เบื่อมั้ยกับข่าวปลอม ข่าวลวง ข่าวไร้ที่มาในโลกออนไลน์ ที่อ่านแล้วต้องคิดแล้วคิดอีก ว่านี่มันของจริงหรือเปล่า
ตอนนี้ สิงคโปร์กลายเป็นประเทศล่าสุด ที่เอาจริงกับเรื่องข่าวปลอมข่าวเท็จ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาสภานิติบัญญัติแห่งชาติของสิงคโปร์มีมติเสียงข้างมาก72 เสียง ต่อ 9 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง ผ่านร่างกฎหมาย เพื่อแก้ไขกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ฉบับปัจจุบัน ที่เรียกว่า ร่างกฎหมายป้องกันข้อมูลเท็จและการชักใยทางออนไลน์ (The Protection from Online Falsehoods and Manipulation) โดยเสียงสนับสนุนทั้งหมดมาจากพรรคกิจประชาชน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของนายกรัฐมนตรีลีเซียนลุง และเสียงคัดค้านมาจากพรรคแรงงานสิงคโปร์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียวในสภาแห่งนี้
สาระสำคัญของร่างกฎหมายรวมถึงการที่รัฐบาลมีอำนาจเต็มในการกำหนดให้เว็บไซต์หรือเพจข่าวออนไลน์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง และแก้ไขข้อมูลข่าวสารที่รัฐบาลพิจารณาแล้วพบว่าผิดหรือไม่เหมาะสม และบังคับผู้ประกอบการเครือข่ายสังคมออนไลน์และบริษัทเทคโนโลยีต้องทำแถบข้อความเตือนไว้ใกล้กับข้อมูลข่าวสารที่รัฐบาลพิจารณาแล้วพบว่าไม่เหมาะสม ขณะที่ ประชาชนผู้รับสารควรเพิ่มการใช้วิจารณญาณในการพิจารณาเนื้อหา นอกจากนี้ หากรัฐบาลพิจารณาข้อมูลข่าวสารใดแล้วถือว่าเป็นเท็จ เว็บไซต์หรือเพจที่นำเสนอรายงานนั้น ต้องลบข้อมูลดังกล่าวออกจากระบบทันที
คาดว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งบทลงโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี หรือปรับเป็นเงินสูงสุด 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 23.35 ล้านบาท) โดยบทลงโทษครอบคลุมการกระทำผิดที่เป็นการเปิดใช้บัญชี ซึ่งเรียกว่า บอท เพื่อเจตนาเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จด้วย
แต่ที่หลายฝ่ายพากันหนาวๆ ร้อนๆ ก็คือ ร่างกฎหมายนี้ยังเปิดทางให้รัฐบาลสิงคโปร์สามารถสอดส่องการสนทนาในโซเชียลมีเดีย และกรุ๊ปแชทแบบปิดซึ่งมีการเข้ารหัสลับได้ด้วย นั่นหมายความว่า แอพพลิเคชั่นอย่าง WhatsApp ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสิงคโปร์ และ Telegram จะได้รับผลกระทบ รัฐมนตรีสิงคโปร์คนหนึ่งกล่าวว่า
ความเป็นส่วนตัวของแอพพลิเคชั่นดังกล่าวเหมาะสำหรับเผยแพร่ข้อมูลเท็จมากเพราะว่าเป็นความลับ และสามารถส่งไปถึงคนแปลกหน้าเป็นร้อยเป็นพันคนได้พร้อมๆ กัน ถ้านึกไม่ออก ก็ลองนึกถึงข้อมูลเท็จใน Line ที่ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองในบ้านเรานั่นแหละ แป๊บเดียวข่าวเท็จข่าวปลอมถูกส่งกระจายในกลุ่มไลน์แบบรวดเร็วมาก
รัฐบาลสิงคโปร์ย้ำว่ากฎหมายนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การแสดงความคิดเห็น แต่เป็นข้อมูลเท็จที่อาจทำให้เกิดความเสียหายได้ เพราะสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการเงินโลกมีคนหลากหลายชาติพันธุ์และศาสนา และมีการเข้าถึงอินเตอร์เนตอย่างกว้างขวาง และระบุด้วยว่า ประเทศต้องการกฎหมายนี้เมื่อเห็นว่าข่าวปลอมมีแนวโน้มที่จะสร้างความคิดแย้งด้านเชื้อชาติและศาสนาได้ รัฐบาลต้องการอำนาจที่จะจัดการข้อมูลเท็จให้ได้ทันท่วงที
แน่นอนว่าบรรดาตัวแทนสื่อสังคมออนไลน์และกลุ่มสิทธิฯ ต่างออกมาโวยร่างกฎหมายฉบับนี้โดยพร้อมเพรียงกันกูเกิลให้ความเห็นว่า กังวลว่ากฎหมายป้องกันการหลอกลวงและบงการจะกระทบต่อนวัตกรรมและการเติบโตของระบบนิเวศข่าวสารดิจิทัล สิ่งสำคัญอยู่ที่วิธีการบังคับใช้กฎหมายนี้ กูเกิลพร้อมทำงานร่วมกับทางการสิงคโปร์ในเรื่องนี้ ส่วนเฟซบุ๊คยอมรับว่ากังวลเรื่องแง่มุมของกฎหมายนี้ที่ให้อำนาจอย่างกว้างขวางแก่ทางการสิงคโปร์ในการบังคับให้ต้องลบเนื้อหาที่ทางการเห็นว่าไม่ถูกต้องและต้องเผยแพร่ประกาศของทางการให้แก่ผู้ใช้งาน ขณะที่ผู้แทนฮิวแมนไรตส์วอตช์ วิจารณ์ว่าจะยิ่งเป็นการควบคุมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของชาวสิงคโปร์ให้ยิ่งน้อยลงไปอีก และรัฐบาลอาจอาศัยกฎหมายนี้ในการจัดการกับกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง
สิงคโปร์เป็นอีกชาติหนึ่ง ตามหลังรัสเซีย ฝรั่งเศส และเยอรมนี ที่ผ่านกฎหมายอันเข้มงวดเรื่องข่าวปลอมหรือคำพูดที่สร้างความเกลียดชังในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
แล้วบ้านเราล่ะ จะจัดการกับปัญหาข่าวปลอมข่าวเท็จที่แพร่กระจายในโลกออนไลน์เกือบทุกแพลตฟอร์มในตอนนี้ยังไงดี?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี