จาการ์ตา (เอเอฟพี/รอยเตอร์) - ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย อ้างเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันพุธ แม้คู่แข่งคนสำคัญไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่อ้างว่ามีการโกงเกิดขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์ชื่นชมการเลือกตั้งเป็นไปอย่างราบรื่น จนเปรียบเหมือนดวงไฟประชาธิปไตยท่ามกลางคลื่นลมเผด็จการที่พัดแรงอยู่ทั่วภูมิภาค
ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย แถลงต่อผู้สื่อข่าวถึงผลการนับคะแนนการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันพุธว่า เขาได้เสียงสนับสนุนร้อยละ 54 อิงจากผลการนับคะแนนอย่างรวดเร็วของสำนักสำรวจกว่า 12 แห่ง ทำให้เขาเป็นผู้ชนะเลือกตั้งอย่างแน่นอนแล้ว แม้ว่าผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะยังไม่ประกาศออกมาจนกว่าจะถึงเดือนหน้า และว่าจนถึงขณะนี้มีผู้นำประเทศต่างๆ กว่า 20 ประเทศที่แสดงความยินดีที่เขาชนะการเลือกตั้ง ขณะที่พลโทปราโวโบ ซูเบียนโต อดีตนายพลแห่งกองทัพ ซึ่งเป็นคู่แข่งของเขาก็ออกมาอ้างว่าเป็นผู้ชนะเลือกตั้งเช่นกัน และว่าชัยชนะของนายวิโดโดนั้นน่าสงสัย โดยอ้างว่าเขามีข้อมูลว่ามีการโกงเลือกตั้งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ดี ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติของอินโดนีเซีย ออกมาประกาศให้ทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้ง และเตือนไม่ให้ผู้สนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกมารวมตัวชุมนุมประท้วงผลการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในวันเดียว มีผู้ลงสมัครเลือกตั้งมากเป็นประวัติการณ์ถึง 245,000 คน มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากถึง 190 ล้านคน เพื่อเลือกประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี สมาชิกสภาระดับประเทศและระดับท้องถิ่น นักวิเคราะห์ของสถาบันวิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมสมัย ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มองว่า ประชาธิปไตยของอินโดนีเซียถือว่ามีความสำคัญ สำหรับภูมิภาคที่ไม่โน้มไปทางประชาธิปไตยและระบอบเผด็จการกำลังแผ่ขยาย แม้ว่าอินโดนีเซียเริ่มหันไปทางอนุรักษ์นิยมมากขึ้นก็ตาม
นักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอิตาลีมองว่า ตัวเลขผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่สูงถึงร้อยละ 82 สูงที่สุดนับจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาปี 2547 สะท้อนว่าประชาชนตระหนักถึงอำนาจของการเลือกตั้งโดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว เป็นสัญญาณที่ดีว่ากระแสความต้องการการปกครองที่ดีเริ่มมีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ดี เธอวิจารณ์ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ที่ผลคะแนนเบื้องต้นชี้ว่าจะได้ดำรงตำแหน่งต่ออีก 5 ปี ว่าไม่ปกป้องสิทธิมนุษยชนเท่าที่ควร เพราะใช้กฎหมายหมิ่นประมาททางอิเล็กทรอนิกส์จับกุมฝ่ายค้านและใช้คำสั่งห้ามการชุมนุมใหญ่ เช่นเดียวกับนักวิชาการในออสเตรเลียที่คาดว่า ช่วง 5 ปีข้างหน้า จะเห็นประชาธิปไตยในอินโดนีเซียค่อยๆ เสื่อมลง แต่คงไม่ถึงขั้นเข้าสู่ระบอบเบ็ดเสร็จ
นักวิชาการการเมืองในอินโดนีเซียระบุว่า จำเป็นต้องปฏิรูปกองทัพเพื่อปกป้องคนกลุ่มน้อยในสังคมและแก้ปัญหาการไม่ยอมรับในความแตกต่างและกระแสสุดโต่ง ส่วนเรื่องที่พรรคการเมืองทุกพรรคยังคงถูกครอบงำจากกลุ่มคนหน้าเดิมทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะถอนรากได้ ขณะที่นักวิจัยสถาบันวิทยาศาสตร์อินโดนีเซียมองว่า อย่างน้อยการที่คนไม่ออกมาชุมนุมตามถนนและใช้อาวุธเพื่อคัดค้านผลคะแนน แต่ไปพึ่งพากระบวนการศาลแทน ก็แสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยอินโดนีเซียยังคงมีความก้าวหน้าอยู่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี