มุมมอง‘ดร.เอนก’...‘ฮ่องกง : อดีต ปัจจุบัน อนาคต’ หวังบทสรุปม็อบไม่ซ้ำรอย‘เทียนอันเหมิน’
23 สิงหาคม 2562 ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อธิการวิทยาลัยบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก “เอนก เหล่าธรรมทัศน์ Anek Laothamatas” เรื่อง “ฮ่องกง: อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” มีเนื้อหาดังนี้
“ถามกันมาว่าฮ่องกงที่มีการประท้วงกันมาหลายเดือนนั้นจะลงเอย อย่างไร ? จีนจะปราบปรามแบบ “เทียนอันเหมิน” ไหม ? ฮ่องกงจะแยกตัวออกจากจีนไหม ? บางคำถามผมตอบได้ บางคำถามตอบไม่ได้
ขอเริ่มตอบว่าฮ่องกงนั้นเป็นรอยแผลแรกที่จักรวรรดิบริเตน หรืออังกฤษ กรีดลงบนหัวใจคนจีนผู้รักชาติและภูมิใจในอารยธรรมอันเก่าแก่และยิ่งใหญ่
ฮ่องกงนั้นประกอบด้วยสามเขตย่อย คือ เกาะฮ่องกง คาบสมุทรเกาลูน และอาณาบริเวณใหม่หรือ New Territory ที่อยู่เหนือเกาลูนลึกเข้าไปในแผ่นดินใหญ่
เกาะฮ่องกงเสียให้แก่อังกฤษปี 1842 ตรงกับรัชกาลที่ 4 ต้นเหตุมาจากเรื่องฝิ่น คือ อังกฤษลักลอบส่งฝิ่น อันเป็นยาเสพติดร้ายแรงจำนวนมหาศาล เข้ามาขายในจีน ซึ่งผิดกฎหมายของจีนอย่างโจ่งแจ้ง อังกฤษซึ่งสอนเรื่องสิทธิมนุษยชนและการเคารพหลักนิติธรรมเอาเข้าจริง ต้องการแต่เงิน ไร้ยางอาย มองไม่เห็นว่าคนจีนที่ติดฝิ่นก็ล้วนเป็นเพื่อนมนุษย์ และฝรั่งอีกชาติหนึ่ง คือ อเมริกา ดินแดนเสรีประชาธิปไตย ก็ส่งฝิ่นจากตุรกีเข้าไปขายในจีนเป็นล่ำเป็นสันเช่นกัน เศรษฐีฝิ่นชาวอเมริกันที่ร่ำรวยมากคนหนึ่งก็คือปู่ทวดของประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี โรสเวลท์ นั่นเอง
ตกปี 1839 รัฐบาลจีนทนเห็นคนเรือนล้านของตนติดฝิ่นงอมแงมต่อไปไม่ไหว จับกุมฝรั่งที่ลักลอบนำเข้าฝิ่น หรือขายฝิ่น อย่างเด็ดขาด เผาทำลายฝิ่นทิ้งมหาศาล เป็นเหตุนำมาสู่สงครามฝิ่นที่รบเกือบสามปี จบลงในปี 1842 ด้วยความพ่ายแพ้อย่างน่าอดสูของฝ่ายจีน
หลังสงครามฝิ่นก็ยังนำเข้าและขายได้ต่อไป แถมจีนยังต้องยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษ และต้องยอมเปิดเมืองท่าให้ตะวันตกค้าอย่างเสรี ยอมทำสนธิสัญญาไม่เสมอภาค อธิบายได้ว่าคนอังกฤษหรือบริเตนที่ทำผิดในประเทศจีน จากนี้ไปไม่ต้องชำระความด้วยกฎหมายจีน ไม่ต้องไปขึ้นศาลจีน ซึ่งก็คล้ายกับสนธิสัญญาบาวริ่งที่อังกฤษบีบให้สยามเซ็นในปี 1885
ที่น่าสนใจ คือ เซอร์จอห์น บาวริ่ง ผู้ที่มาเซ็นกับสยามนั้น คือข้าหลวงเกาะฮ่องกงของบริเตนนั่นแหละ เราจึงเซ็นสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับฝรั่งหลังจีนราวสี่สิบปีครับ
จากนั้นในปี 1860 จีนที่อ่อนปวกเปียกก็ถูกอังกฤษยึดเกาลูนไปรวมกับเกาะฮ่องกง และ ในปี 1898 ตรงกับรัชกาลที่ 5 จีนที่ยังตกต่ำลงไปเรื่อยๆ โดยไม่มีอะไรมาหยุดยั้งไว้ได้ ก็จำต้องยก New Territory ให้กับอังกฤษไปอีก ตะวันตกทั้งหลายรุมกระหน่ำ “กินโต๊ะ” ประเทศเจียนอยู่เจียนไป ถูกยึดดินแดนนั้น เสียดินแดนนี้ไปเรื่อยๆ และที่สำคัญที่สุด ตั้งแต่ ปี 1937 ญี่ปุ่น ชาติซึ่งเคยรับเอาศาสนาและอารยธรรมมาจากจีนมาเป็นพันปี ก็ก่อสงครามใหญ่และเข้ายึดดินแดนฝั่งตะวันออกของจีนไว้ได้หมด หากไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นอย่างไม่มีวันยอมจำนน และรวมประเทศได้สำเร็จเมื่อปี 2492 ป่านนี้ฮ่องกงก็อาจตกเป็นของญี่ปุ่นหรือยังคงเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่
คนฮ่องกงนั้นไม่เคยมีสิทธิในการเลือกตั้งตลอดเวลาอันยาวนานที่ฝรั่งปกครอง และ ผู้ว่าราชการ หรือข้าหลวงใหญ่ที่ปกครองฮ่องกงนั้น ส่งมาจากลอนดอนโดยไม่ต้องไถ่ถามว่าคนพื้นที่นั้นรู้จักไหม ชอบไหม รับได้ไหม การจลาจลหรือประท้วงหากเกิดขึ้น ก็จะถูกตำรวจอาณานิคมจัดการอย่างรวดเร็ว และบางครั้ง อย่างรุนแรง เสียด้วย
น่าแปลกใจที่ผู้ประท้วงรุ่นหนุ่มสาวในเวลานี้ ดูเหมือนจะไม่รู้ ไม่ซึมซับเอาเสียเลยว่าการเกิดขึ้นของอาณานิคมฮ่องกงนั้นคือความอัปยศของชาติจีน ยิ่งกว่านั้น พวกเขายกย่องบูชาความคิดและสถาบันของฝรั่งไม่ว่าอังกฤษหรืออเมริกา โดยไม่จำอดีตอันละโมบ ก้าวร้าว หยามเหยียด ของพวกเขาเสียเลย ความคิดฝรั่งนั้นว่าไปก็เหมือนกับเหรียญสองด้าน นี่ก็เป็นอีกด้านหนึ่งของเหรียญ ซึ่งเป็นด้านลบ และผมไม่แน่ใจว่าด้านไหนใหญ่กว่าด้านไหน ด้านไหนจริงกว่าด้านไหน และ ด้านไหนกำหนดด้านไหนกันแน่
ผมตอบได้อย่างแน่ใจว่า จีนจะไม่มีวันยอมให้ใครก็ตาม ทำการนานสักเพียงใด ใช้วิธีการสุดพิสดารจะปานใด มาชักนำฮ่องกงให้แยกตัวออกไปเป็นอันขาด อย่าลืมว่าคนจีนจำนวนหลายล้านคนทั่วประเทศ ได้หลั่งเลือดพลีชีพตั้งแต่ปี 1911 จนถึง 1949 และหลังจากนั้น ก็ยังทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างจนถึงปี 1984 จึงได้เห็นวันเวลาที่ฮ่องกงจะหวนคืนมา และต้องย้ำว่าก็ด้วยความเพียรพยายามของเติ้งเสี่ยวผิงเป็นพิเศษนั่นเอง ที่ทำให้อังกฤษต้องยอมคืนฮ่องกงทั้งสามเขตให้กลับสู่มาตุภูมิในปี 1997
เติ้งเสี่ยวผิงนั้นอยากอยู่จนได้เห็นฮ่องกงกลับคืนมา น่าเสียดายท่านถึงแก่อสัญกรรมไม่กี่เดือนก่อนที่ธงยูเนียนแจ๊คของบริเตนจะถูกเชิญลง และธงห้าดาวของจีนจะถูกเชิญขึ้นไปแทน
สุดท้าย ผมไม่อาจบอกได้ครับว่าจีนจะใช้หรือไม่ใช้ความรุนแรงมาสยบการประท้วงและการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ได้แต่หวังว่ารัฐบาลจีนจะไม่ส่งกองทัพเข้ามาฮ่องกง จะไม่ใช้ความรุนแรงแบบ “เทียนอันเหมิน” มาเป็นคำตอบ
บางครั้ง ความยืดเยื้อ ความอดกลั้น อาจจะเป็นการปูทางลงให้การเคลื่อนไหวยุติได้ หวังว่าจีนจะรอบคอบ ทำอะไรที่ควรทำ และไม่ทำอะไรที่ไม่ควรทำ ส่วนตัวแล้วผมอยากเห็นฮ่องกงกลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดีของคนไทยและคนทั้งโลกต่อไป ครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี