต่เธอก็รู้สึกผ่อนคลายลงด้วยพลังงานและความร่าเริงของพี่น้องฟิลิปโป
“ฉันชอบตัวละครตัวนี้และรู้สึกเชื่อมโยงกับเธอค่ะ” หว่องกล่าว “ฉันเข้าถึงพฤติกรรมและกระบวนการความคิดหลายๆ อย่างของเธอ และมันก็คลิกค่ะ มีตัวละครไม่กี่ตัวที่มีปัญหาด้านการมองเห็น โดยเฉพาะตัวละครที่จะเป็นตัวเอกในหนัง ดังนัน มันก็เลยเป็นบทที่สำคัญและมีความหมายจริงๆ และฉันก็อยากจะแสดงบทนี้ออกมาอย่างเหมาะสมค่ะ”
พี่น้องฟิลิปโปได้ออกแบบตารางการทำงานเพื่อที่ฉากที่หนักหน่วงทางอารมณ์มากกว่าของหว่องจะถูกถ่ายทำในช่วงท้ายๆ ของการถ่ายทำ เพื่อที่เธอจะค่อยๆ ปูอารมณ์ไปสู่การแสดงฉากพวกนั้นได้ระหว่างที่เธอค้นพบจังหวะของตัวเอง ไมเคิลตั้งข้อสังเกตว่า ความมั่นใจของหว่องเพิ่มมากขึ้นระหว่างการถ่ายทำ และมาจนถึงตอนจบ มันก็แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับตัวเธอในตอนที่เริ่มเปิดกล้อง
นักแสดงหญิงได้รับคำแนะนำอย่างวิเศษสุดในรูปแบบของนักแสดงมากประสบการณ์อย่างฮอว์กินส์ ผู้กล่าวว่าหว่อง “มีทั้งความเฉลียวฉลาดและความใจดี” และประทับใจกับการตอบรับความท้าทายเป็นอย่างดีของเธอ แต่หว่องเองก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างดีเยี่ยมจากบิลลี บาร์แร็ทท์ เพื่อนร่วมแสดงของเธอ ผู้รับบทแอนดี้ และรู้ว่าการเป็นนักแสดงเด็กเป็นเช่นไร ในความเป็นจริงแล้ว การแสดงที่ได้รับรางวัลอินเตอร์เนชันแนล เอ็มมี อวอร์ดของบาร์แร็ทท์จากบทเด็กชายวัย 12 ขวบที่ต้องเข้ารับการไต่สวนในคดีฆาตกรรมในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง Responsible Child คือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของพี่น้องฟิลิปโปตั้งแต่แรก
“เราอยากเลือกบิลลีมาแสดงใน Talk to Me ครับ” แดนนีตั้งข้อสังเกต แต่พวกเขาก็ตื่นเต้นที่มีโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่จะได้ร่วมงานกับเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ “เขาเป็นนักแสดงดาวรุ่ง เป็นคนที่ยินดีกับการผลักดันตัวเองให้พัฒนาขึ้นไปอีก”
ในตอนที่บาร์แร็ทท์ได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไปเปอร์และแอนดี้เป็นสิ่งที่สะดุดใจเขา และเขาก็ชื่นชมประสบการณ์ในการได้พบกับหว่องและพัฒนาตัวละครเหล่านี้ร่วมกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นในฐานะนักแสดง นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงแบบฝึกหัดการแสดงที่มิแรนด้า ฮาร์คอร์ท โค้ชด้านการแสดงของพวกเขา ได้มอบให้ ซึ่งช่วยเขาและหว่องในการค้นพบจังหวะที่เหมาะสมร่วมกัน
“มีบางฉากที่เรียกอารมณ์ออกมาได้ยาก เพราะมันมีอะไรต่อมิอะไรมากมายหรือบางที ฉากนั้นอาจจะยังไม่คลิกน่ะครับ” บาร์แร็ทท์กล่าว “แต่ผมคิดว่าเรามีความไว้วางใจพิเศษในกันและกันครับ”
หว่องกล่าวเสริมว่า “ฉันไม่รู้วิธีที่จะตั้งคำถามหรืออิมโพรไวส์และบิลลีก็ช่วยได้เยอะด้วยการทำให้ฉันทำแบบนั้นได้ค่ะ”
ฮอว์กินส์กล่าวเห็นด้วยพลางเสริมว่า “บิลลีเป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนไหวเป็นพิเศษค่ะ และฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่จะต้องได้รับการคุ้มครองและเห็นคุณค่า มันเป็นพรสวรรค์ค่ะ เขารับรู้ถึงสิ่งต่างๆ ได้ในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และการร่วมงานกับเขาและโซราก็ทำให้ฉันดีขึ้นค่ะ”
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แอนดี้กำลังอยู่ในขั้นตอนขอสิทธิในการดูแลไปเปอร์ แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้เกิดรอยร้าวฉานระหว่างทั้งคู่อยู่เรื่อยๆ บาร์แร็ทท์นำเสนอความเป็นเด็กหนุ่มเจ้าปัญหาเล็กน้อยในแง่นั้น หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่ถูกผลักดันและบงการไปถึงจุดนั้นก็ได้
“ในตอนที่ผมดูสิ่งต่างๆ ที่จะส่งอิทธิพลต่อผม มันไม่เคยเป็นสถานการณ์อะไรจริงๆ จังๆ เลย แต่สำหรับเรื่องนี้ ผมรู้จักบางคนในชีวิตจริงของผมที่ผมจะสามารถเรียนรู้ได้จากพวกเขา” บาร์แร็ทท์กล่าว “แค่เพื่อนและเรื่องราวส่วนตัวของพวกเขา และการได้เห็นว่าพวกเขารับมือกับมันยังไง ปฏิกิริยาที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ เป็นยังไง คนที่เก็บกักอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ผมคิดว่ามันเชื่อมโยงกับแอนดี้มากทีเดียวล่ะครับ”
เกี่ยวกับความสยดสยองและตำนาน
ตอนแรกก็ด้วยวิญญาณชวนสยองจากอีกโลกหนึ่งใน Talk to Me และในตอนนี้ก็ด้วยผีร้ายผู้รุกรานใน Bring Her Back พี่น้องฟิลิปโปไม่เคยเหนื่อยกับการจินตนาการถึงงานสำหรับทีมแต่งหน้ามากพรสวรรค์ของพวกเขาเลย พวกเขาเลือกใช้ทั้งเมค-อัพ เอฟเฟ็กต์ กรุ๊ป (เอ็ม.อี.จี.) จากซิดนีย์และสแคร์ครูว์ สตูดิโอส์จากเมลเบิร์นของแลร์รี แวน เดนโฮเวน สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้
“ตอนที่ผมอ่านบทหนังเรื่อง Bring Her Back ผมก็รู้สึกอึ้งกับมันจริงๆ ครับ” แวน เดนโฮเวน ผู้มีส่วนร่วมในการทำงานเอฟเฟ็กต์ที่น่าจดจำใน Tal to Her ด้วยเช่นกัน กล่าว “มันเป็นหนังที่ดำเนินเรื่องช้า น่าขนลุกและผมก็รู้สึกว่าตัวละครมีความแตกต่างและน่าสนใจจริงๆ เราไม่ค่อยเจออะไรแบบนั้นในหนังสยองขวัญทุกวันนี้หรอกครับ”
งานหลักสำหรับแวน เดนโฮเวน คือการค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวโอลิเวอร์ไประหว่างเรื่อง มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้ ผู้ไม่เคยพูดและดูเหมือนจะมีความหิวกระหายที่ไม่เคยหยุด (รวมถึงความสนใจในห้องเก็บเครื่องมือในบริเวณบ้านอย่างลึกลับด้วย” เรื่องราวของโอลิเวอร์ค่อยๆ เผยออกมาระหว่างเรื่อง เมื่ออะไรก็ตามที่สิงสู่อยู่ในร่างของเขาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของเขาไป
“ตอนแรก เราใช้เวลาแต่งหน้าห้าชั่วโมง แล้วเราก็ลดเวลานั้นลงเพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพที่เด็กจะต้องนั่งอยู่ตรงนั้นนานขนาดนั้น ก่อนจะต้องออกไปแสดงน่ะครับ” แวน เดนโฮเวนกล่าว “เราก็เลยปรับเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานหลายอย่าง และใช้ชิ้นส่วนเทียมบางส่วน ตัวของเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยเส้นเลือด ดังนั้น สิ่งที่เราทำคือเราจะออกแบบเส้นเลือดบางเส้นให้เป็นรอยสัก เหมือนสติกเกอร์ลอกลายที่คุณมีสมัยเด็กน่ะครับ มันทำให้เกิดเอฟเฟ็กต์ที่เจ๋งจริงๆ สำหรับการแต่งหน้าโดยรวม มันดูเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังออกมาจากข้างใน เป็นอะไรที่เน่าเปื่อยและเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นอสุรกายน้อยน่ะครับ”
แวน เดนโฮเวนและผู้กำกับเลือกใช้คอนแท็คเลนส์จริงๆ เพื่อให้โอลิเวอร์แลดูผิดปกติ นอกเหนือจากลุคที่เกิดจากปีศาจร้ายที่เร้นกายอยู่ในร่างของเขา เอฟเฟ็กต์ของความตะกละของโอลิเวอร์ตกเป็นหน้าที่ของแวน เดนโฮเวน เด็กหนุ่มเขมือบทุกอย่างที่อยู่ในตู้เย็น กัดกินผิวหน้าของเคาน์เตอร์ พยายามจะกินมีดหั่นเนื้อจากส่วนคมมีดก่อน และในฉากที่น่าตกตะลึงฉากหนึ่ง ท้องของเขาก็พองโตมากๆ
“ท้องโตๆ ที่คุณเห็นนั่น ผมอยากให้มันหนักอึ้งครับ” แวน เดนโฮเวนกล่าว “ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าในตอนที่คุณเห็นอุปกรณ์ประกอบฉากในหนัง แล้วมันดูมีน้ำหนักเบา แต่พูดแบบนั้นก็เถอะ มันเป็นการที่คุณให้เด็กอายุ 11 ขวบเดินไปมาด้วยลักษณะเหมือนคนท้องทั้งวันครับ” เขากล่าวเสริม พลางชี้ให้เห็นด้วยว่าเขาประทับใจกับความอดทนของนักแสดงเด็กคนนี้ระหว่างกระบวนการถ่ายทำมากแค่ไหน
แวน เดนโฮเวนยังได้ดูแลร่างซิลิโคน การนองเลือดและเรื่องสยดสยองทางไสยศาสตร์ทั้งหลายด้วย สำหรับพี่น้องฟิลิปโป องค์ประกอบเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งและเป็นเปลือกนอกสำหรับแนวทางการถ่ายทำที่ท้าทายและเน้นถึงสัมผัสของพวกเขา “เราชอบเอฟเฟ็กต์จริงๆ การสร้างสิ่งต่างๆ รวมถึงการพยายามตามหาสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยถูกสร้างในหนังมาก่อนด้วยครับ” แดนนีกล่าว “อย่างเช่นการกินมีด การหาวิธีถ่ายทำฉากนี้แบบจริงๆ เป็นงานที่สนุกมากๆ ครับ” ทั้งหมดนี้เพื่อรองรับตำนานที่ถูกสร้างขึ้นมาในภาพยนตร์เรื่องนี้ ตำนานของ Talk to Me เต็มไปด้วยรายละเอียด แต่มันก็ถูกทำให้คลุมเครืออย่างจงใจด้วยลักษณะที่พี่น้องฟิลิปโปเลือกจะบอกเล่าเรื่องราวนั้น ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรดำเนินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ ว่ามีมือลึกลับกับตำนานสาบสูญที่ทุกคนในเรื่องพยายามทำความเข้าใจและปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ในความเป็นจริงแล้ว ผู้กำกับได้เขียนอะไรไว้มากมายเกี่ยวกับวิญญาณที่เด็กๆ ในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวติดต่อด้วยโดยใช้มือ รวมถึงประสบการณ์ของเด็กทุกคนที่ข้องเกี่ยวกับมันด้วย
Bring Her Back ก็เช่นเดียวกัน ด้วยพิธีกรรมที่มืดหม่น และเต็มไปด้วยลางร้าย ที่ปรากฏให้เห็นในคลิปวิดีโอสั้นๆ ตลอดทั้งเรื่อง พิธีกรรมนั้นเป็นคำตอบในทันทีสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโอลิเวอร์ แต่มันเป็นแค่พื้นผิวของตำนานที่มีอยู่จริงในภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้น
“เรามีเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดนั่นครับ เราสามารถตอบคำถามพวกนั้นได้” แดนนีกล่าว พลางเสริมด้วยว่า เขาตั้งตารอที่จะบอกใบ้เป็นนัยๆ ถึงเรื่องทั้งหมดนั้นระหว่างการเข้าฉายของภาพยนตร์เรื่องนี้ “มันเหมือนกับตอนที่คุณไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ มากเกินไป แต่คุณจะบอกใบ้เป็นนัยๆ เกี่ยวกับมัน” แดนนีกล่าว “ถ้าคุณอ่านบทดั้งเดิมของ The Shining คุณจะรู้ว่าจริงๆ แล้วแจ็ค นิโคลสันเป็นร่างที่กลับมาเกิดใหม่ของอีกคนหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ แต่เรื่องทั้งหมดนั่นถูกตัดออกจากหนัง มันมีแค่ภาพถ่ายในตอนท้ายเรื่องที่คนจะเอะใจประมาณว่า ‘เดี๋ยวก่อนนะ’ น่ะครับ”
เอฟเฟ็กต์จริงและการสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา รวมถึงลักษณะที่ทีมผู้สร้างได้ดึงผู้ชมเข้าไป ทั้งหมดนั้นก็เพื่อรองรับตรรกะหลักที่น่าสะพรึงกลัวของเรื่อง ที่ส่งผลให้เกิดการสะท้อนกลับทางอารมณ์ในตอนที่ผู้ชมตระหนักถึงความจริงเกี่ยวกับอาการของโอลิเวอร์
“โอลิเวอร์ในฐานะตัวละครเป็นตัวแทนของความโศกศร้าและลักษณะที่มันสามารถกลืนกินคุณทั้งเป็นได้” แดนนีกล่าวสรุป “นั่นเป็นปีศาจร้ายในเรื่องนี้ ความเจ็บปวดที่กัดกินและไม่มีวันสิ้นสุดของความเศร้าโศกที่ไร้การคลี่คลาย เทปวิดีโอของพิธีกรรมนั้นเป็นการปรับเปลี่ยนโฮมวิดีโอของลอราในแบบบิดเบี้ยว ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนถึงกระบวนการทำใจของเธอที่ผิดธรรมชาติ”เช่นเดียวกับที่ Talk to Me จบลงในแบบกว้างใหญ่อย่างน่าตื่นเต้น แสดงให้เห็นว่าเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของโลกที่ใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ผลกระทบที่ตามหลอนและไม่อาจสั่นคลอนของ Bring Her Back ก็เกิดขึ้นได้ด้วยความรู้สึกสมจริงและความมุ่งมั่นที่มีต่อศิลปะแขนงนี้ที่คู่หูผู้สร้างภาพยนตร์คู่นี้ได้นำมาสู่ผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ของพวกเขา
นักแสดง
แซลลี ฮอว์กินส์ (รับบท ลอรา)
แซลี เป็นนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและบาฟตา อวอร์ดมาแล้ว เธออาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงของเธอในภาพยนตร์โดยกุยเลอร์โม เดล โทโรเรื่อง THE SHAPE OF WATER และแฟรนไชส์ The PADDINGTON แซลลีโด่งดังครั้งแรกในปี 2008 จากการแสดงของเธอในภาพยนตร์โดยไมค์ ลีห์เรื่อง Happy- Go-Lucky ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อและได้รับรางวัลลูกโลกทองคำครั้งแรก ล่าสุด เธอได้แสดงประกบทิโมธี ลาเมต์ในภาพยนตร์โดยพอล คิงเรื่อง Wonka แซลลีเกิดในเมืองดัลวิช ประเทศอังกฤษ เธอสำเร็จการศึกษาจากรอยัล อคาเดมี ออฟ ดรามาติก อาร์ต ด้านละครเวที เธอได้แสดงที่รอยัล คอร์ท เธียเตอร์, ดุ๊ค ออฟ ยอร์ค เธียเตอร์และรอยัล เนชันแนล เธียเตอร์
บิลลี บาร์แร็ทท์ (รับบท แอนดี้)
บิลลี บาร์แร็ทท์เป็นนักแสดงชาวอังกฤษ ที่เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการแสดงนำในดรามาโดยบีบีซีและคุโดส์เรื่อง Responsible Child (2019) ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลอินเตอร์เนชันแนล เอ็มมี อวอร์ดสาขาการแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงชาย ทำให้เขากลายเป็นนักแสดงที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ เขายังเป็นนักดนตรีมากพรสวรรค์ด้วย ปัจจุบัน เขาเป็นนักร้องนำให้กับวงเดอะ ฮังเกอร์ เมื่อปีที่แล้ว บิลลีได้แสดงในภาพยนตร์โซนี/มาร์เวลเรื่อง Kraven the Hunter ที่นำแสดงโดยแอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสันและรัสเซล โครว์
โซรา หว่อง (รับบท ไปเปอร์)
โซรานำแสดงในบท ไปเปอร์ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ พรสวรรค์ที่พิเศษสุดของเธอได้ดึงดูดความสนใจของผู้กำกับฝ่ายคัดเลือกนักแสดงหลายคนทั้งในออสเตรเลียและต่างประเทศ โดยที่เธอได้เป็นหนึ่งในนักแสดงตัวเก็งที่จะได้รับเลือกให้แสดงในภาพยนตร์ชื่อดัง โซราอยู่ในจุดเริ่มต้นของสิ่งที่แน่นอนว่าจะเป็นอาชีพการงานที่น่าตื่นเต้น
เธอได้เข้าร่วมคอร์สระยะสั้นกับนีดา เป็นนักกีฬาตัวยง ที่สนใจเน็ตบอลและการวิ่งวิบาก รวมถึงศิลปะ เธอเล่นเปียโนและคลาริเน็ตและเคยแสดงในละครเวทีของโรงเรียน นอกจากนั้น โซรายังมีปัญหาด้านการมองเห็นอีกด้วย ด้วยความที่เธอมีอาการรูม่านตาไม่เท่ากันและเป็นต้อกระจกตั้งแต่กำเนิด โซราจึงต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายของการที่ตาซ้ายของเธอบอดสนิท และตาขวาก็แทบมองไม่เห็น แต่โซราก็เอาชนะความพิการของตัวเอง เพื่อไล่ตามและบรรลุเป้าหมายของตัวเอง
โจนาห์ เรน ฟิลลิปส์ (รับบท โอลิเวอร์)
โจนาห์ ผู้เป็นลูกชายของนักแสดงสองคน มีพรสวรรค์ที่ทั้งละเอียดอ่อนและลึกซึ้งในแบบที่ไม่ค่อยปรากฏนักในนักแสดงที่อายุเท่าเขาการได้รับเลือกให้แสดงนำในบทแองกัสสำหรับภาพยนตร์เรื่อง How To Make Gravy เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถในการถ่ายทอดอารมณ์ของโจนาห์ รวมถึงความโดดเด่นบนหน้าจอของเขา ระหว่างแสดงร่วมกับเพื่อนร่วมแสดงอย่างแดเนียล เฮนแชล, ฮิวโก้ วีฟวิง, เคท มัลวานีย์และเดมอน เฮอร์ริแมน นอกจากนี้ เขายังได้รับเลือกเป็นหนึ่งในนักแสดงนำของภาพยนตร์เรื่อง Bring Her Back ด้วย
แดนนี & ไมเคิล ฟิลิปโป - ผู้กำกับ
พี่น้องฝาแฝดแดนนีและไมเคิล ฟิลิปโปเป็นคู่หูมือเขียนบท/ผู้กำกับชาวออสเตรเลีย ผู้โด่งดังจากการเคลื่อนไหวออนไลน์ของพวกเขาในแวดวงการ์ตูนสยองขวัญและแอ็กชัน Talk To Me ภาพยนตร์เรื่องแรกของพี่น้องฟิลิปโปเปิดตัวทั่วโลกในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2023 และถูกซื้อสิทธิโดยเอทเวนตี้โฟร์ในสงครามแย่งชิงประมูล ไม่นานหลังจากนั้น Talk To Me เปิดตัวที่งานเบอร์ลินาเล และงานเทศกาลภาพยนตร์เซาธ์บายเซาธ์เวสต์ หลังจากที่เข้าฉายในช่วงฤดูร้อนปี 2023 ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของเอทเวนตี้โฟร์และเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลอันดับสองในประวัติศาสตร์ของเอทเวนตี้โฟร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่า 92 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก นอกจากนั้น มันยังได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและได้รับคะแนนวิจารณ์สูงอีกด้วย (ได้รับคะแนน 98% ทางเว็บไซต์รอทเทน โทเมโทส์) เกียรติยศที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรวมถึงการได้รับการเสนอชื่อชิง 11 รางวัลเอเอซีทีเอ อวอร์ด ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดด้านภาพยนตร์ของออสเตรเลีย ในปี 2024
ความรักที่มีต่อการเล่าเรื่องของแดนนีและไมเคิลเริ่มต้นทางยูทูบ ที่ซึ่งวิดีโอของพวกเขามียอดผู้ชมกว่า 1.5 พันล้านครั้งและมียอดสมาชิกกว่า 6.7 คน พวกเขาโด่งดังจากวิดีโอเชือดสยองโฮมเมด สตันท์และสเก็ตช์คอเมดีของพวกเขา ในปี 2015 แชนแนล RackaRacka ได้รับรางวัลแชนแนลยูทูบนานาชาติยอดเยี่ยมของสตรีมมี ติดอันดับเฟม เชนเจอร์สปี 2016 ของนิตยสารวาไรตี้ และติดอันดับห้าของลิสต์คัลเชอรัล พาวเวอร์ของนิตยสารไฟแนนเชียล รีวิว ในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา RackaRacka ได้รับรางวัลมากมายที่เวทีออนไลน์ วิดีโอ อวอร์ดและเวทีออสเตรเลีย อคาเดมี ออฟ ซีเนมา แอนด์ เทเลวิชัน อาร์ตส์ อวอร์ดสาขาการแสดงเว็บยอดเยี่ยม
บิล ฮินซ์แมน - มือเขียนบท
ผลงานเรื่องแรกของมือเขียนบทบิล ฮินซ์แมนคือ Talk to Me ซึ่งเขาร่วมเขียนบทกับผู้กำกับแดนนี ฟิลิปโป เขาได้ร่วมงานกับทั้งแดนนีและไมเคิลในโปรเจ็กต์ต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2011
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี