On the way with Chom สัปดาห์นี้ พามารู้จักกับแสงสีแดง แสงมหัศจรรย์ที่ไม่ได้มีดีแค่ชะลอวัย แต่ยังฟื้นฟูเซลล์สมอง และกระตุ้นพลังชีวิต! เปิดโลก Red Light Therapy กับ "หมอเดียร์ ธรณัส" อายุรแพทย์ผู้หลงใหลนวัตกรรมการแพทย์แห่งอนาคต ที่จะพาไปเข้าใจทุกมิติของนวัตกรรมแสงบำบัด เทรนด์สุขภาพที่กำลังเปลี่ยนชีวิตคนทั่วโลก
Light Therapy (แสงบำบัด) ประวัติความเป็นมา ?
หมอเดียร์ : มีประวัติการใช้งานมายาวนานตั้งแต่สมัยอียิปต์โรมัน มีเริ่มตั้งแต่ช่วงปี 1900 เริ่มนำแสงมาบำบัดค้นพบว่าแสงมาบำบัด ค้นพบว่าแสง UV สามารถนำมากระตุ้นการสร้างวิตามินและรักษาโรคได้ พัฒนามาเรื่อย ๆ ปี 1960 เริ่มนำมาเขียนเป็นหนังสือจริงจังมากขึ้น ในปี 2000 นักวิทยาศาสตร์ฝั่งตะวันตกเริ่มมีการสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพบว่าสามารถนำมารักษาในหลายๆโรคได้
ตัวอย่างการใช้ Light Therapy ในประเทศไทย ?
หมอเดียร์ : มีการใช้ Light Therapy ในประเทศไทยมานานแล้ว เช่น เมื่อประมาณ 50-60 ปีที่แล้ว สมาคมป่าวัณโรค ใช้การรักษาวัณโรคโดยให้ผู้ป่วยนอนตากแดด เปิดหน้าต่างให้แสงแดดเข้า เพื่อรับแสง UV ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างวิตามินดี ซึ่งช่วยในการรักษาและทำให้ผู้ป่วยแข็งแรงขึ้น
Red Light Therapy พัฒนามาอย่างไร ?
หมอเดียร์ : องค์กร NASA สหรัฐอเมริกา ได้พัฒนา Red Light Therapy ตั้งแต่ปี 1990 ศึกษาโดยใช้แสงสีแดงกับพืชในอวกาศ พบว่าต้นไม้เติบโตขึ้น และยังนำแสงสีแดงมาบำบัดนักบินอวกาศ พบว่าบาดแผลหายเร็วขึ้นและเนื้อเยื่อฟื้นฟูได้ดีขึ้น พบว่าแสงสีแดงมีประโยชน์ในการบำบัด รักษา และฟื้นฟูเซลล์ แสงสีแดงที่เราสนใจอยู่ในกลุ่ม Visible Light ในทางการแพทย์มีการนำแสง 5 สีหลักมาใช้ ได้แก่ สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแดง และอินฟราเรด Red Light Therapy ปัจจุบันมีแหล่งผลิตหลัก 2 แหล่ง คือ เลเซอร์ ซึ่งเป็นแสงที่ถูกขยาย มีทิศทางและสามารถกำหนดความแรงและความลึกได้ และ LED ซึ่งมีความแรงน้อยกว่าและแสงจะกระจายออกไป
Red Light Therapy ถูกนำมาใช้ในด้านความงามและการดูแลสุขภาพอย่างไร ?
หมอเดียร์ : Red Light Therapy ถูกนำมาใช้ในด้านความงามและสุขภาพหลายรูปแบบ เช่น การใช้มาสก์ LED เพื่อบำรุงผิวหน้า และการใช้หมวกที่มีแสงสีแดงเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผมใหม่และลดผมร่วง ช่วงความยาวคลื่นที่เหมาะสมของ Red Light Therapy อยู่ที่ 620-700 นาโนเมตร หากเกิน 700 นาโนเมตรขึ้นไปจะจัดอยู่ในกลุ่ม Near Infrared ซึ่งสามารถลงลึกได้มากกว่าแสงสีอื่น ๆ ประมาณ 5 เซนติเมตรจากชั้นผิวหนัง การซึมลึกนี้ทำให้ Near Infrared สามารถนำมาใช้กระตุ้นสมองได้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (USFDA) ได้อนุมัติการใช้งานประมาณ 5 อย่าง ได้แก่ สิว, กล้ามเนื้ออักเสบและข้ออักเสบ, ผมร่วง, และการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในอวัยวะที่บำบัด เช่น ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
แสงแต่ละสีที่ใช้ในการบำบัดมีคุณสมบัติอย่างไร
หมอเดียร์ : แสงสีน้ำเงินช่วยฆ่าเชื้อโรคและลดการอักเสบ แสงสีเขียวช่วยสร้าง Nitric oxide ซึ่งอาจช่วยลดความดันได้ แสงสีแดงช่วยเรื่อง Anti-aging ชะลอวัย แสงสีขาวและแสงสีเหลือง คล้ายแสงแดด ช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามินดีในร่างกาย อินฟราเรดสามารถลงลึกได้ประมาณ 5 เซนติเมตร ทะลุถึงสมองได้ จึงถูกนำมาใช้กับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ หลงลืม และซึมเศร้า เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเซลล์สมองที่อักเสบหรือฝ่อ
แสงสีแดงกระตุ้นฟื้นฟูเซลล์และ Mitochondria ได้อย่างไร
หมอเดียร์ : Mitochondria ทำหน้าที่สร้างพลังงานที่เรียกว่า ATP เราทานอาหารเข้าไปก็จะเข้าอยู่ในเซลล์โดยสังเคราะห์จาก Mitochondria สร้างพลังงานออกมา แสงสีแดงเข้าไปทำให้ปล่อยพลังงานออกมาคล้าย ๆ กับสังเคราะห์แสงในพืชที่คลอโรฟิลล์ดูดซับแสง ในมนุษย์ ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงเป็นตัวดูดซับแสงสีแดง แล้วนำไปสู่ทุกเซลล์ ทำให้กระบวนการหายใจของ Mitochondria สมบูรณ์ และสร้างพลังงาน ATP ออกมาได้มากขึ้น
ในปัจจุบันส่งผลต่อการได้รับแสงสีแดงอย่างไร
หมอเดียร์ : ปัจจุบันเรารับแสงสีแดงไม่เพียงพอ เพราะตื่นเช้ามาขับรถเข้าออฟฟิศ ไม่โดนแสงแดด แต่จะโดนแสงสีฟ้า (Blue light) ซึ่งไม่ช่วยดูแลสุขภาพ
แสงสีแดงสามารถป้องกันอันตรายจากแสง UV ได้หรือไม่
หมอเดียร์ : Red Light Therapy สามารถที่จะป้องกันแสง UV ที่จะมาทำร้ายเซลล์ผิวหนังได้ งานวิจัยพบว่าแสงสีแดงสามารถกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้สร้างพลังงานและแข็งแรงขึ้น ครีมกันแดดจะกัน UV แต่ไม่ได้กันแสงสีแดง
แสง UV มีผลดีและผลเสียอย่างไร
หมอเดียร์ : แสง UV มีทั้ง UVA และ UVB โดย UVB เป็นตัวหลักที่ทำร้ายผิวหนัง หากได้รับในปริมาณที่เหมาะสม UVB จะช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามิน D3 ในร่างกายได้
แสงมีผลต่อการนอนหลับและวงจรชีวิต (Circadian rhythm) อย่างไร
หมอเดียร์ : การได้รับแสงแดดในตอนเช้าจะกระตุ้นต่อม Pineal ในสมองให้สร้างสารสื่อประสาท Serotonin ซึ่งทำให้เกิดอารมณ์ดีและสุขภาพจิตดี Serotonin ที่สร้างในตอนเช้าจะถูกเก็บไว้และเปลี่ยนเป็น Melatoninในเวลากลางคืนเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ
ในปัจจุบันส่งผลต่อการได้รับแสงธรรมชาติอย่างไร
หมอเดียร์ : หลายคนตื่นเช้ามามักจะจับโทรศัพท์และโดนแสงสีฟ้าก่อนที่จะได้รับแสงแดด สำหรับผู้ที่ไม่สามารถได้รับแสงแดดธรรมชาติได้เพียงพอ เช่น ผู้ที่ตื่นแต่เช้ามืดมีอุปกรณ์แสงอาทิตย์สังเคราะห์ที่สามารถช่วยกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวและสร้าง Serotonin ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือการเปิดหน้าต่างรับแสงแดดในตอนเช้าเป็นเวลา 10-20 นาที
งานวิจัยใหม่ๆ เกี่ยวกับ Red Light Therapy
หมอเดียร์ : งานวิจัยเกี่ยวกับ Longevity Medicine เวชศาสตร์ชะลอวัย เอาแสงสีแดงมาใช้เพื่อชะลอความแก่และอายุยืนขึ้น ในปัจจุบันงานวิจัยในต่างประเทศและการศึกษาในทางการแพทย์กำลังโฟกัสในระดับเซลล์ในระดับโมเลกุล Mitochondria Metabolic Therapy ใช้ Mitochondria เป็นตัวสำคัญในการรักษาร่างกายของเรา ถ้า Mitochondria เราแข็งแรงทำให้เราผลิตพลังงานของเราแม้จะอายุมากขึ้น
แนวโน้มในอนาคตของ Red Light Therapy และวงการ Anti-aging จะเป็นอย่างไร
หมอเดียร์ : ในอนาคตข้างหน้า Red Light Therapy จะกลายเป็นอุปกรณ์ประจำบ้านที่ทุกคนนำมาใช้ได้เอง ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในคลินิกหรือสปา มันจะกลายเป็นเหมือน Gadget ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับเครื่องฟอกอากาศหรือหุ่นยนต์ดูดฝุ่น เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น อยู่ที่ว่าเราต้องฉลาดเลือกผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือและเหมาะกับเรา
สามารถติดตาม "On the way with Chom" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันจันทร์ (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=lXO-TmH3qzY&ab_channel=LIFEDOT
สามารถติดตามและอัปเดตข่าวสารได้ที่ช่องทาง
Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot , IG : lifedot.official ,
TikTok : lifedot_official , Spotify : Lifedot_official
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี