12 พ.ค. 2562 เว็บไซต์ นสพ. South China Morning Post ของฮ่องกง เสนอรายงานพิเศษ "Chinese boys train to be ‘real men’ to fight the BTS idol effect, but the make-up could be here to stay" เมื่อ 8 พ.ค. 2562 ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น โดยระบุว่า ถังไห่เอี๋ยน (Tang Haiyan ) อดีตครูชาวจีน ได้ผันตัวมาเป็นผู้ฝึกสอนหลักสูตรเสริมสร้างความเป็นลูกผู้ชาย อาทิ การถอดเสื้อวิ่งฝ่าลมหนาวที่อุณหภูมิลบ 10 องศาเซลเซียส ซึ่งก็มีพ่อแม่นำบุตรชายมาเข้าร่วมด้วยจำนวนหนึ่ง
นายถัง ให้เหตุผลว่า วันนี้ในประเทศจีนกำลังเกิดปัญหาที่เรียกว่า "วิกฤติความเป็นชาย" จากการแผ่อิทธิพลเข้ามาของวัฒนธรรมต่างประเทศที่นักร้องชายแต่งหน้าหวานๆ และสวมต่างหู ซึ่งตนมองว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปจะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งนี้รายงานของสื่อฮ่องกงยังกล่าวเสริมว่า สังคมจีนที่ผู้ชายเป็นใหญ่ในแวดวงต่างๆ ประเด็นความเท่าเทียมทางเพศได้รับความสนใจน้อยกว่านิยามของคำว่าความเข้มแข็งและอ่อนแอ โดยเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยม
สืบเนื่องจากกระแส "เคป็อป" (K-POP) หรือกลุ่มศิลปินนักร้องจากเกาหลีใต้ ได้เข้าไปมีบทบาทกับวงการบันเทิงของจีนอยู่มากพอสมควร ท่ามกลางเสียงตำหนิจากสื่อมวลชนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐเองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่น กัน อาทิ เคยมีกรณีที่ผู้ปกครองไม่พอใจที่กระทรวงศึกษาธิการของจีน ให้นิยามผู้ชายที่ใช้เครื่องสำอางว่าเป็นสัญลักษณ์ของความป่วยไข้ในสังคมแดนมังกร ซึ่งนักวิชาการที่สนใจประเด็นนี้อธิบายว่า ความเป็นชายในสังคมจีนไม่ใช่แค่เอกลักษณ์ของเพศ แต่ยังเกี่ยวพันกับการสืบทอดความเป็นชาติต่อไปด้วย
ซ่งเกิง (Song Geng) นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮ่องกง กล่าวว่า ชาวจีนนั้นรู้สึกถึงความไม่มั่นคงของตนเอง โดยมองย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ "สงครามฝิ่น" ที่นำไปสู่การถูกย่ำยีโดยจักรวรรดิต่างชาติ ดังนั้นจึงมีความกลัวกันลึกๆ ว่าหากชาวจีนอ่อนแอเมื่อไรย่อมไม่อาจแข่งขันกับชาติต่างๆ บนโลกใบนี้ได้ และนั่นเชื่อมโยงกับความกังวลในภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนแอของผู้ชายชาวจีนด้วย
หวังไห่หลิน (Wang Hailin) นักเขียนบทภาพยนตร์วัย 48 ปี ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ตระหนักถึงภัยคุกคามนี้ โดยมองว่าชายหนุ่มจีนทุกวันนี้ราวกับเหมือนโสเภณีของหญิงสูงอายุที่ร่ำรวย นี่คือปัญหาความอ่อนแอและต้องรีบจัดการโดยเร็ว พร้อมกับตำหนิเพื่อนร่วมอาชีพที่เขียนบทให้มีตัวละครชายประเภท "ขี้ขลาด ขี้แพ้ และโง่" เพราะมันส่งผลให้ผู้ชายชาวจีนเอาเป็นแบบอย่าง กลายเป็นส่งเสริมนิสัยไร้ความรับผิดชอบ และเปรียบเทียบกับวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดของสหรัฐอเมริกา ที่มักเสนอภาพตัวละครชายที่มีความแข็งแกร่งสมชายชาตรี
ด้านกองทัพของประเทศจีน ( People’s Liberation Army) ก็ออกมาเปิดเผยเช่นกันว่า การรับสมัครทหารประจำการในช่วงหลังๆ พบผู้ชายที่เข้ารับการคัดเลือกมีน้ำหนักเกินในจำนวนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะการใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือ ดื่ม หรือช่วยตัวเองทางเพศมากเกินไป และมีร้อยละ 20 ของผู้รับการคัดเลือกไม่ผ่านการทดสอบร่างกาย
ส่วนนางเฉิน แม่ที่ให้ลูกชายของตนไปฝึกอบรมความเป็นชายกับนายถัง ระบุว่า ลูกชายเป็นคนเก็บตัวและไม่มั่นใจ การทำกิจกรรมกลางแจ้งอาจช่วยแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวได้ อีกทั้งกล่าวย้ำว่า ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณก็ต้องทำตัวให้สมกับเป็นลูกผู้ชาย แต่ถ้าคุณเป็นผู้หญิงคุณจะอ่อนลงกว่านั้นก็ได้ อย่างไรก็ตามตนไม่เชื่อว่าวงการบันเทิงจะสร้างแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมจีนได้ เพราะสังคมดาราวางบทบาทขับเน้นด้านควาเมป็นหญิงมากกว่า และนั่นคือปัญหา
อีกด้านหนึ่ง เฉินอี้คุน (Chen Yiqun) คนขับแท็กซี่ชาวจีน เป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากแนวคิดความเป็นลูกผู้ชายในสังคมจีน หลังจากที่ปรากฎภาพถ่ายที่เขาใช้หน้ากากบำรุงผิวหน้าบนโลกออนไลน์เมื่อปี 2561 ทำให้เขาถูกต้นสังกัดสั่งพักงานเป็นเวลา 3 วัน อย่างไรก็ตามชาวเน็จจีนมองว่าภาพดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องตลกเสียมากกว่า
หลี่เฉา (Li Chao) หนุ่มจีนวัย 21 ปี ที่อาศัยในอพาร์ทเมนต์หรูชานกรุงปักกิ่งพร้อมด้วยผู้ช่วย 2 คนและสุนัขพันธุ์พุดเดิลอีก 1 ตัว นายหลี่เป็นคนประเภทที่ผู้อนุรักษ์นิยมในจีนไม่ชอบเท่าใดนัก กล่าวคือ เขาไว้ผมที่ยุ่งเหยิง ใช้เครื่องสำอางที่เปลือกตา แก้มและริมฝีปาก นายหลี่สามารถทำเงินได้ราว 30,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9 แสนบาทต่อเดือน ซึ่งไม่ธรรมดาหากมองว่าเขาไม่มีใบปริญญาติดตัว
ถึงกระนั้นนายหลี่ก็มีปากเสียงกับพ่อของเขาเป็นระยะๆ เพราะผู้เป็นพ่อไม่ยอมรับ และกดดันให้ออกไปเล่นกีฬานอกบ้าน แต่เขาก็ยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตน ปัจจุบันนายหลี่มีรายการบนช่องวีดีโอออนไลน์ Kuaishou ของจีน มีผู้ติดตามกว่า 1.5 ล้าน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงที่อายุ 12 - 30 ปี เขาตั้งคำถามว่าสังคมจีนควรอยู่บนความอดทนในการยอมรับความหลากหลาย และนิยามของคำว่าลูกผู้ชายควรจะหมายถึงผู้ที่มีจิตวิญญาณเสรี รักความเป็นธรรม และรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าหรือไม่
เจิ้งเจียเหวิน ( Zheng Jiawen) นักวิชาการจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยหนานจิง ให้ความเห็นถึงประเด็นดังกล่าวในสังคมจีนว่า ความวิตกกังวลที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องกางเกงที่ดูเหมือนผู้หญิงใส่ แต่มาจากความรู้สึกยึดติดในอำนาจแต่เก่าก่อนมากกว่า และย้ำว่าถึงเวลาที่สังคมต้องเรียนรู้ การมีใบหน้าหวานๆ ไม่จำเป็นต้องมีจิตใจที่อ่อนแอ ไหล่ลู่เรียวไม่เกี่ยวกับจิตวิญญาณที่บอบบาง และการทำลายค่านิยมแบบแผนความเป็นชายที่ล้าหลังนั้นไม่ใช่การทรยศต่อประเทศชาติ
ขอบคุณภาพและเรื่องจาก : https://www.scmp.com/lifestyle/entertainment/article/3009326/chinese-boys-train-be-real-men-fight-bts-idol-effect-make
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี