30 ธ.ค.61 เว็บไซต์ นสพ. South China Morning Post ของฮ่องกง นำเสนอรายงานพิเศษ "Thai junta chief faces tough transition if he wins election" ว่าด้วยอนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (Prayuth Chan-ocha) หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ปัจจุบันเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลรัฐประหาร ที่หากมีการเลือกตั้งแล้วจะกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง ผลคือเส้นทางหลังจากนั้นคงไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะต้องเผชิญกับ "การเมืองที่แท้จริง" (Real Politics) ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยพบมาก่อนตลอด 4 ปีเศษในนามรัฐบาล คสช.
รายงานเปิดด้วยมุมมองจาก นาตยา เชษฐโชติรส (Nattaya Chetchotiros) ผู้ช่วยบรรณาธิการ นสพ.Bangkok Post สื่อท้องถิ่นของไทยที่นำเสนอข่าวเป็นภาษาอังกฤษ กล่าวว่า ณ วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ประกาศเข้าร่วมกับพรรคการเมืองใด แต่เป็นที่คาดการณ์ว่าน่าจะถูกเสนอชื่อเป็นตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมี อุตตม สาวนายน (Uttama Savanayana) รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยรัฐมนตรีอื่นๆ อีก 3 คน เป็นแกนนำพรรค
โดยที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐได้ดึงนักการเมืองที่มีชื่อเสียงของพื้นที่ต่างๆ จากหลายพรรคให้มาร่วมในสังกัด และแม้ท้ายที่สุดจะไม่สามารถชนะเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด แต่ก็ยังมีช่องทางเข้ามาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่เชื่อกันว่าออกแบบมาเพื่อทำให้พรรคเพื่อไทย อันเป็นพรรคการเมืองในขั้วของทักษิณ ชินวัตร (Thaksin Shinawatra) อดีตนายกฯ ที่ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนอ่อนแอลง
อย่างไรก็ตาม นาตยา มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยคงได้คะแนนเสียงมากที่สุด เฉกเช่นที่เคยเป็นมาตั้งแต่ปี 2544 จากผู้สนับสนุนที่เป็นคนในชนบท แต่ด้วยระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ประกอบกับบทบาทของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ก็ทำให้เป็นเรื่องยากที่พรรคเพื่อไทยจะมีอำนาจอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทักษิณ รวมถึงน้องสาวคือยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (Yingluck Shinawatra) ซึ่งเป็นอดีตนายกฯ เช่นกัน ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ด้วยถูกตัดสินลงโทษในข้อหาต่างๆ แต่ทั้ง 2 ย้ำตลอดมาว่าเป็นประเด็นทางการเมือง
ในเดือน ต.ค.61 อดีตนายกฯ ทักษิณ เริ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองชัดขึ้นเมื่อเขาประกาศว่าหากการเลือกตั้งเป็นไปอย่างยุติธรรม ฝ่ายนิยมประชาธิปไตยจะเอาชนะฝ่ายนิยมเผด็จการได้อย่างแน่นอน ถึงกระนั้นยังมีตัวแปรสำคัญอีกประการหนึ่งนั่นคือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนาตยาเชื่อว่าคงไม่มีทางจับมือกับพรรคเพื่อไทย แต่เป็นไปได้ที่จะไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ
รายงานข่าวกล่าวต่อไปถึง ส.ว.จำนวน 250 คน ที่ คสช.เป็นผู้แต่งตั้ง ซึ่งจะมีส่วนร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อีก 500 คน จากการเลือกตั้งในการเลือกนายกฯ แต่ในอีกมุม การพยายามสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ อย่างแข็งขันเช่นนี้ ก็อาจเป็นผลเสียต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เช่นกัน ในการเปลี่ยนผ่านจากผู้นำรัฐบาลรัฐประหารสู่ผู้นำรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย (Yutthaporn Issarachai) อาจารย์สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ให้ความเห็นว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจลงสู่สนามการเมือง เขาจะ "ไม่ใช่คนนอก" หรือคนกลางระหว่างคนที่ชอบและไม่ชอบอดีตนายกฯ ทักษิณ อีกต่อไป ดังนั้นเขาต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชน ซึ่งนั่นคือต้องชนะเลือกตั้ง แต่ก็ไม่ง่ายเพราะพรรคเพื่อไทยที่มีฐานเสียงอันเข้มแข็งจากคนระดับล่างมีโอกาสชนะการเลือกตั้งมากที่สุด ตามมาด้วยพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเพียงเต็ง 3 เท่านั้น
ในทางกลับกันเส้นทางของพรรคเพื่อไทยก็ใช่ว่าจะราบรื่น เพราะระบบการเลือกตั้งแบบใหม่แม้จะได้คะแนนเสียงมากที่สุดก็ไม่ได้หมายความจะได้ที่นั่งในสภาแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด อนึ่ง ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ที่ยิ่งลักษณ์ น้องสาวของทักษิณได้เป็นนายกฯ และเป็นผู้หญิงคนแรกของไทยที่ก้าวมาถึงตำแหน่งนี้ พรรคเพื่อไทยได้ 264 ที่นั่ง ส.ส.จากทั้งหมด 500 ที่นั่ง หากไปดูที่วุฒิสภา จะพบว่า ส.ว.มี 2 ประเภท คือเลือกตั้งและแต่งตั้งอย่างละครึ่ง
ผู้ติดตามการเมืองไทยหลายคนดูเหมือนจะชี้ว่า ตัวแปรของการต่อสู้ครั้งนี้จะอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (Abhisit Vejjajiva) อดีตนายกฯ อีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่กดดันสำหรับตัวเขาเองอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเลือกยืนข้างพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านมากว่า 10 ปี แต่จะให้ไปยืนข้างพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคฝ่ายตรงข้ามตลอดมา สมาชิกพรรคหลายคนก็คงไม่เห็นด้วย
ในมุมหนึ่ง ยุทธพร มองว่ายังไม่เห็นทางเลือกว่าใครจะเป็นนายกฯ ได้เท่า พล.อ.ประยุทธ์ แต่อีกมุมหนึ่งก็สงสัยว่า เมื่อต้องเผชิญกับการเมืองที่เป็นจริงแบบ "หยาบและแข็งกร้าว" หมายถึงมีการตรวจสอบถ่วงดุลตามระบอบประชาธิปไตยอย่างเข้มข้น เช่น การอภิปราย การวิพากษ์วิจารณ์จากนักการเมืองฝ่ายค้านในรัฐสภา อดีตนายพลผู้บัญชาการทหารบกที่เกษียณอายุแล้วผู้นี้จะรับมือไหวหรือไม่ ดังนั้นหากจะอยู่ให้รอด พล.อ.ประยุทธ์ ต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้มากกว่านี้ และต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ทั้งมีความสามารถสูงและมีประวัติขาวสะอาดด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์จาก มสธ.ฝากข้อคิดว่า ไม่ว่าหน้าตารัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร ปัญหาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนควรเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างที่สุดหากต้องการให้ความนิยมยังคงอยู่ หาไม่แล้วความไม่พอใจก็จะถูกจุดกระแสขึ้นได้โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลย่อมใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้แน่นอน
"สถานการณ์ที่ดูสงบสุขตอนนี้มันไม่ได้สงบจริงๆ หรอก การเคลื่อนไหวทางการเมืองยังคงมีเพียงแต่ไม่ได้เคลื่อนไหวในที่สาธารณะ และความแตกแยกทางการเมืองก็ไม่ได้หายไปจากประเทศของเรา" ยุทธพร กล่าวในท้ายที่สุด
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.scmp.com/news/asia/southeast-asia/article/2179970/thai-junta-chief-faces-tough-transition-if-he-wins-election
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี