9 ม.ค.62 เว็บไซต์ นสพ.The Guardian ของอังกฤษ เสนอข่าว “Australian football executives meet Bahraini royal over detained footballer Hakeem al-Araibi” โดยระบุว่า คริส นิโคว์ (Chris Nikou) ผู้บริหารสหพันธ์ฟุตบอลออสเตรเลีย (FFA) ได้เข้าพบ ชีค ซัลมาน อัล คาลิฟา (Sheikh Salman Al Khalifa) ประธานสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (AFC) ซึ่งเป็นพระญาติของกษัตริย์แห่งประเทศบาห์เรน
โดยตัวแทนองค์กรลูกหนังแดนจิงโจ้แสดงท่าทีต้องการช่วยเหลือ ฮาคีม อัล อาไรบี (Hakeem al-Araibi) อดีตนักฟุตบอลทีมชาติบาห์เรนที่ได้รับรองสถานะผู้ลี้ภัยในออสเตรเลีย ซึ่งถูกกักตัวในประเทศไทยตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย.61 อย่างไรก็ตามทั้ง FFA และ AFC ต่างปฏิเสธที่จะกล่าวถึงการพบปะดังกล่าว โดยแถลงการณ์ของ AFC ชี้แจงสั้นๆ ว่าทำงานกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ส่วนทาง FFA ชี้แจงว่ามีการประสานงานกับทาง FIFA , AFC สมาคมฟุตบอลของประเทศไทย รวมถึงรัฐบาลออสเตรเลีย
ขณะที่ มาริส เพย์น (Marise Payne) รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศออสเตรเลีย ที่มีกำหนดการเยือนไทย ยืนยันว่าจะหาทางให้ฮาคีมได้กลับไปออสเตรเลียอย่างปลอดภัย เพราะอดีตนักเตะบาห์เรนรายนี้ได้รับสถานะผู้พำนักถาวรจากรัฐบาลออสเตรเลียแล้ว ซึ่งฮาคีมถูกทางการไทยควบคุมตัวตามหมายจับของตำรวจสากล (Interpol) ท่ามกลางข้อสงสัยถึงกระบวนการการออกหมายจับของหน่วยงานดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันฮาคีมถูกจำคุกอยู่ในประเทศไทยและศาลกำลังพิจารณาว่าจะส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปยังบาห์เรนหรือไม่
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ทนายความของฮาคีมพยายามยื่นขอสัญชาติออสเตรเลียให้กับลูกความของเขาเพื่อให้ฮาคีมได้รับความคุ้มครองยิ่งขึ้นในฐานะพลเมืองเต็มตัวแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ขณะที่กรณีของ ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด เอ็ม อัลคูนัน (Rahaf Mohammed M Alqunun) หญิงสาวชาวซาอุดิอาระเบียที่หนีครอบครัวจากบ้านเกิดมายังประเทศไทยเมื่อ 6 ม.ค.62 และยื่นขอลี้ภัยไปออสเตรเลีย มีรายงานว่ารัฐบาลแดนจิงโจ้อาจอนุมัติวีซ่าเพื่อมนุษยธรรม (Humanitarian Visa) ให้ราฮาฟ เพื่อที่จะไม่ต้องถูกส่งตัวกลับบ้านเกิดซึ่งอาจได้รับอันตราย
การจับกุม ฮาคีม อัล อาไรบี นั้นก่อให้เกิดเสียงเรียกร้องจากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนรวมถึงเพื่อนร่วมอาชีพนักฟุตบอลของเขาให้ปล่อยตัว และทั้ง FIFA , AFC , FFA ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีท่าทีนิ่งเฉย โดยภายหลังจากวันที่มีข่าวอดีตนักเตะบาห์เรนถูกควบคุมตัว มีรายงานว่าผู้บริหารอาวุโสของ FFA ได้พบกับ ชีค ซัลมาน อัล คาลิฟา ปธ.AFC แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าว กระทั่งล่าสุดในศึกเอเชียนคัพ 2019 ที่กำลังแข่งขันอยู่ขณะนี้ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ผู้บริหารทั้ง 2 องค์กรจึงได้หารือกัน
ยาห์ยา อัล-ฮาดิด (Yahya al-Hadid) ตัวแทนสถาบันเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนแห่งรัฐอ่าว (GIDHR) ตำหนิบรรดาผู้บริหารทั้ง FIFA และ AFC ว่าแสดงถึงความไร้จริยธรรมและไม่รับผิดชอบในการปกป้องนักฟุตบอลที่เป็นสมาชิก เช่นเดียวกับ เคร็ก ฟอสเตอร์ (Craig Foster) อดีตนักฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย กล่าวว่านี่เป็นเรื่องการเมืองในวงการฟุตบอล ที่ไม่มีใครอยากมีปัญหาในช่วงใกล้เลือกตั้งทั้ง AFC และ FIFA และกล่าวว่าความร่วมมือระหว่างทางการไทยกับตะวันออกกลาง เกี่ยวข้องกับเรื่องน่ากังวลหลายกรณีที่เกิดขึ้นรวมถึงกรณีของฮาคีม
ทั้งนี้ ฮาคีมและพี่ชายเคยมีส่วนร่วมในการชุมนุมประท้วงรัฐบาลประเทศตนเองเมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง หรืออาหรับ สปริง (Arab Spring) นอกจากนี้ตัวฮาคีมมักวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของชีค ซัลมาน อัล คาลิฟา ปธ.AFC ซึ่งเป็นพระญาติของกษัตริย์บาห์เรนอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ถูกมองว่าการที่ทางการบาห์เรนตั้งข้อหาทำลายทรัพย์สินทางราชการและตัดสินจำคุก 10 ปีนั้นเป็นคดีทางการเมือง ดังนั้นฮาคีมจึงได้สถานะผู้ลี้ภัยในออสเตรเลียในเวลาต่อมา อนึ่ง ทีมชาติไทยมีกำหนดฟาดแข้งกับบาห์เรนในวันที่ 10 ม.ค.62
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.theguardian.com/australia-news/2019/jan/09/australian-football-executives-meet-bahraini-royal-over-detained-footballer-hakeem-al-araibi
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี