เกิดเป็นหญิงอินเดีย โดยเฉพาะหญิงมุสลิม เขาว่ามีความทุกข์หลายอย่าง
สิทธิอันพึงมีพึงได้ต่างๆ เทียบไม่ได้กับฝ่ายชาย ทั้งเรื่องการศึกษา การทำงาน ชีวิตความเป็นอยู่ หลายอย่างเสียเปรียบมาก แค่ต้องเป็นฝ่ายยกขันหมากเสียงเงินเสียทองหมั้นหมายแต่งงานกับฝ่ายชายเอง ก็ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว
แถมแต่งงานไป ก็ไม่รู้ว่าจะต้องกลายเป็นม่ายตอนไหนก็ไม่รู้
นั่นเพราะ “ตาลัค” (Talaq) วาจาศักดิ์สิทธิ์ที่ฝ่ายสามีใช้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดแบบออกเสียงต่อหน้าภรรยา พูดผ่านคนกลาง โทรศัพท์มาบอก หรือแม้แต่ส่งเป็นข้อความหรือทางไลน์ เพียง 3 ครั้ง ก็สามารถหย่าขาดจากผู้เป็นภรรยาได้แบบง่ายๆ โดยคำว่า “ตาลัค” เป็นภาษาอาหรับ หมายความว่า “เราหย่าขาดจากกันเถอะ”
คำว่า “ตาลัค” ทำให้มีหญิงผู้นับถือศาสนาอิสลามหลายพันคนถูกสามีทอดทิ้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเธอรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและต้องเผชิญความยากลำบากในการหาเลี้ยงชีพ ภรรยาหลายคนถูกสามีบอกหย่าร้างผ่านทางข้อความตัวอักษรทางโทรศัพท์ แอพพลิเคชั่นสนทนาต่างๆ และโปรแกรมสไกป์อย่างง่ายดายโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
แต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมสส.อินเดีย หรือโลกสภา เสียงส่วนใหญ่ลงมติอนุมัติสนับสนุน 99 เสียง ต่อคัดค้าน 84 เสียง ให้ยกเลิกกฎหมายหย่าฝ่ายเดียวดังกล่าวแล้ว หลังจากศาลสูงอินเดียพิจารณาเรื่องนี้นานถึง 2 ปี กว่าจะตัดสินชี้ว่ากฎหมายฉบับนี้ละเมิดสิทธิเสรีภาพสตรีมุสลิม ซึ่งในอินเดียมีพลเมืองมุสลิมอยู่มากราว 170 ล้านคน แต่หลายประเทศทั่วโลกมากกว่า 20 ชาติ รวมถึงปากีสถานและบังกลาเทศ ก็ยกเลิกหรือห้ามกฎหมายฉบับนี้ไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเป็นธรรมเนียมที่ไม่ปรากฏอยู่ทั้งในกฎหมายชารีอะฮ์และในคัมภีร์อัลกุรอาน หลังจากนี้ มติดังกล่าวจะถูกส่งถึงสภาสูงและเสนอเรื่องถึงประธานาธิบดีอนุมัติรับรองบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นทางการ ซึ่งหลังจากนี้หากชายชาวมุสลิมฝ่าฝืนใช้วิธีการหย่าแบบเดิมจะถือว่ามีความผิด อาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี
ขณะที่ฝ่ายคัดค้านการยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ในอินเดีย รวมถึงบรรดาผู้นำทางศาสนามุสลิม ต่างพยายามสกัดกั้นเรื่องนี้มาตลอด โดยอ้างว่ารัฐบาลพรรคบีเจพีของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี พุ่งเป้าเล่นงานชาวมุสลิม และว่าการเปลี่ยนแก้ไขกฎหมายหย่าร่างของชาวมุสลิมที่มีมานานหลายร้อยปี ควรให้ผู้นำชุมชนชาวมุสลิมพิจารณากันเองไม่ใช่หน้าที่รัฐบาล ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์กล่าวหาพรรคบีเจพี ว่า มีอคติต่อชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิม แต่พรรคบีเจพีปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้รอบรู้คำสอนศาสนาอิสลามของอินเดียบอกว่า คัมภีร์อัลกุรอานได้บัญญัติถึงวิธีการหย่าร้างที่ถูกต้องไว้แล้วอย่างชัดเจน โดยกระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อให้คู่สมรสได้ทบทวนไตร่ตรองและมีโอกาสประนีประนอมกัน รวมทั้งป้องกันการตั้งครรภ์หลังการหย่าร้างด้วย ไม่ได้เพียงแค่หย่ากันแบบง่ายๆ ด้วยคำเพียงคำเดียว
ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของสตรีในอินเดียเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง หลังจากเมื่อปีที่แล้ว ศาลสูงอินเดียก็เพิ่งมีคำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ด้วยเสียงเป็นเอกฉันท์ว่า มาตรา 497ว่าด้วยการกระทำผิดฐานคบชู้ของประมวลกฎหมายอาญา ขัดต่อรัฐธรรมนูญและให้ยกเลิกมาตรานี้ แต่การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสยังคงเป็นเหตุผลที่ใช้ในการหย่าร้างได้
กฎหมายมาตรานี้ถูกประกาศใช้ตั้งแต่ 158 ปีที่แล้วในยุคที่อินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ โดยกำหนดว่า หากชายคนใดหลับนอนกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วโดยไม่ได้รับการยินยอมจากสามีของฝ่ายหญิงถือว่าเป็นการคบชู้ และเป็นอาชญากรรมที่ผู้ชายอาจต้องรับโทษจำคุกถึง 5 ปี
ที่ผ่านมา รัฐบาลยืนยันว่า กฎหมายมาตราว่าด้วยการคบชู้ยังคงต้องมีไว้เพื่อคุ้มครองความศักดิ์สิทธิ์ของการแต่งงาน แต่กลับมีผู้ยื่นร้องเรียนให้ศาลวินิจฉัยเพื่อยกเลิกมาตรานี้จำนวนมาก เพราะถูกนำไปใช้โดยอำเภอใจและเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง
คำตัดสินของศาลระบุว่า ความคิดที่ว่าการคบชู้เป็นอาชญากรรม เป็นเรื่องการถอยหลังเข้าคลอง กฎหมายมาตรานี้ลิดรอนเกียรติศักดิ์ศรีและทางเลือกแต่ละบุคคลของผู้หญิง รวมทั้งทำให้ผู้หญิงเป็นเหมือนสมบัติของผู้ชาย
ขณะที่ก่อนหน้านั้น ศาลสูงอินเดียก็ตัดสินยกเลิกกฎหมายยุคอาณานิคมที่ควบคุมทางเลือกทางเพศของพลเมือง 1,250 ล้านคนของอินเดีย ด้วยการคว่ำกฎหมายที่ห้ามเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันมาแล้ว
ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่ายินดีและเหมือนเป็นชัยชนะสำหรับสตรีมุสลิม รวมถึงขบวนการพิทักษ์สิทธิสตรีในอินเดีย ที่น่าจะทำให้พวกเธอมีสิทธิในการดำรงชีวิตมากขึ้น
@koopnot01
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี