เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2562 เว็บไซต์ นสพ. The Independent ของอังกฤษ เสนอรายงานพิเศษ “In the future, only the rich will be able to escape the unbearable heat from climate change. In Iraq, it’s already happening” บอกเล่าเรื่องราวในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก ที่อุณหภูมิสูงถึง 48 องศาเซลเซียส โดย มูฮัมหมัด (Muhammad) หนุ่มวัย 17 ปี กล่าวว่า เขาไม่สามารถหลีกหนีสภาพอากาศอันร้อนระอุนี้ได้ แม้จะเป็นตอนกลางคืนแต่ทั่วร่างกายก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เพราะดินแดนทะเลทรายแห่งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าคนยากจนเข้าไม่ถึงเครื่องปรับอากาศ
ก่อนหน้านี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) เคยออกรายงานฉบับหนึ่งที่ระบุว่า โลกกำลังมุ่งหน้าไปสู่ยุคสมัยที่ “มีแต่เศรษฐีเท่านั้นที่สามารถจ่ายเพื่อหนีจากอากาศร้อน ความหิวโหยและความขัดแย้ง ส่วนคนที่เหลือบนโลกยังคงต้องทุกข์ทรมานต่อไป (where the wealthy pay to escape overheating, hunger and conflict while the rest of the world is left to suffer)” และที่กรุงแบกแดด คำกล่าวนี้ได้ปรากฏให้เห็นแล้ว
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ที่ประเทศอิรัก ดูเหมือนปัญหาไฟฟ้าดับจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจากทั้งการทุจริตและการไร้ประสิทธิภาพด้านนโยบายพลังงาน อาบู อาเหม็ด (Abu Ahmed) เจ้าของร้านโลหะ เล่าว่า ตนต้องจ่ายเงิน 50 ปอนด์ หรือราว 1,850 บาทต่อเดือนเพื่อใช้งานเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 4 แอมป์ สำหรับตู้เย็นและแสงสว่าง ซึ่งนี่คือราคาที่เขาพอจะจ่ายได้ แต่การไม่มีเครื่องปรับอากาศทำให้นอนไม่ค่อยหลับและเหงื่อออกในตอนกลางคืน
ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency-IEA) ระบุว่า มีประชากรโลกราว 2.8 พันล้านคน อยู่ในเมืองที่อุณหภูมิเฉลี่ยต่อวันสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส แต่มีเพียงไม่ถึงร้อยละ 10 ของคนกลุ่มนี้ที่เข้าถึงเครื่องปรับอากาศ และในปี 2593 คาดว่าจะมีประชากรในประเทศเมืองร้อนราว 1.9 พันล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงเครื่องปรับอากาศได้
ศ.ฟิลิป อัลสตัน (Professor Philip Alston) ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านความยากจนและสิทธิมนุษยชน ซึ่งเขียนรายงาน “การแบ่งแยกด้วยสภาพอากาศ (climate apartheid)” กล่าวว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้ชาวอิรักและผู้คนอีกหลายประเทศบนโลกตกอยู่ในความเสี่ยงจากการเสียชีวิตเพราะอากาศร้อนจัด โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ รวมถึงผู้มีร่างกายอ่อนแอ หนทางที่จะได้รับการปกป้องคือต้องมีเครื่องปรับอากาศ แต่คนยากจนนั้นยากที่จะเข้าถึง
ขณะที่ปรากฏการณ์คลื่นความร้อน (Heat Wave) ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศของทวีปยุโรป เช่น กรุงปารีส ฝรั่งเศส กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ชี้ให้เห็นว่า ชาวยุโรปมีความพร้อมค่อนข้างต่ำในการรับมือวิกฤติอากาศร้อน อาทิ ในอังกฤษช่วงที่อุณหภูมิสูงถึง 38.1 องศาเซลเซียส ทำให้เกิดความโกลาหลทั้งด้านการคมนาคมขนส่งและคำเตือนด้านสุขภาพจากรัฐบาล
ในปี 2546 คลื่นความร้อนทำให้มีชาวยุโรปเสียชีวิตไป 7 หมื่นคน คณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมของรัฐสภาอังกฤษได้เตือนว่าหากไม่มีการดำเนินการใดๆ อังกฤษจะต้องเผชิญคลื่นความร้อน 7,000 ครั้งต่อปีภายในปี 2593 ทั้งนี้ข้อมูลของ IEA ระบุว่า มีบ้านเรือนชาวยุโรปเพียงร้อยละ 5 ที่มีเครื่องปรับอากาศ อย่างไรก็ตามการหันมาติดตั้งเครื่องปรับอากาศย่อมส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น
รายงานข่าวจากสื่ออังกฤษฉบับนี้ ยังอ้างข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ที่ระบุว่า ในปี 2573 เวลาการทำงานทั่วโลกจะลดลงเฉลี่ย 2.2 ชั่วโมงเนื่องด้วยความเครียดจากอากาศร้อน หรือเท่ากับ 80 ล้านงานเต็มเวลา ทั้งนี้ในปี 2561 กลุ่มนักวิชาการจาก EastWest Institute and the Stockholm International Peace Research Institute (SIPRI) กล่าวว่า อิรักเป็นประเทศร้อนชื้นที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดขึ้นทำให้คาดการณ์ว่า ในปี 2593 อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีในประเทศดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียส
มาห์มูด อับดุล ลาทิฟ ฮาเมล (Mahmoud Abdul Latif Hamed) ผู้จัดการด้านสิ่งแวดล้อมประจำองค์กรอุตุนิยมวิทยาแห่งอิรัก (Iraq’s Meteorological Organisation) เปิดเผยว่า ในปี 2562 นี้ประเทศอิรักเจอปัญหาอากาศร้อนจัดมาตั้งแต่ต้นปี โดยในปี 2554 อุณหภูมิสูงที่สุดของปีนั้นอยู่ที่ 50 องศาเซลเซียสในเดือนสิงหาคม แต่ปีนี้เพียงเดือนมิถุนายนก็มีอุณหภูมิ 49 องศาเซลเซียสแล้ว ซึ่งอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสนั้นอันตรายมากหากอยู่นอกอาคาร แต่สำหรับคนจนนั้นมันยิ่งหนักหนาสาหัสกว่า เพราะพวกเขาไม่มีเครื่องปรับอากาศให้บรรเทาความร้อนลง
มาห์มูด ให้ความเห็นว่า มีสิ่งต่างๆ ที่รัฐบาลสามารถทำได้เพื่อแก้วิกฤติอากาศร้อนจัด เช่น ปลูกต้นไม้ให้มากขึ้นเพื่อลดอุณหภูมิ รวมถึงยุติกิจการที่ใช้เทคโนโลยีเก่าออกให้หมด อนึ่ง อิรักแม้จะเป็นประเทศที่มีบ่อน้ำมันจำนวนมาก แต่ปัญหาการทุจริตก็เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ อาทิ ย้อนไปฤดูร้อนปี 2561 ที่เมืองบาสรา (Basra) ประชาชนได้ออกมาชุมนุมประท้วงหลังรัฐบาลไม่สามารถรับประกันการจัดหาน้ำประปาและกระแสไฟฟ้าที่เพียงพอได้ แม้ภาครัฐสัญญาว่าจะลงทุนนับพันล้านเหรียญด้านนโยบายพลังงาน แต่แทบไม่มีผู้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง
ขอบคุณเรื่องจาก : https://www.independent.co.uk/news/world/middle-east/climate-change-apartheid-poor-iraq-effects-heatwave-a9049206.html
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี