วอชิงตัน (เอเอฟพี/รอยเตอร์) - สหรัฐภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีหนี้ประเทศมากเป็นประวัติการณ์ถึง 22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 684 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากวันแรกที่เขาก้าวเข้ามานั่งในทำเนียบขาว
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ รับหนี้ประเทศจากรัฐบาลบารัค โอบามา 19.95 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 620.4 ล้านล้านบาท) เท่ากับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประเทศเป็นครั้งแรกนับจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง มาตรการลดภาษีนิติบุคคลขนานใหญ่ที่ทรัมป์ผลักดันเมื่อสิ้นปี 2560 และการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายโดยเฉพาะงบกลาโหมทำให้ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้มียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มมากขึ้น ทรัมป์โต้เสียงวิจารณ์ว่า หากไม่มีกองทัพที่แข็งแกร่งก็ไม่ต้องห่วงเรื่องหนี้ แต่จะมีปัญหาอื่นที่ใหญ่กว่านี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลยืนยันว่า การลดภาษีที่คาดว่าจะทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 46.64 ล้านล้านบาท) ใน 10 ปี จะให้ผลในภายหลังเพราะจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต และจะทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น
สหรัฐเกินดุลบประมาณนาน 4 ปีสมัยรัฐบาลบิล คลินตันเพราะเศรษฐกิจเฟื่องฟู หลังจากนั้นกลับมาขาดดุลเพราะรัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู บุชทำสงครามอิรัก ต่อมารัฐบาลบารัค โอบามาต้องแก้ไขผลจากวิกฤตการเงินโลกปี 2551-2552 ด้วยการเพิ่มงบประมาณรายจ่าย ทำให้ฐานะการเงินรัฐทรุดหนัก ก่อนจะขาดดุลลดลงในช่วงท้ายสมัย นอกจากเรื่องการเมืองแล้ว สังคมประชากรสูงวัยที่ทำให้รัฐมีค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพและบำนาญมากขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้สหรัฐขาดดุลงบประมาณยืดเยื้อ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชี้ว่า เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าฐานะการคลังสหรัฐไม่ยั่งยืนและต้องเร่งแก้ไข
นอกจากหนี้ประเทศแล้ว สหรัฐยังมีปัญหาหนี้เอกชนที่เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในหนึ่งทศวรรษ นโยบายดอกเบี้ยต่ำที่เฟดใช้มาตั้งแต่หลังเกิดวิกฤตการเงินโลก ทำให้หนี้เอกชนขณะนี้สูงถึง 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 280 ล้านล้านบาท) ขณะที่หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนวิกฤตการเงินโลกมาอยู่ที่ 13.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 420 ล้านล้านบาท) ในปัจจุบัน สามในสี่เป็นหนี้สินเชื่อบ้านและหนี้การศึกษา ส่วนหนี้ยานยนต์ก็มีสัดส่วนผิดนัดชำระเพิ่มขึ้นจนน่าเป็นห่วง
อย่างไรก็ดี นายเควิน แฮสเซตต์ ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ในระดับเดียวกับเมื่อปี 2561 และแทบไม่มีแนวโน้มว่าจะถดถอย เมื่อปีที่แล้วบริษัทสหรัฐได้ประโยชน์จากการลดภาษีตามนโยบายปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ของสหรัฐที่ผ่านการอนุมัติเมื่อปลายปี 2560 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการลงทุนและช่วยเพิ่มผลประกอบการให้ดีขึ้นในปี 2562 สหรัฐจะดำเนินการตามเป้าหมายต่อไปและคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโตดังกล่าวสวนทางกับการคาดการณ์โดยทั่วไปว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวในปีนี้เนื่องจากคาดว่าผลจากการลดภาษีและแผนกระตุ้นทางการเงินเมื่อปีที่แล้วจะเริ่มชะลอลงแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี